บุหลันเคียงรัก - บทที่ 79 หาเรื่องให้ตัวเอง
เซ่าอี๋เบิกตากว้าง นี่เป็นคำเตือนที่มีพลังคุกคามน่ากลัวที่สุดและเหนือความคาดหมายที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา เขาจ้องนางราวกับไม่เคยรู้จักกันอยู่นาน สุดท้ายใบหน้าจึงค่อยๆปรากฏรอยยิ้มออกมาอย่างงดงาม
“ไม่เข้าใกล้เทพธิดาคนอื่น ข้าก็เหลือแค่เจ้าแล้ว” เขาใช้แขนยันไปด้านหลังแล้วแหงนหน้าเล็กน้อย ผมยาวสีดำสนิทของเขาปกคลุมบนมวลดอกไม้ เพราะเมื่อครู่นี้เขาหยอกล้อเล่นกันทำให้ปกเสื้อคลายออกจนเผยให้เห็นหน้าอกขาวราวกับหิมะที่เต็มไปด้วยรอยเล็บโผล่ออกมา
เสวียนอี่เอียงคอมองไปยังรอยเล็บบนกระดูกไหปลาร้าของเขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านจะลองดูก็ได้ว่าข้าจะติดเบ็ดหรือไม่”
เซ่าอี๋ประคองท้ายทอยนางเอาไว้แล้วเข้าไปใกล้จนแทบจะชิดหน้าผากนางพลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ปลาดุกอุยน้อย วาจาเยี่ยงนี้จะพูดออกมาง่ายๆไม่ได้”
“อ้อ” เสวียนอี่ผลักเขาออกแล้วยิ้ม “แล้วท่านคิดวิธีดีๆอะไรออกไหม”
เซ่าอี๋สบตากับนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วฝืนยิ้ม “เจ้าไปเรียนรู้วิธีล่อลวงแบบนี้กับใครมา”
นางไม่ติดเบ็ด แต่เขากลับอยากจะติดเบ็ดแทนแล้ว ไม่ดีไม่ดี อย่างนี้แย่แน่
เสวียนอี่เบนสายตาออก ในน้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความเสียดสี “ในหัวท่านมีแต่เรื่องกามอารมณ์ มองใครก็เห็นว่าเขาล่อลวงท่านไปเสียหมด ศิษย์พี่เซ่าอี๋ คิดดีหรือยังว่าจะบอกความจริงกับข้าหรือไม่ ข้าว่างมาก มีเวลามากมายถมเถไป”
เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วเอนกายนอนลงไปบนทุ่งดอกไม้พร้อมกล่าวเสียงเนิบนาบว่า “ความอดทนของข้าก็ไม่เลวนัก”
เสวียนอี่กล่าว “บังเอิญจริงๆ ความอดทนข้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน”
เซ่าอี๋ฝืนยิ้ม หาเรื่องให้ตัวเอง เขานี่ช่างหาเรื่องให้ตัวเองจริงๆ เขาพลิกตัวนอนหงาย ลูกตากลอกไปมาแล้วมองไปที่ร่างของเสวียนอี่ ใบหน้าด้านข้างของนางงดงามนุ่มนวล ขนตายาวเป็นแพ ดวงตาที่ราบเรียบและห่างเหินมองสบกับเขา
เขายื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้างามเกลี้ยงเกลาของนาง นางค่อยๆเบือนหน้าออก เขากลับกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เจ้าจูบข้าสักครั้ง บางทีข้าอาจจะลองพิจารณาดูว่าจะบอกเจ้าหรือไม่”
เสวียนอี่ควานเอาหิมะออกมาก้อนหนึ่ง แล้วมองไปที่เขาอย่างจริงจัง “ท่านกินหิมะไปสักร้อยก้อน บางทีข้าอาจจะพิจารณาดูว่าจะปล่อยท่านไปไหม”
เซ่าอี๋ไม่รู้ว่าเขาควรจะโมโหหรือหัวเราะดี นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพลันลุกขึ้นคล้องแขนนางเอาไว้พร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนี้ข้ารู้ความรู้สึกของศิษย์น้องฝูชางแล้ว แม้แต่ข้ายังอยากจะตีเจ้าสักทีสองทีเลย”
อะไรไม่ควรพูดกลับพูด เสวียนอี่กล่าวเสียงเย็น “พวกป่าเถื่อนในแผ่นดินนี้มีมากพออยู่แล้ว ศิษย์พี่เซ่าอี๋เองก็อยากจะไปร่วมกับพวกเขาด้วยหรือ”
นิ้วของเซ่าอี๋ลูบไล้ลงไปตามแผ่นหลังบางของนาง แล้วเกี่ยวไปที่เอวคอดกิ่วพร้อมดึงนางเข้ามาในอ้อมอก พลางหัวเราะออกมาเสียงเบา “ข้าไม่ตีเจ้า ใช้กำลังสู้กันเสียบรรยากาศออก ตอนนี้เทพธิดาข้างกายข้าถูกเจ้าทำให้ตกใจจนหนีหายไปหมดแล้ว หากว่ามีแค่เจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว”
ทันใดนั้นมือที่เย็นเฉียบของนางพลันกดไปบนคางของเขา และผลักเขาให้ห่างออกไปช้าๆอย่างไม่สะทกสะท้าน เซ่าอี๋มองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันของนาง ดวงตาของนางราวกับกำลังบอกว่า ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องทำอย่างนี้’
ไอหยา เจ้าปลาดุกอุยน้อยตัวนี้ อยู่ต่อหน้าเขานางช่างเต็มไปด้วยความกลับกลอกและความระมัดระวังตัว และนางยังเฉลียวฉลาดมาก ครานี้คงจะยากแล้ว
เซ่าอี๋ล้มลงไปในพุ่มดอกไม้อย่างแรงแล้วยกมือก่ายหน้าผาก กล่าวออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ปลาดุกอุยน้อย เจ้านั่งของเจ้าไป ข้านอนของข้าไป ทำไมต้องไปพูดถึงพวกป่าเถื่อนอะไรนั่นให้เสียบรรยากาศด้วย มีหญิงงามข้างกาย ต่อให้เจ้ากักข้าไว้สักหมื่นปี ข้าก็ยังมีความสุข”
เสวียนอี่ลุกขึ้นยืนแล้วปัดกระโปรงพลางกล่าวว่า “หนึ่งหมื่นปี ท่านคิดมากไปแล้ว ขอตัว”
เวลานี้ เซ่าอี๋รู้สึกแล้วจริงๆว่าอะไรคือการที่จิตใจสับสนไม่รู้จะทำอะไรดีจนได้แต่ต้องฝืนหัวเราะออกมา “จะไปอย่างนี้หรือ ไม่คุยเป็นเพื่อนข้าแล้ว?”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อชีวิตข้าเป็นของศิษย์พี่เซ่าอี๋ ก็ไม่ต้องรีบร้อนว่าต้องเป็นวันนี้ ถูกหรือไม่”
หมายความว่าอีกหน่อยนางยังจะใช้วิธีนี้อีก มาไล่เหล่าเทพธิดาไปหมดแล้วตัวเองก็หนีไปด้วย ทิ้งให้เขาต้องมานั่งตากลมอยู่ลำพังจนกว่าเขาจะยอมบอกความจริงกับนาง เซ่าอี๋อดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ ช่างเป็นวิธีการที่ดีเสียจริง
เห็นชุดกระโปรงที่งดงามและซับซ้อนราวกับดอกไม้ของนางกำลังจะจากไป ในใจเขาพลันเกิดอารมณ์หิวกระหายและร้อนรนอยู่ไม่สุขขึ้นมา นางช่างเก่งกาจจริงๆ เก่งกาจมาก
“ปลาดุกอุยน้อย” เซ่าอี๋ยันร่างขึ้นแล้วเรียกนางจากด้านหลัง “หากครั้งหน้าทำอย่างนี้อีก ข้าไม่สนใจหรอกนะหากต้องเป็นคนป่าเถื่อนสักครั้ง”
เสวียนอี่กล่าวรับโดยไม่หันกลับมามอง “ข้าเองก็ไม่สนใจหรอกหากว่าจะต้องทำให้ขาซ้ายบาดเจ็บอีกครั้ง ให้ข้าได้เห็นเสียหน่อยว่าศิษย์พี่เซ่าอี๋จะป่าเถื่อนอย่างไร”
นางหมายความว่าถ้านางหนักขึ้นจะทำให้เขาแตะต้องอะไรนางไม่ได้หรือ เซ่าอี๋ล้มตัวลงไปอีกครั้ง หัวเราะไปถอนหายใจไป จนทำให้กลีบดอกไม้และต้นหญ้าร่วงเต็มไปทั้งร่าง
…
ตอนที่มหาเทพไป๋เจ๋อมาหามหาเทพเจินอู่และไท่จางที่สวนดอกไม้ทิศใต้นั้น จื่อซีกับกู่ถิงต่างก็ต้อนรับศิษย์ต่างสำนักจนร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนถึงตอนนี้ถึงได้มีเวลาหายใจบ้าง
ไท่เหยารีบร้อนตามมา เห็นพวกเขาทั้งสองมีสีหน้าเหนื่อยล้าก็หัวเราะออกมา “นี่เพิ่งจะต้อนรับศิษย์แค่เท่าไหร่ พวกเจ้าทั้งสองไม่คุ้นชิน ดูแล้วตำหนักหมิงซิ่งควรจะมีแขกให้มากหน่อยจะได้ให้พวกเจ้าได้ฝึกฝน เอาล่ะ ข้ามาแล้ว พวกเจ้าไปพักก่อน”
จื่อซีเหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าแล้วกลับไปยังโต๊ะหินตัวเล็กใต้ต้นหลิว ฝูชางยังอยู่ แต่เสวียนอี่กลับไม่อยู่แล้ว กู่ถิงดื่มชาไปครึ่งถ้วย แล้วจึงได้ถามว่า “เสวียนอี่เล่า ทะเลาะกันอีกแล้วใช่หรือไม่ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะเจ้าอารมณ์เช่นนี้”
ฝูชางไม่กล่าวอะไร แล้วเอากล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อพลางผลักไปตรงหน้าเขา กล่าวเสียงเข้มว่า “ข้าควรกลับได้แล้ว ส่งการบ้านให้อาจารย์แทนข้าด้วย คิดว่าคงจะไม่ได้มาฟังบรรยายอีกนาน”
กู่ถิงกำลังกินขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งอยู่ คำที่เขากล่าวออกมาอย่างกะทันหันอย่างนี้แทบจะทำให้เขาสำลักจนไออยู่นาน ยังดีที่จื่อซีที่อยู่ข้างกายรีบถามออกมาว่า “ศิษย์น้องฝูชางจะไปหลับใหลพันปีแล้ว? นี่…จะเร็วไปหน่อยหรือไม่ อาจารย์เพิ่งจะเรียกรวมศิษย์กลับมา ไม่เช่นนั้นก็รออีกสักหน่อย อย่างน้อยก็ให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องได้ทักทายกันก่อน ไหนจะเสวียนอี่อีก…”
ฝูชางยิ้มแต่กลับมีท่าทีเยือกเย็น ไม่รู้ทำไมสีหน้าของเขาจึงดูขาวซีดราวหิมะ ปราณชีวิตทั้งหมดที่เคยมีราวกับถูกเก็บกลับไปหมด เหลือไว้แต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น
“ไม่จำเป็น” ฝูชางลุกขึ้นยืนแล้วคารวะ “รักษาตัวด้วย อีกพันปีพบกันใหม่”
กู่ถิงเห็นเขาบอกว่าจะไปก็ไป จึงรีบไล่ตามไป “ข้าจะไปส่งเจ้า…เกิดอะไรขึ้นกัน”
แน่นอนว่าหากจื่อซีไล่ตามมาคงดูไม่เหมาะนัก เดิมนางกับฝูชางก็ไม่ได้สนิทสนมกันมาก ก่อนหน้านี้ยังตกหลุมรักเขามาเป็นหมื่นปี และความลุ่มหลงที่เหลวไหลนี่ยังจบลงอย่างเหลวไหลอีก ทำให้เวลานางพบกับฝูชางจะรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา สถานการณ์อย่างนี้ให้กู่ถิงเป็นคนไปจัดการจะเหมาะสมกว่า
นางนั่งอยู่ครู่หนึ่ง และมองหาเงาร่างสีม่วงไปทั่วอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้ว่าการกระทำอย่างนี้ช่างน่าขันและไร้ความหมาย แต่ว่านางก็ยังอดใจไม่ได้
ราวกับจิตใจเชื่อมถึงกันอย่างนั้น ไม่นานนางก็เห็นร่างของเซ่าอี๋อยู่ที่ทุ่งดอกไม้ฝั่งตรงข้ามริมทะเลสาบ ข้างกาย…ข้างกายเขากลับไม่มีสาวงามอยู่รายล้อม เขานั่งอยู่ในทุ่งนั่นตามลำพัง ชุดคลุมยาวสีม่วงแผ่ไปราวกับภาพวาด
จื่อซีรู้สึกว่าในอกนางราวกับมีอะไรกระแทกลงมาที่ใจนาง จนทำให้จิตใจไม่สงบ นั่งไม่ติดที่
ไม่นานกู่ถิงก็ย้อนกลับมาด้วยสีหน้างุนงงพลางถอนหายใจ “ถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ หรือว่าจะถูกเสวียนอี่ทำให้โมโหเข้า”
แน่นอนว่าจื่อซีได้ยินที่เขาพูดไม่ชัดนัก ราวกับวิญญาณของนางล่องลอยไปไกล ข้อมือขยับน้อยๆแล้วรินชาให้ตัวเอง กระทั่งชาในปากร้อนหรือเย็นนางยังไม่รู้
อะไรบางอย่างในอกที่ตกลงมาเริ่มเต้นอย่างรุนแรง มันสะเทือนจนทำให้รู้สึกเจ็บ นางไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีกแล้ว จึงวางถ้วยลงแล้วลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งเสียงเรียกอย่างงุนงงของกู่ถิงไว้เบื้องหลัง