บุหลันเคียงรัก - บทที่ 69 มารในใจยากจะสู้
ภายในศาลาต้านเย่ว์ งานเลี้ยงดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว สุราเองก็เปลี่ยนจากสุราฤทธิ์อ่อนอย่างสุราหลัวฝูชุนเป็นสุราเข้มข้นอย่างสุราไท่ชิงแล้ว
ไท่เหยามองไปยังศิษย์น้องหญิงชายทั้งสองข้างกายเขาอย่างจนใจ กู่ถิงเมามายจนเริ่มพูดจาเหลวไหล เมื่อครู่นี้มีศิษย์น้องคนหนึ่งรำคาญที่เขาเอาแต่พูดถึงโรงเตี๊ยม จึงพูดไปถึงหอโคมเขียว [1] ของมนุษย์ ผลปรากฏว่า จนถึงตอนนี้กู่ถิงยังเอาแต่ดึงเขาไว้แล้วถามไม่หยุดปากว่าหอโคมเขียวคือตึกที่ทาด้วยสีเขียวไว้ใช่หรือไม่
จื่อซีคือศิษย์ที่นิ่งและหนักแน่นที่สุดในบรรดาศิษย์ทุกคน ใครจะคิดไปถึงว่า ทำไมวันนี้นางถึงได้กำแก้วสุราไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอย่างนี้ ตาทั้งสองของนางเหม่อลอยและแดงก่ำ ยามนี้เอาแต่ยิ้มอย่างโง่งม
ได้แต่หวังว่าศิษย์ทั้งสองคนที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของตำหนักหมิงซิ่งอย่างทั้งสอง อย่าได้เอาหน้าของตำหนักหมิงซิ่งมาทิ้งไว้ที่นี่ในวันนี้เลย
เขาพลันมองเห็นฝูชางที่หายไปตลอดทั้งบ่ายกำลังเดินเข้ามา ไท่เหยาจึงรีบกวักมือเรียกเขาว่า “ศิษย์น้องฝูชาง”
ฝูชางรู้สึกวางตัวไม่ถูกจึงไม่มองแววตาหยอกล้อของจักรพรรดิแดงพลางรีบก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วนั่งลงพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “ขออภัย ข้า…มีธุระเล็กน้อย ขอลงโทษตัวเองด้วยการดื่มสามแก้ว”
ตอนนี้พูดถึงสุรา ไท่เหยากลับปวดหัวขึ้นมาและรีบขวางเขาไว้ “อย่างดื่มสุราเลย เจ้าดูสองคนนี้สิ! “
จื่อซียังดี นางแค่นั่งยิ้มอย่างโง่งมเงียบๆ แต่ว่ากู่ถิงกลับทรมานศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จนหมด สุดท้ายก็โผเข้าหาฝูชางแล้วกอดเขาไว้พร้อมกับยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าไปคุยกับเสวียนอี่ด้านนอกนั่นทั้งบ่ายเป็นอย่างไรบ้าง”
ฝูชางดึงเอาแก้วสุราในมือเขามาแล้วกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าเมาแล้ว นั่งลง”
แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลเหยาของราชาบุปผามักให้ความสำคัญกับ “ระดับ” มาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะให้อยู่ระดับที่กำหนดไว้ แต่ก่อน หากกู่ถิงอยู่ในงานเลี้ยงเขาไม่มีทางดื่มจนเมามายอย่างนี้แน่ แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเขามีเรื่องในใจ
กู่ถิงนั่งลง เขาแย่งเอาแก้วสุราคืนมาไม่ได้ก็ไปคว้าเอาใบใหม่มาแล้วถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ข้าหาเจ้ามาทั้งบ่าย…เจ้าเองก็ไม่ยอมมาดื่มเป็นเพื่อนข้า ไม่รู้หายไปไหนมา ข้าจะบอกว่า เมื่อวานนี้ฟูหลัวมาหาข้าแล้ว นาง…ได้ยินว่าข้าตกลงไปที่โลกเบื้องล่างก็กังวลมาก แต่ก่อนข้าเคยให้ผ้าคาดเอวดอกจวินอิ๋งเฉ่า [2] สิบแปดดอกกับนาง…ภายหลังมันชำรุด นางก็จัดการซ่อมแซมใหม่จนดี…”
เขาพูดไปร่างก็เอียงล้มลงมา ฝูชางยื่นมือไปประคองเขาให้นั่งดีๆ ก็พบว่าเขาหลับไปแล้ว
ไท่เหยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ตอนที่อยู่โลกเบื้องล่างก็เหมือนกัน เขาไปขโมยสุราของมนุษย์มาดื่ม พอดื่มมากเข้าก็เอาแต่กล่าวถึงฟูหลัว หากว่าลืมไม่ได้ เขากลับไปคืนดีกันและไม่ต้องสนใจเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ดีกว่าหรือ”
ฝูชางส่ายหน้า สำหรับกู่ถิง เกรงว่าเขาคงยอมที่จะต้องจมอยู่กับคืนวันที่ต้องคิดถึงและเมามายไปอีกพันปีมากกว่าที่จะยอมกลับไปดีกันใหม่ เขาก็เป็นคนดื้อดึงอย่างนี้
ทางนี้ กู่ถิงเพิ่งจะนิ่งและหลับไป อีกฝั่ง จื่อซีพลันกุมหน้าแล้วร้องไห้ขึ้นมา ไท่เหยารู้สึกหัวแทบระเบิด ทุกคนต่างก็มายินดีกับฝูชางอย่างมีความสุข แต่ว่าผลคือทั้งสองดื่มมากเกินไป หากไม่เพราะคิดถึงคนรักเก่า ก็ร้องไห้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียเฉยๆ เขารู้สึกว่าเขาแทบจะไม่รู้จักเพื่อนร่วมสำนักตัวเองแล้ว
เขากล่าวปลอบใจเสียงเบา “ศิษย์น้องจื่อซี หากมีเรื่องอะไรที่คิดไม่ตกก็ให้พูดออกมา ระบายออกมาทุกอย่างก็จะดีขึ้น”
จื่อซีไม่พูดอะไร แต่กลับกุมหน้าผากไว้ น้ำตาไหลรินออกมาราวกับไข่มุกที่หลุดจากสายสร้อย
ไท่เหยาไม่เคยรู้ว่าจะต้องปลอบใจเทพสายเจ้าน้ำตาอย่างไร จึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้เหล่าศิษย์น้องรอบๆ แต่ว่าทุกคนต่างก็พากันหลบสายตาเขา ล้อเล่นอะไร ศิษย์พี่จื่อซีมีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังมาตลอด เรื่องที่ทำให้นางร้องไห้ได้จะต้องยุ่งยากมากแน่ ใครก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น
เขามองไปที่ฝูชางอีกครั้ง ฝูชางเรียกเทพีรับใช้สองคนมาประคองจื่อซีไว้ ส่วนตัวเขาเองก็แบกกู่ถิงขึ้น “ข้าจะส่งพวกเขาไปพักที่ห้องรับแขก”
ไท่เหยาถอนหายใจแล้วลุกขึ้น “ไปด้วยกันเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว”
ตอนนี้ใกล้ยามไฮ่ [3] แล้ว เหล่ามหาเทพเองก็ค่อยๆ ทยอยไปพักยังห้องรับแขก ฝูชางกับไท่เหยาจัดการกู่ถิงเสร็จแล้วก็ออกจากห้องไป พลันได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงเบาของจื่อซีดังออกมาจากอีกห้อง
ไท่เหยากระแอมไอเสียงดังนอกประตู เสียงร้องไห้ของจื่อซีก็พลันเงียบหายไป
“วันอื่นค่อยถามนาง” ไท่เหยาส่ายหัวแล้วประสานมือคารวะให้ฝูชาง จากนั้นเดินไปทางห้องพักแขกของตัวเอง
ทางเดินริมทะเลสาบสว่างไปด้วยแสงจากพระจันทร์ที่สาดส่องลงมา แขกที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายกันไปมากแล้ว ฝูชางไม่อยากนอน เขาเดินทอดน่องไปตามทางเดิน ทิวทัศน์รอบๆ คือสิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่เล็กจนโตและคุ้นเคยมาก แต่ว่าไม่รู้ทำไม คืนนี้เขามองเห็นทิวทัศน์เดิมภาพเดิมแต่กลับรู้สึกน่าดึงดูดอย่างน่าประหลาด ทำให้เขาไม่อยากกลับเข้าห้องเร็วอย่างนั้น
ด้านหน้า ข้างหินก้อนใหญ่พลันมีเงาร่างหนึ่งทอดยาวมาก บนหินมีกาสุราเปล่าวางตั้งอยู่เป็นแถบ เขายังคงรินสุราดื่มอยู่ ทำให้ไข่มุกเพลิงกลางหน้าผากของเขาแกว่งไกวไปมาน้อยๆ
เซ่าอี๋เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันกลับมาอย่างเร็ว พอเห็นว่าเป็นฝูชางก็คลายคิ้วที่ขมวดออก “เกรงว่าต่อให้เป็นที่วังสวรรค์ก็คงหาที่ชมจันทร์เช่นนี้ไม่ได้ งดงามมากจริงๆ “
กล่าวแล้วก็ส่ายแก้วสุราในมือ “ดื่มกันสักแก้วเป็นอย่างไร”
นิสัยของพวกเขาทั้งสองเข้ากันไม่ได้ ปกติก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน รวมกับเรื่องของกู่ถิงด้วยแล้ว ทำให้ฝูชางไม่ยินดีจะเข้าใกล้ศิษย์พี่ที่คาดเดาได้ยากคนนี้นัก แต่ว่าวันนี้เขาเป็นเจ้าภาพ หายไปตลอดทั้งบ่ายก็ถือว่าเสียมารยาทมากแล้ว นิสัยเน้นมารยาทพิธีการของตระกูลหวาซวีทำให้เขาปฏิเสธคำเชิญของแขกไม่ได้ จึงรับเอาแก้วสุรามาแล้วดื่มลงไปกว่าครึ่ง
เซ่าอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วิถีกระบี่ของศิษย์น้องฝูชางตื่นขึ้นมา ไม่นานก็คงถึงขั้นหลับใหลพันปีเหนือสรรพสิ่งสินะ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกลายเป็นศิษย์คนแรกของตำหนักหมิงซิ่งที่ได้หลับใหลพันปี ในฐานะศิษย์พี่แล้วข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋เหตุใดต้องถ่อมตนเช่นนี้ หากว่าศิษย์พี่มีใจกับเรื่องนี้ ศิษย์ของตำหนักหมิงซิ่งที่หลับใหลพันปีคนแรกต้องเป็นท่านแน่”
เซ่าอี๋เอียงศีรษะคิดแล้วตอบกลับมาว่า “นี่คือคำหลอกถามหรือ”
ฝูชางเองก็ยิ้ม “ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไร”
เซ่าอี๋ถอนหายใจ สุราในแก้วสะท้อนให้เห็นพระจันทร์เหนือยอดเขาไท่ซานที่สุกสกาว เขาเงียบไปทำให้รอบด้านเงียบสงัด
พระจันทร์ลอยขึ้นกลางท้องฟ้า ในที่สุดฝูชางก็เริ่มรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมา เซ่าอี๋เองก็หาวและบิดเอวพร้อมกล่าวว่า “ใช่แล้ว ศิษย์น้องฝูชาง ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย ที่เจ้าดูแลปลาดุกอุยน้อยจากภัยครั้งนี้ดีขนาดนี้”
ร่างฝูชางสะเทือนไปทั้งร่าง และแทบจะอดใจไม่ให้เหลียวหลังกลับมามองไม่ได้
เขาเค้นสติทั้งหมดออกมา ถึงได้ค่อยๆ หันกลับไปมองทางเซ่าอี๋ เขามีท่าทีจริงใจแล้วกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาคิดมาตลอดว่าที่เขาถูกฉุนจวินแทงทะลุหัวใจนั่นคือภาพมายา ที่แท้คำพูดของเซ่าอี๋ก่อนหน้านี้เองก็เหมือนกัน ตอนนี้คำพูดที่เขากล่าวออกมาแทบจะเหมือนกับคำพูดในภาพมายาไม่ผิดเพี้ยน ไม่รู้ว่าเขาจะประหลาดใจหรือตกใจดี
“ศิษย์น้องฝูชาง” เซ่าอี๋เห็นเขามีท่าทางประหลาดก็กล่าวถามออกมาเสียงเบา
ฝูซานพลันหัวเราะเสียงเย็นออกมา เป็นเขาเองที่สร้างมารในใจขึ้น ภาพมายาของปีศาจไหวทำให้เขาเห็นจิตใจที่ไม่สงบของเขา ตอนนี้เวลานี้ มารในใจเขาราวกับเด่นชัดขึ้น หรือว่าเขาจะต้องถลำลึกลงไปอย่างนี้
“แทนท่าน? ” เขาถามกลับมาอย่างยโส
เซ่าอี๋ยิ้ม “ข้าไม่ระวังคำพูดเอง ขออภัย”
ฝูชางมองเขาอย่างเยือกเย็นแล้วหมุนตัวเดินจากไป
…
มหาเทพไป๋เจ๋อรีบร้อนก้าวเข้าไปตำหนักอวี้หวาทางทิศตะวันตกของตำหนักหมื่นเทพ หลายวันมานี้เขาวิ่งเทียวไปเทียวมาตลอด เขาไม่มีเวลากระทั่งจะดื่มกินหรือนอนด้วยซ้ำ ใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์ชุ่มชื่นของเขา ดูแล้วโทรมลงไปมาก
รัชทายาทฉางฉินเห็นเขาเข้าก็ถอนหายใจ “มหาเทพไป๋เจ๋อ บอกแล้วว่าเรื่องที่พลังห้าธาตุรั่วไหลมีพวกข้าดูอยู่ ทำไมผู้เฒ่าอย่างท่านต้องมาทำงานหนักเยี่ยงนี้ด้วย”
มหาเทพไป๋เจ๋อถอดรองเท้าออกแล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะนุ่ม เขารับชามาจากเทพขุนนาง แล้วดื่มไปถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าไป “เปิ่นจั้วก็หวังว่าจะมีแค่เรื่องพลังห้าธาตุรั่วไหลเท่านั้น ตำหนักชางเซิงเองก็ทลายไปแล้วเพราะทะเลหลีเฮิ่น เทพผู้คุมชะตาของคนต่างก็วุ่นวายกับการจัดการเส้นชีวิต ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเสร็จ ทางด้านตำหนักเหวินหวาก็พูดมาว่าทุกวันนี้ปีศาจที่เข้ากับสายมารมีมากขึ้นเรื่อยๆ เทพพื้นดินภูเขาสายน้ำด้านล่างนั่นก็ต้องไปตรวจสอบให้ละเอียด….”
เขายังไม่ทันจะกล่าวจบ รัชทายาทฉางฉินก็ฟังจนขนหัวลุกแล้วรีบกล่าวตัดบทว่า”มหาเทพ ซากปีศาจไหวที่ท่านส่งไปที่ตำหนักอวี้หวาตรวจสอบเสร็จแล้วหรือ มือทั้งสองของฝางเฟิงซื่อก็ถลกหนังเลาะกระดูกออกมาตรวจสอบดูจนหมด พลังสมานที่ไร้ข้อจำกัดนี้ คล้ายคลึงกับพลังเทพคืนชีวิตของเผ่าหงส์ฟ้าเก้าสวรรค์มาก มหาเทพทั้งสองที่สู้กันที่ทะเลหลีเฮิ่นในตอนนั้นยังมีพลังเทพหลงเหลืออยู่หรือ ถึงได้ทำให้ทะเลหลีเฮิ่นเกิดความผิดปกติขึ้นอย่างนี้”
มหาเทพไป๋เจ๋อไม่ได้ประหลาดใจ “การต่อสู้ของมหาเทพรุนแรงขนาดไหน และทั้งสองคนยังใช้ชีวิตเข้าเดิมพันอีก จะไม่ให้มีพลังเทพหลงเหลือได้อย่างไร หมอกสีดำที่ผนึกทะเลหลีเฮิ่นเอาไว้ไม่ใช่ความมืดของตระกูลจู๋อินหรืออย่างไร”
รัชทายาทฉางฉินถอนหายใจ “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง นับว่าคลายความสงสัยในใจข้าไปได้ คิดว่าผ่านมานานขนาดนี้ ไอขุ่นมัวและไอบริสุทธิ์คงพันรัดกันจนเกิดของประหลาดพิสดารขึ้นแน่ มหาเทไป๋เจ๋อ ผู้เฒ่าอย่างท่านมีอายุมากที่สุด ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นมหาเทพที่เอาชนะได้คือใคร และเพราะอะไรถึงได้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน”
ในโลกมนุษย์มักจะมีเรื่องเล่ากันว่ามังกรและหงส์ปรากฏขึ้นหมายถึงโชคดี ความสัมพันธ์ของตระกูลชิงหยางและตระกูลหวาซวีก็ควรจะไม่เลวร้าย แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นน้ำกับไฟไปได้
มหาเทพไป๋เจ๋อครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่นานแล้วส่ายหน้า “ตอนนั้นเปิ่นจั่วยังเล็กนัก ผ่านมานานเกินไป จำไม่ค่อยชัด จำได้ว่าองค์หญิงตระกูลชิงหยางจะแต่งงานกับตระกูลจู๋อิน แต่ว่าไม่รู้ทำไมภายหลังถึงได้ยกเลิกไป มหาเทพทั้งสองเองก็พลันสู้กันอย่างใช้ชีวิตเดิมพัน จักรพรรดิสวรรค์รุ่นก่อนเองก็ห้ามไม่อยู่ สุดท้ายไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ สิ่งที่ผู้เฒ่าสองคนนั้นสร้างไว้กลับพึ่งจะมาส่งผลเลวร้าย และยังต้องให้เปิ่นจั้วเป็นคนมาเก็บกวาดให้อีก น่าแค้นใจจริง! “
รัชทายาทฉางฉินเห็นผู้เฒ่าอย่างเขากล่าวออกมาราวกับเด็กน้อยที่โมโหก็ยิ้ม “มหาเทพ ที่มาของพลังสมานแผลไปมานี่ จะประกาศหรือไม่”
จริงๆ แล้วจะประกาศหรือไม่ ใครที่มีใจก็คาดเดาความจริงได้ทั้งนั้น ก็เหมือนกับความมืดที่ครอบคลุมทะเลหลีเฮิ่นไว้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าคือความมืดของตระกูลจู๋อิน แต่ว่ากลับไม่พูดถึง เผ่าเทพมีชื่อเหล่านี้สร้างเรื่อง มหาเทพยังห้ามไม่ได้
มหาเทพไป๋เจ๋อสวมรองเท้าเสร็จก็หาวออกมาพลางกล่าวว่า “อย่าประกาศ เจ้าคิดว่าตระกูลชิงหยางหาเรื่องได้ง่ายหรือ บางครั้งพวกเขายังยุ่งยากยิ่งกว่าตระกูลจู๋อินมาก เปิ่นจั้วไปก่อน”
เขายังมีเรื่องอีกมากมายต้องไปจัดการ
—
[1] หอโคมเขียว หมายถึง หอนางโลม
[2] ดอกจวินอิ๋งเฉ่า หรือ ดอกลิลลี่แห่งหุบเขา (Lily of the Valley) มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Convallaria majalis ตัวดอกมีขนาดเล็กเป็นรูปทรงเหมือนระฆังเล็กๆ สีขาว เรียงอยู่บนก้านดอก มีกลิ่นหอมหวาน
[3] ยามไฮ่ : ช่วงเวลาตั้งแต่ 21.00 น. – 22.59 น.