บุหลันเคียงรัก - บทที่ 75 บาดเจ็บในวัยเด็ก
เสวียนอี่ดิ้นรนอย่างแรง แต่ว่ามือของเขากลับเหมือนคีบเหล็กไม่ขยับเขยื้อน นางพลันเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวเสียงดัง “ปล่อย!”
ฝูชางมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้านี้ เทพธิดาผู้นี้ แววตาเย็นชาและห่างเหินของนาง ทั้งๆที่เขาระวังตัวเต็มที่แล้ว ก็ยังตกลงไปในหลุมของนาง ความเป็นอริและความคิดเลวร้ายของเขาที่เก็บอยู่ในส่วนลึกของจิตใจทลายออกมาราวกับเขื่อนแตกอย่างควบคุมไม่อยู่ ก่อนหน้านี้เขายังอยากจะกอดนางไว้ในอกอย่างแนบแน่น แต่ตอนนี้เขากลับอยากจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
หากว่าเขาสามารถฉีกนางเป็นชิ้นๆ ได้จริง
ฝูชางมองใบหน้าที่เริ่มขาวซีดของนางแล้วพลันปล่อยนางออก เสวียนอี่ล้มลงไปบนหลังของปี่ซี่ นางหอบหายใจแรงและกระโดดขึ้นมาตีทันที นางเคยถูกคนอื่นปฏิบัติกับนางด้วยความรุนแรงอย่างนี้ที่ไหนกัน! มีแต่เขา! ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็มีแต่เจ้าสารเลวนี่เท่านั้น!
การต่อต้านของนางถูกเขากำราบลงได้ในพริบตา มือทั้งสองถูกเขากดไปบนแผ่นศิลาจนขยับไม่ได้
ความใกล้ชิดกะทันหันนี้ ท่าทางที่คล้ายใกล้คล้ายไกลนี้ กวนใจเขาจนได้แต่ต้องผลักนางออกไป ไปยิ้มระริกระรี้ใกล้ชิดกับคนอื่นมา แล้วมาใช้ท่าทีเดียวกันนี้กับเขา เดิมเขาคิดว่านางแค่มีนิสัยคล้ายเด็ก แต่ว่าเขาพลาดไปแล้ว นางไม่เชื่อใครทั้งนั้น นางเข้ามาใกล้ชิดเงียบๆ แล้วก็มองเขาเสียความเป็นตัวเองไปเพราะนางอย่างนิ่งเฉย เพราะเอามาคั่นเวลาที่รู้สึกเหงาเท่านั้น
ลมหายใจที่เยือกเย็นของเสวียนอี่เป่าใส่ใต้คางเขา เขารู้ความร้ายกาจของนางดี นางจะต้องอาศัยจังหวะนี้กัดเขาแน่
ความรู้สึกหุนหันพลันแล่นอย่างในคืนนั้นที่เขาเมาสุราที่จวนจูเซวียนอวี้หยางทำให้เลือดลมของเขาพลุ่งพล่าน ฝูชางรีบปล่อยนางอีกครั้งและถอยหลังไปหลายก้าว
เขาไม่มีทางยอมให้สถานการณ์ตกอยู่ในอารมณ์มัวเมาไร้สาระนั่นอีกแน่
“ถ้าอยากจะกำจัดความรู้สึกขาดของเจ้า เจ้าก็ควรจะไปหาผู้ชายที่เหลวแหลกเสื่อมทรามเหมือนกันกับเจ้า”
น้ำเสียงของเขาเยียบเย็นไปถึงกระดูก กล่าวจบก็หมุนตัวจากไป ลมบนยอดเขาทำให้แขนเสื้อเขาพลิ้วไสว เขาจ้องไปยังเส้นด้ายที่ถูกเกี่ยวจนหลุดออกมาจากลายปักที่แขนเสื้อ ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ขอแค่ตัดได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
ฝูชางขมวดคิ้ว เขาตัดสินใจดึงแขนเสื้อนั้นออกมาและปล่อยให้มันปลิวไปตามลม
…
นับตั้งแต่ที่องค์หญิงถูกจดหมายเรียกของมหาเทพไป๋เจ๋อเรียกตัวกลับไปตำหนักหมิงซิ่ง ฉีหนานก็กลับมาใช้ชีวิตที่ยุ่งและเงียบสงบของเขาต่อไป
แต่ว่า จะว่ายุ่งก็ยุ่ง ความสัมพันธ์ขององค์หญิงกับเทพฝูชางนับวันยิ่งสนิทชิดเชื้อกัน การฝึกฝนขององค์ชายน้อยก็เข้าสู่ขั้นใหม่ ดูแล้วมีหลายเรื่องที่กำลังเป็นไปในทางที่ดี ฉีหนานดื่มชาอย่างมีความสุข ต่อให้เขายุ่งกว่านี้ก็ไม่เป็นอะไร
ด้านนอกพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น จากนั้นเหล่าเทพขุนนางก็รายงานเสียงดังว่า “องค์หญิงกลับมาแล้ว! รีบไปยกเตียงสานออกมาเร็ว!”
ทำไมถึงได้กลับมาเร็วอย่างนี้? ฉีหนานรีบวางพู่กันแล้วพุ่งออกไปจากโถงส่วนหน้า ไม่นานก็เห็นเหล่าเทพรับใช้ยกเตียงสานขึ้นไปบนบันได องค์หญิงน้อยของเขาเอียงไปกับเตียงสาน ในมือถือของที่ชุ่มไปด้วยเลือดเอาไว้ กำลังพลิกดูไปมา
ฉีหนานใจกระตุก แล้วรีบไปแย่งมา ถึงได้พบว่าในคือผ้าต่วนขนนกสีแดงเลือดผืนหนึ่ง มันถักทอได้อย่างประณีตงดงามเหนือธรรมดา ลวดลายเส้นเลือดเหล่านั้น เปล่งแสงบนขนคล้ายมีคล้ายไม่มี เป็นเลือดที่งดงามและบาดตามาก
“ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือด?” ฉีหนานความรู้กว้างขวาง จึงดูวัสดุที่ล้ำค่านี้ออกได้ทันที และประหลาดใจมาก “องค์หญิงไปเอามาจากที่ไหนกัน”
เสวียนอี่ยิ้มตาหยีแล้วรับเอาผ้าต่วนมาพร้อมกล่าว “ให้เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนช่วยทอให้ ตอนที่ข้าไป โชคดีว่านกแขกเต้าตัวนั้นกำลังพ่นเลือดออกมาพอดี มันพ่นเลือดลงบนผ้าต่วนมากมาย น่ากลัวมาก”
“เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวน? องค์หญิงท่านไปที่ศิลาสามภพมาหรือ?” ฉีหนานมึนงง “ท่านรู้จักทางได้อย่างไร ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดนี้ต้องใช้ขนของจี๋กวง ของล้ำค่าอย่างนี้เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนทำไมถึงได้ยอมให้ท่าน”
เสวียนอี่โบกมือ “เป็นคำขอของอาจารย์ ข้ายังไปเอาขนหางขององหญิงเก้าเผ่าจิ้งจอกสวรรค์มาได้ด้วยนะ”
นางเอาขนหางจิ้งจอกที่พลิ้วไหวได้เองสามเส้นนั้นออกมาโบกอย่างภูมิใจ
ฉีหนานประหลาดใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา “ท่านยังไปชิงชิวทางใต้มาอีก?!” องค์หญิงของเขาที่ไม่ชอบออกจากบ้านของเขาทำไมถึงได้รู้จักทางได้
เสวียนอี่ยิ้มแล้วมองเขา แล้วพลันโบกมือให้เหล่าเทพรับใช้ถอยออกไปพร้อมนั่งลง “ฉีหนาน ข้ายังมีอีกเรื่องอยากถามท่าน ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าถูกเผ่าถงซานทำร้ายจนบาดเจ็บ ตอนหลังข้าหายดีได้อย่างไร”
ฉีหนานตกใจอีกรอบ วันนี้เขาถูกองค์หญิงทำให้ตกใจหลายครั้งเกินไปแล้ว หัวใจผู้เฒ่าอย่างเขาเริ่มรับไม่ไหว ขาทั้งสองอ่อนลงไปแล้วนั่งลงที่ข้างเตียง
“องค์หญิง…ท่านรู้ได้อย่างไร” ช่วงเวลาที่บาดเจ็บจนกระทั่งหายดีนั้น นางลืมไปหมดแล้วชัดๆ
เสวียนอี่ไม่ตอบ แต่กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจำได้ว่าข้าถูกท่านแม่พาออกไป นางพูดว่าจะกลับไปที่แม่น้ำชุ่ยเหอ พาข้าไปดูที่ที่นางชอบไปในวัยเด็ก ไปได้ครึ่งทางก็ไปเจอกับองค์หญิงสามของเผ่าถงซานกับพรรคพวกของนางเข้า พวกนั้นจับพวกข้าเอาไว้ และขังไว้ที่เขาถงซานอยู่หลายวัน ท่านแม่ถูกบีบให้กล่าวว่าจะหย่าร้างกับท่านพ่อทุกวัน แต่ว่าท่านแม่ไม่เคยพูดตกลงเลยสักครั้ง ทุกครั้งถึงได้ถูกพวกนั้นทำให้เป็นแผลไปทั้งร่าง…”
“องค์หญิง!” ฉีหนานนเรียกนางเสียงเบาด้วยท่าทีเจ็บปวด “ขอร้องท่านอย่าพูดอีกเลย”
นางทำราวกับไม่ได้ยินแล้วกล่าวต่อว่า “ต่อมาคนของเผ่าถงซานก็คิดจะมาจัดการข้า ท่านแม่ปกป้องข้าสุดชีวิตจึงดับสูญไป เรื่องหลังจากนั้นข้าจำไม่ได้แล้ว พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่เขาจงซานแล้ว ทั้งยังไม่มีท่าทีเหมือนได้รับบาดเจ็บมาก่อนอีก ข้าถามเจ้า แผลของข้าหนักขนาดไหน ใครเป็นคนช่วยข้า”
ฉีหนานน้ำตานองหน้า “ตอนนั้นองค์หญิง…บาดเจ็บหนักมาก ข้ากับมหาเทพวิ่งไปทุกที่ ตั้งแต่สวรรค์เบื้องบนทั้งสามสิบสามชั้น หรือกระทั่งน้ำพุเหลืองยมโลกเบื้องล่าง แต่ก็ยังหาวิธีรักษาองค์หญิงไม่ได้ พูดกันว่าตระกูลจู๋อินพลังทุกอย่างไร้ผลทำให้ไร้ศัตรูแต่กำเนิด แต่ใครจะเข้าใจว่า นี่หมายความว่าชีวิตเองก็ดับสูญไปได้ง่ายดายเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้น…ต่อจากนั้น…”
พูดไป ตัวเขาเองก็แสดงท่าทีสงสัยออกมา “ภายหลังบาดแผลขององค์หญิงกลับเปลี่ยนสีภายในคืนเดียว สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังดีขึ้นในทุกๆวัน แต่ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับลืมเรื่องที่ได้รับบาดเจ็บไป คิดว่าคงเพราะเจ็บปวดเกินไป แต่ลืมไปได้ก็ดีแล้ว”
เสวียนอี่จ้องเขา “อยู่ดีๆก็หาย?”
ฉีหนานพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะจิตเทพที่ยังหลงเหลืออยู่ของฮูหยินปกป้ององค์หญิงไว้ก็เป็นได้”
เสวียนอี่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วยกชายกระโปรงขึ้นพร้อมกับดึงผ้าพันแผลสีขาวที่ขาขวาออก “ฉีหนาน เจ้าดูแผลของข้า”
เขามองไปยังบาดแผลที่แทบจะสมานกันดีแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก “…กลับหายได้เร็วขนาดนี้!”
เห็นท่าทางตกใจของเขาไม่คล้ายกับแกล้งทำ เสวียนอี่ก็ยิ้มแล้วพันแผลกลับไปอย่างเดิมพร้อมปล่อยชายกระโปรงลงมา “นี่จะต้องเป็นเพราะจิตเทพของท่านแม่ที่คุ้มครองข้าอีกเหมือนกันแน่ๆ ฉีหนาน ถึงแม้ว่าข้าจะใช้กระบี่หรือต่อสู้ไม่เป็น แต่ว่าบาดแผลของข้ากลับหายเร็ว นี่ถือว่าเป็นพรสวรรค์ที่แปลกไปได้ไหม”
นางตบมือ เหล่าเทพรับใช้ที่ถอยออกไปก็รีบเอาเตียงสานเข้ามาทันที ฉีหนานยังอยากจะเดินตามไปแต่พลันได้ยินนางกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ต้องนอนพักดีๆ เสียที อย่าได้มารบกวนข้า”
ฉีหนานรู้นิสัยนางดี น้ำเสียงอย่างนี้ของนางแสดงว่านางอารมณ์แย่มาก ไม่อยากจะให้ใครหรืออะไรมารบกวน เขาจึงได้แต่หยุดเท้าลงแล้วมององค์หญิงบนเตียงสานห่างออกไปเรื่อยๆ
เสวียนอี่อาบน้ำที่เรือนตัวเองอย่างสบายใจแล้วสวมชุดโปร่งสบาย กึ่งนอนอยู่บนฟูกนุ่มตากผมให้แห้ง พลางเสกเอาหิมะออกมา หิมะสีขาวบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนทำให้นางรู้สึกเหมือนเห็นคนชุดขาวคนนั้น
ภายหลังนางแปลงเป็นร่างมังกรแล้วบินไปยังจวนเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวน และต้องคอยหลบๆซ่อนๆไปตลอดทาง เพราะกลัวว่าจะถูกเผ่าเทพคนอื่นพบเห็นร่างมังกรเข้า แต่ยังดีที่ทุกอย่างราบรื่น นางไปเอาผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดและกลับไปถึงเขาจงซานอย่างไร้อุปสรรค
อยู่ที่เขาจงซานดีกว่าจริงๆ ที่นี่ไม่มีเทพที่อยู่ดีๆก็มาบีบคอนาง และยังไม่มีเทพที่มีสายตาอบอุ่นอ่อนโยนที่นางอยากจะหลีกเลี่ยงคนนั้น
คิดว่านาง…คงจะคิดถึงชิงเยี่ยนมากเกินไปจริงๆ จึงลืมไปได้ว่าฝูชางคือคนป่าเถื่อนที่ทั้งน่ากลัวและน่ารังเกียจขนาดไหน
แค่อยู่เป็นเพื่อนนางเงียบๆอย่างนี้ไม่ดีหรือ
ลมพัดมาที่ต้นตี้หนี่ว์ซาง[1]ทำให้ใบไม้พัดไหวจนเกิดเสียงดัง เสวียนอี่เก็บหิมะเข้าไปแล้วพลิกตัว วงแหวนสีทองในแขนเสื้ออีกด้านตกลงบนพื้นเบาๆ นางหยิบขึ้นมาแล้วเอามาเล่นในมือ
พวกเขาจากนางไปอีกแล้ว ไม่เป็นไร นางยังมีฉีหนานกับวงแหวนทองของท่านแม่อยู่
—
[1]ต้นตี้หนี่ว์ซาง : ต้นไม้ในตำนานเทพจีนโบราณ จริงๆ มีชื่อว่าต้นซาง ตำนานกล่าวว่าธิดาองค์ที่สองของเหยียนตี้หรือจักรพรรดิเหยียนได้ฝึกฝนวิชากับเซียน ภายหลังฝึกฝนสำเร็จและได้กลายเป็นหงส์และทำรังอยู่บนต้นซาง เหยียนตี้เห็นบุตรสาวกลายเป็นหงส์ก็เสียใจมาก เขาบอกให้นางลงมาจากต้นไม้แต่นางไม่ยอม ภายหลังจึงได้ใช้ไฟเผาบีบให้นางลงมา แต่กลับทำให้นางถูกเผาตายและลอยขึ้นฟ้าไป ต้นไม้นี้จึงถูกตั้งชื่อว่า “ต้นตี้หนี่ว์ซาง (ต้นซางของธิดาจักรพรรดิ)”