บุหลันเคียงรัก - บทที่ 76 ใช้เวทยั่วยุ
ในยามที่ดอกทับทิมแรกของวิมานม่วงผลิบาน จดหมายเรียกรวมลูกศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อฉบับที่สองก็ส่งมาถึง
ฉีหนานเอาจดหมายเข้ามาในวิมานม่วงด้วยท่าทีไม่สงบนัก นับตั้งแต่ที่องค์หญิงกลับมาคราวนั้นก็ไม่ได้ออกไปจากวิมานม่วงอีกเลย เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงก็มักจะไม่ยอมบอกเล่าอะไร ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการอ่อนหรือแข็งก็ไม่มีผล หรือว่าจะทะเลาะกับเทพฝูชางอีกแล้ว แต่ว่าจะทะเลาะกันนานไปหน่อยหรือไม่ นี่มันสามเดือนเข้าไปแล้ว
ตอนนี้คือเดือนห้า ปลายฤดูใบไม้ผลิพอดี ถึงแม้จะบอกว่าเขาจงซานปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งสี่ฤดู แต่ว่าวิมานม่วงขององค์หญิงไม่ได้รับผลจากพลังของมหาเทพ ตลอดทางจึงเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ฉีหนานเดินอ้อมพุ่มดอกติงเซียง[1]ไปก็เห็นองค์หญิงน้อยกำลังกึ่งหมอบอยู่บนพรมปุยเมฆใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง ข้างมือเต็มไปด้วยขนมมากมายวางระเกะระกะ หนังสือของอาจารย์นางถูกผลักออกไปไกล และตอนนี้นางกำลังจดจ่ออยู่กับการคลึงหิมะสีขาวเป็นดอกชา
“องค์หญิง” ฉีหนานเรียกนางออกไปช้าๆ “จดหมายเรียกรวมศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสวียนอี่ไม่เงยหน้า “อืม วางไว้เลย ฉีหนานมาดูนี่เร็ว ดอกชาดอกนี้ข้าคลึงมันจนมีกลีบถึงเก้าสิบเก้ากลีบเลย!”
ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าคลึงกลีบดอกชาได้เก้าสิบเก้ากลีบน่าสนใจตรงไหน แต่ก็ยังกล่าวชมไปว่า “องค์หญิงเก่งจริงๆ”
เสวียนอี่วางดอกชาหิมะในมือลงอย่างพึงพอใจ พลางฉีกจดหมายเรียกศิษย์ออกอ่าน ที่แท้เรื่องทะเลหลีเฮิ่นทลายกับเรื่องยุ่งยากทั้งหลายนั้นจัดการเสร็จไปมากแล้ว จึงเรียกรวมศิษย์ล่วงหน้าสามเดือนและเริ่มการเรียน มหาเทพไป๋เจ๋อยังไม่ลืมเตือนศิษย์ทั้งหลายเกี่ยวกับการบ้านว่าต้องทำให้เสร็จมาในจดหมายด้วย
การบ้าน…อ้อ ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดกับขนหางจิ้งจอกสามเส้น มีเรื่องนี้ด้วยนี่นา
นางบิดขี้เกียจแล้วกลิ้งไปมาบนพรมปุยเมฆ พลางเอ่ยปากอย่างเกียจคร้านว่า “ฉีหนาน ไปลาออกแทนข้าด้วย ข้าไม่อยากไปเรียนแล้ว”
ฉีหนานคิดไม่ถึงว่า ผ่านไปสามเดือนองค์หญิงกลับบอกว่าจะลาออก เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออกใครจะรู้ว่านางกลับกลิ้งไปมาอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นนั่งพลางกล่าวว่า “ไม่ ไม่ลาออก ข้าจะไป”
ฉีหนานถูกนางทำให้มึนไปหมดแล้ว “องค์หญิง ท่าน…”
เสวียนอี่ยิ้มให้เขา “ข้าบอกแล้วว่าข้าไป”
เรื่องอะไรคนที่ลาออกต้องเป็นนาง นางไม่ทำ
…
นับตั้งแต่ที่มหาเทพไป๋เจ๋อรับฝูชางและเสวียนอี่เป็นศิษย์ ก็ได้กล่าวแล้วว่า ในห้าหมื่นปีจะไม่มีการรับศิษย์ใหม่เพิ่มอีก หน้าตำหนักหมิงซิ่งที่เคยเต็มไปด้วยเทพมากมายกลายเป็นเงียบเหงา แต่ใครก็ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ที่หน้าประตูถึงได้มีรถมากมายต่อแถวเรียงกันยาวหลายลี้เต็มท้องถนนไปหมด
เสวียนอี่หนีบกล่องแก้วที่ใส่ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดกับขนหางจิ้งจอกสามเส้นไว้ และยืนอยู่หน้าประตูตำหนักหมิงซิ่งที่แน่นขนัดเบียดเสียดไปด้วยเหล่าเทพเสียงดังอึกทึกวุ่นวายได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังหาทางเข้าไปไม่ได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น นางอยากจะเขย่งเท้ายืดตัวดู แต่ว่าที่นี่มีเทพมากเกินไป แสงรัศมีเทพสว่างจ้าไปหมดจนนางลืมตาไม่ขึ้น ขณะที่กำลังสงสัยนั้น ที่บ่ากลับถูกตบเบาๆ เสียงของเซ่าอี๋ดังเข้ามาในหู “ทำไมปลาดุกอุยน้อยถึงได้มายืนโง่งมอยู่ตรงนี้ไม่ยอมเข้าไปเล่า”
เสวียนอี่คร้านจะคารวะทักทายเขา จึงเพียงกล่าวว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋คิดว่าข้าจะเข้าไปอย่างไรกัน”
เซ่าอี๋ยืดคอมองอยู่นาน พลันยื่นมือมาอุ้มนางขึ้นไปวางไว้บนบ่าแล้วสั่งว่า “เจ้าดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
…นี่เตือนให้นางรู้ตัวว่า เขาในตอนนี้ไม่รู้สึกว่าตัวนางหนักอีกแล้วใช่หรือไม่
ผลที่ถูกเขายกตัวขึ้นสูงทำให้ตานางยิ่งถูกแสงมากขึ้น เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดตาไว้แล้วรีบกล่าว “เจ็บตามาก รีบวางข้าลงเร็ว”
รู้สึกว่าเขากำลังเดินไปข้างหน้า และยังกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เจ็บก็หลับตาไว้”
ข้อศอกเสวียนอี่กระแทกใส่หัวเขา เซ่าอี๋เจ็บจนต้องร้องสูดปากออกมา “หัวถูกเจ้ากระแทกจนจะเป็นรูแล้ว เจ้านี่มันปลาดุกอุยน้อยใจคออำมหิตจริงๆ”
เขาแบกนางเดินผ่านเหล่าเทพที่เบียดเสียดอยู่หน้าตำหนักเข้าไปด้านใน ใครจะรู้ว่าในตำหนักก็ยังเต็มไปด้วยเทพ เทพรับใช้ที่มักจะยืนเฝ้าประตูทั้งสองคนต่างก็ถูกเบียดจนออกไปไม่ได้ พวกเขาต่างกระโดดไปมาอย่างร้อนรนอยู่ด้านใน เซ่าอี๋วางเสวียนอี่ลงบนพื้นเบาๆแล้วคลำหัวพลางกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น”
เทพรับใช้ทั้งสองกระทืบเท้าแล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เพราะมหาเทพ! พูดอะไรไม่เคยคิดก่อน!”
พวกเขาพูดวกวนไปมาอยู่นาน เสวียนอี่ถึงจับใจความได้ว่า ที่แท้มหาเทพไป๋เจ๋อว่างตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว แต่ก็กลัวว่าหากกลับมาที่ตำหนักหมิงซิ่งจะถูกเร่งให้มาบรรยายบทเรียน จึงอยู่ที่ตำหนักเหวินหวาไม่ยอมไปไหน แสร้งทำเป็นว่าตัวเองกำลังยุ่ง วันก่อนกลับพบกับมหาเทพเจินอู่และมหาเทพไท่จางที่มาส่งรายชื่อลูกศิษย์ที่จบการศึกษาเข้าพอดี มหาเทพทั้งสองพูดคุยกับเหล่าศิษย์ทั้งหลายของตนอยู่พักหนึ่ง มหาเทพไป๋เจ๋อผู้ขยันสร้างเรื่องก็อดที่จะเอ่ยแทรกไม่ได้ พูดว่าวิธีสอนของมหาเทพคนอื่นทำให้ศิษย์ที่จบมามีแต่พวกบัณฑิตรู้แต่หนังสือ จึงไปทำให้มหาเทพทั้งสองโมโห และอาศัยวันนี้วันที่มหาเทพไป๋เจ๋อเริ่มเปิดการเรียนการสอน จึงพาเหล่าศิษย์ทั้งหลายบุกเข้ามาในตำหนักหมิงซิ่งเพื่อจะมาเปรียบเทียบลูกศิษย์กัน สุดท้ายทำให้เหล่าเทพมากมายพากันมามุงอย่างสนุกสนาน และล้อมตำหนักหมิงซิ่งเอาไว้อย่างแน่นขนัด
เสวียนอี่เป็นพวกชอบดูความสนุกอย่างไม่สนปัญหาอยู่แล้ว มีเรื่องสนุกอย่างนี้ให้ดู นางจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร จึงลากเซ่าอี๋แล้วสั่งการทันที “รีบช่วยพาข้าเบียดเข้าไปเร็ว”
เซ่าอี๋อุ้มนางขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงแล้วก้มหน้าถามนาง “นี่ข้าเป็นพวกใช้แรงงานหรือ”
พูดแล้วก็ไม่รอให้นางตอบ แหวกกลุ่มเทพที่ยืนอย่างเบียดเสียดเข้าไปในตำหนัก ได้ยินเสียงเยือกเย็นของจื่อซีดังออกมาจากด้านหลังว่า “มหาเทพทั้งสองอย่าโกรธไปเลย ข้าคิดว่าระหว่างศิษย์ไม่มีการเปรียบเทียบสูงต่ำกัน ศิษย์ทั้งหลายติดตามอาจารย์เพื่อฝึกฝน เพื่อให้อนาคตสามารถควบคุมกฎสวรรค์และทำหน้าที่ได้ สุภาษิตกล่าวว่า ทุกอย่างมีสั้นมียาว ตำแหน่งเทพที่ต่างกัน ความสามารถที่ต้องการก็ต่างกัน มหาเทพทั้งสองไยจะต้องให้ศิษย์มาแข่งขันต่อสู้กันด้วย จะบาดหมางกันเปล่าๆ”
นางพูดทั้งวกวนทั้งอ้อมค้อม และไม่ยอมกล่าวถึงเรื่องที่มหาเทพไป๋เจ๋อพูดจาผิดไปออกมาเลย แต่กลับน่าฟังยิ่ง เซ่าอี๋ยิ้มอย่างอดไม่ได้แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงจื่อซี สมแล้วที่เป็นศิษย์คนเก่งของอาจารย์”
ด้านนอกตำหนัก ในลานที่ดอกจื่อหยางผลิบานสะพรั่งเองก็เต็มไปด้วยเทพมากมาย แต่ว่ากลับแบ่งเป็นสองกลุ่ม และยืนอยู่เบื้องหลังมหาเทพทั้งสอง เสวียนอี่กวาดตามองไปเห็นลูกศิษย์ของมหาเทพทั้งสองมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนก็ประหลาดใจมาก “ทำไมพวกเขาถึงได้มีลูกศิษย์มากขนาดนี้”
เซ่าอี๋วางนางลง “เจ้าคิดว่าอาจารย์ของแดนเทพแต่ละคนต่างก็เอาแต่ใจเหมือนกับอาจารย์ของพวกเราหมดหรือ ที่คิดจะรับก็รับ ไม่อยากรับก็ไม่รับ อาจารย์มหาเทพทั้งหลายของหมู่ตำหนักหมื่นเทพ มีใครบ้างที่มีลูกศิษย์หลายสิบคนหรือมากกว่าร้อยคน นี่ยังนับว่าน้อยนะ”
ศิษย์ของตำหนักหมิงซิ่งยังมาไม่ครบ ทุกคนยืนอยู่ข้างดอกจื่อหยาง จื่อซียืนอยู่หน้าสุดด้วยท่าทีราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ และให้บรรดาศิษย์น้องทั้งหลายอยู่ด้านหลัง ไท่เหยายังมาไม่ถึง อาจารย์ก็ยังไม่ตื่น ในที่นี้นางถือว่าอาวุโสที่สุดนางจึงถอยไม่ได้
เห็นเซ่าอี๋กับเสวียนอี่มาถึง นางก็รีบใช้สายตาบอกเป็นนัยให้พวกเขาไปอยู่ด้านหลังนางทันที ทันใดนั้นมหาเทพเจินอู่ก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ไม่ต้องพูดไร้สาระ! มหาเทพไป๋เจ๋ออยู่ที่ไหน เป็นอาจารย์แท้ๆ หรือว่าตอนนี้เขายังนอนอยู่อีก จากนิสัยอวดดีโอหังของเขา ยังมีหน้ามาสั่งสอนพวกข้าอีก!”
จื่อซีก้มหน้าแล้วกล่าวว่า “เทพรับใช้ไปเชิญอาจารย์แล้ว เชิญมหาเทพทั้งสองไปที่โถงด้านหน้าก่อน ให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้จิบชากัน”
มหาเทพเจินอู่ไหนเลยจะสนใจนาง เขากล่าวเสียงเย็นว่า “วันก่อนมหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวว่าศิษย์ที่ข้าสั่งสอนมามีแต่พวกบัณฑิตเก่งแต่ในตำรา ดูแล้วศิษย์ของเขาคงเก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊สินะ เทพธิดาจื่อซีมีไหวพริบดีและเชี่ยวชาญเจรจา คิดว่าคงเป็นศิษย์คนเก่งของมหาเทพแน่ หมิงซิ่ว เจ้าไปขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่หญิงจื่อซีเสียหน่อย”
กล่าวจบ เทพธิดาที่มวยผมเป็นจุกสองข้างคนหนึ่งก็ก้าวออกมาแล้วประสานมือคารวะ นางไม่ให้จื่อซีได้คารวะตอบ นางพลันดีดปลายนิ้ว นกตัวเล็กสีแดงนับสิบพุ่งออกมา พวกมันล้วนแต่สร้างขึ้นจากไฟ
จื่อซีถือกำเนิดในตระกูลเทพนักรบ แต่ว่าตระกูลนางเองก็มีความคิดเหมือนกับมหาเทพไป๋เจ๋อ รอให้อายุถึงสี่หมื่นปีก่อนแล้วจึงเริ่มฝึกฝนวิชาเวท เวทที่นางใช้ได้ก็มีเพียงเวทที่เหล่าเทพใช้ได้แต่เกิดเท่านั้น ไม่มีบทไหนที่สามารถต้านนกเพลิงได้เลย จึงได้แต่ต้องหลบเลี่ยงเท่านั้น
ทันใดนั้น เงาร่างสีม่วงเข้มสายหนึ่งพลันมาขวางด้านหน้านาง แล้วยกแขนขึ้นขวางเพลิงจากนกเหล่านั้นเอาไว้ เขาสะบัดแขนเสื้อ นกทั้งหมดก็หยุดนิ่งบนแขนเขาและร้องเสียงดังออกมาอย่างดีใจ
จื่อซีกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว สายตานางนิ่งค้างจับจ้องไปยังเซ่าอี๋ที่อยู่ตรงหน้านาง เขาใช้ปลายนิ้วหยอกล้อกับเหล่านกตัวน้อยพวกนั้น พลางหันมายิ้มหวานให้นาง “ศิษย์พี่หญิง ระวังหน่อย อย่าให้เสื้อผ้าถูกเผาได้”
—
[1]ติงเซียง : ดอกกานพลู