บุหลันเคียงรัก - บทที่ 82 ปลอบโยนความสับสนของข้า (ตอนปลาย)
ฝูชางจ้องนางอยู่นาน เขามองจ้องนางจนรู้สึกขนหัวลุกเสียวสันหลังวาบ ถึงได้หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “เข้ามาเถอะ”
เสวียนอี่ลังเลอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังค่อยๆ เดินผ่านประตูเข้าไป
ผ้าแพรผืนบางสีเขียวด้านในประตูบังห้องนอนเอาไว้ เดินอ้อมม่านกั้นไปก็คือห้องรับแขกเล็กๆ ห้องหนึ่งที่เอาไว้ต้อนรับแขกส่วนตัว ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยชอบโต๊ะหรือเก้าอี้ใหญ่โตเท่าไหร่นัก บนพื้นมีเบาะนั่งวางไว้ ข้างๆ คือโต๊ะไม้หลีตัวเล็กตัวหนึ่ง บนนั้นวางของประเภทสร้อยไข่มุก ผ้าคาดเอวเอาไว้ระเกะระกะ
ไม่นาน ฝูชางก็ยกชาออกมา เขาไม่ได้เปลี่ยนชุดแต่ยังคงสวมชุดคลุมยาวสีดำเหลือบเขียวเอาไว้เหมือนเดิม ผมยาวทัดไว้ข้างหู แล้วก้มหน้ารินชาให้นางพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่มีชาใหม่ ต้องขออภัยด้วย”
คราวนี้ เขากลับมาเคารพระเบียบและมารยาทอีกแล้ว
เสวียนอี่ใช้มือทั้งสองประคองถ้วยชาแล้วจิบไปหนึ่งคำ นางไม่รู้รสอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่านี่คือชาอะไร แล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะเบาๆ ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง เรื่องขนจี๋กวงเป็นเพราะท่านช่วยข้าทำการบ้าน ถึงได้ทำให้ถูกลงโทษด้วยหนาม ข้ารู้สึกผิดมาก ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เสแสร้งสร้างภาพ ใช่สิ นางมักจะถนัดพูดด้วยคำพูดเสแสร้งสร้างภาพอย่างนี้อยู่แล้ว
ฝูชางลูบถ้วยชาแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล เพื่อนร่วมสำนักก็ต้องคอยช่วยเหลือกันถึงจะถูก องค์หญิงไม่ต้องรู้สึกผิด”
อ้อ ไม่เป็นไรก็ดี
เสวียนอี่พยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม นางคิดอยู่นานแล้วถามไปว่า “เรื่องหลับใหลพันปี เกรงว่าต้องรอให้ผ่านการลงโทษด้วยหนามไปก่อนใช่หรือไม่ จะราบรื่นไหม”
ฝูชางมีท่าทีเย็นชา “นี่คือเรื่องส่วนตัว ไม่รบกวนองค์หญิงให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”
เสวียนอี่พลันรู้สึกไม่อยากจะอยู่ต่อไป นางขยำแขนเสื้อไปมาราวกับนั่งอยู่บนเข็ม ไปดีไหม ไปดีไหม ไปเถอะ รีบกลับไป อย่างไรก็มาขอโทษแล้ว ดูแล้วเขาก็มีท่าทางไม่เลว อีกหน่อยพอหลับใหลพันปีเลื่อนขั้นแล้วก็ไปรำกระบี่ที่เยี่ยมยอดของเขาได้อีก
นางดื่มชาไร้รสชาตินั่นจนหมดถ้วย กำลังจะกล่าวขอตัว สายตาพลันเห็นเสื้อคลุมตัวยาวสีดำเหลือบเขียวของเขาเหมือนกับเปียกชื้น นางถึงได้พบว่า ใบหน้าของเขาขาวซีดผิดปกติ ที่หน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา แต่ว่าเขากลับมาท่าทางสงบราวกับทุกอย่างปกติดี
เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านเป็นอะไรไป”
ฝูชางรินชาเต็มให้นางจนเต็มถ้วยด้วยท่าทางปกติแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์หญิงหมายถึงอะไร”
เสวียนอี่เห็นข้อมือที่โผล่ออกมาตอนเขายกมือ
บนนั้นเต็มไปด้วยอักขระเวทสีดำราวกับเถาวัลย์ นางยื่นมือออกไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันที หากเป็นเวลาปกติด้วยฝีมือเขาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางถูกนางคว้าได้แน่ แต่ครั้งนี้เขากลับหลบไม่พ้นและถูกมือเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งของนางกำไว้ นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นอักขระเวทของการลงโทษด้วยหนาม
เห็นนางยื่นนิ้วจะไปแตะ ฝูชางก็รีบกล่าวห้ามทันที “อย่าแตะ”
ใครจะรู้ว่ายังสายเกินไป นิ้วมือที่เยือกเย็นและอ่อนนุ่มของนางกดลงไปบนอักขระเวทเบาๆ ร่างทั้งร่างพลันหายเจ็บปวดขึ้นมา ฝูชางชะงักไปและนึกได้ว่านางคือตระกูลจู๋อิน เวททุกอย่างทำอะไรนางไม่ได้ อักขระลงโทษด้วยหนามเองก็ไม่มีผลกับนางเช่นกัน
เขามองวงแหวนสีทองบนศีรษะของเสวียนอี่เงียบๆ นางก้มหน้าจ้องไปที่อักขระเวทอย่างตั้งใจ แล้วยังใช้นิ้วมือลูบไล้ช้าๆ ผ่านไปนานนางถึงได้ค่อยๆ วางแขนเขาลง แล้วเอาแขนเสื้อลงมาปิดพร้อมเงยหน้ามองเขา แววตาที่มักจะสงบราบเรียบกลับปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา
“……จะตายไหม” เสียงของเสวียนอี่สั่นเครือ
ร่างของเขากำลังถูกเข็มนับหมื่นนับพันทิ่มแทงไปตามร่างกาย แต่ว่าเขากลับรู้สึกอยากยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
“คนธรรมดาถึงจะเรียกว่าตาย เผ่าเทพมีแต่ดับสูญ” นี่คือครั้งที่สามแล้วที่เขากล่าวเตือนนาง
เสวียนอี่ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวไปที่แขนเสื้อคลุมยาวที่บางและนุ่มนั่นไว้ นิ้วนางพันม้วนอยู่หลายรอบแล้วก้มหน้าเปลี่ยนคำพูดใหม่ “……จะดับสูญไหม”
เถาวัลย์สายนี้พลันเลื้อยพันขึ้นมา ฝูชางนิ่งเงียบไปแล้วออกแรงดึงแขนเสื้อกลับมา นางเกี่ยวอยู่นานกลับเกี่ยวกลับมาไม่ได้ จึงเปลี่ยนไปเป็นสายคาดเอวที่ห้อยลงมาที่พื้น นางหยิบขึ้นมาแล้วม้วนไปที่แขนรอบแล้วรอบเล่า
เขาไม่มีแรงจะห้าม จึงไม่มองนางราวกับกำลังหลบเลี่ยง พร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “ทุกวันตอนเช้าและกลางวันจะออกฤทธิ์ชั่วครู่เท่านั้น ไม่ดับสูญ”
“จริงหรือ” นางถามออกมาด้วยท่าทางไร้เดียงสาอย่างหาได้ยากยิ่ง
เถาวัลย์ไร้รูปพันรัดเขา ฝูชางหันกลับไปมองอย่างห้ามไม่ได้ บางทีอาจเพราะแสงจากด้านนอก บางทีอาจเพราะไอจากน้ำชาที่ระเหยขึ้นมา ดวงตาของนางราวกับมีประกายน้ำตาวาบผ่านไป มันรวดเร็วจนเขาแทบจะไม่เห็นร่องรอย
ทำไมถึงได้มองเขาอย่างนี้อีกแล้ว นางเหยียบย่ำเขาไปทั้งตัวแล้วครั้งหนึ่ง ยังอยากจะทำเป็นครั้งที่สองอีก เขาเข้าใจธาตุแท้ของนางดีแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังไม่ได้หลับใหลพันปี ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปที่ตำหนักหมิงซิ่งด้วยความคิดอะไร ถึงได้ไปเห็นนางและเซ่าอี๋กำลังพัวพันกันอย่างสนิทสนมเข้า
อยากจะกำจัดความรู้สึกขาดของเจ้า เจ้าก็ควรจะไปหาผู้ชายที่เหลวแหลกเสื่อมทรามเหมือนกันกับเจ้า วันนั้นเขาพูดออกไปอย่างนี้ และนางก็ทำให้เขาเห็นแล้ว
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมยังมาถามเรื่องหลับใหลพันปีอีก ทำไมวันนี้ยังมาที่วังเทพบูรพาอีก
เขาไร้เรี่ยวแรงกับความอ่อนแอของตัวเอง การนิ่งเงียบของเขาในตอนนี้ก็คือการรักษาศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่ของเขา จัดการเขาหนักๆ ให้เขาตายใจไปเลยไม่ได้หรือ
เสวียนอี่กำผ้าคาดเอวของเขาแน่น แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เบาราวกับหายใจ “ข้ารอให้มันจบลงก่อนแล้วค่อยไปได้ไหม”
ฝูชางมองมือที่กำสายคาดเอวของเขาไว้แน่นนิ่งๆ วันนี้เล็บมือของนางแดงราวกับเลือด ทำให้นิ้วมือของนางยิ่งดูขาวซีด ร่างทั้งร่างขององค์หญิงมังกรเองก็ดูขาวซีดมาก ราวกับสร้างขึ้นมาจากหิมะตระกูลจู๋อินของนางอย่างนั้น เขาไม่สามารถลืมท่าทางโดดเดี่ยวของนางที่รออยู่หน้าตำหนักเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนได้เลย นางกำลังรอเขาอยู่
เข็มเหล่านั้นราวกับทิ่มแทงลงไปในทรวงอกจนทำให้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกเสียใจ
ฝูชางยกมือขึ้นช้าๆ แล้ววางบนบ่าของนาง พลันออกแรงดึงนางเข้ามาในอ้อมอกแล้วกอดไว้แน่น
หากว่าไม่ยอมจัดการเขาให้หนักถึงชีวิต ก็ลากเขาลงไปต่อเถอะ เขาถูกนางดึงลงมาจนจมลงสู่ธุลีดินแล้ว จะแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ หรือจะถูกนางจับเอาไว้เขาเองก็สุดจะรู้ได้
ร่างในอ้อมอกนิ่งและอ่อนนุ่มมาก ไอเย็นจากร่างของนางทำให้ความเจ็บปวดจากการลงโทษของหนามนั่นเบาบางลงไปมาก
ฝูชางใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามใบหน้าเย็นน้อยๆ นั่นของนาง นางลังเลแล้วหลบน้อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับตัว ปล่อยให้เขาจับคางเอาไว้พร้อมกับเชยขึ้น
สายตาสองคู่ประสานกัน แววตาขององค์หญิงมังกรดูราวกับลังเล คล้ายกับพึงใจแต่ก็คล้ายกับตื่นกลัว ราวกับกำลังบอกว่า ดูสิ สุดท้ายท่านก็ยังตกลงมา
ใช่แล้ว เขาก็ยังตกลงมาอยู่ดี
ทำไมถึงต้องเป็นเขา ทั้งวิธีการที่โหดเ**้ยมและชำนาญ ไหนจะท่าทางที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่นอีก องค์หญิงมังกรของเขา ทำไมถึงได้เป็นเขา
ฝูชางก้มหน้าลงอย่างนึกแค้นใจ แล้วอ้าปากกัดริมฝีปากที่ทั้งน่ารักและน่าแค้นนั่นของนาง ร่างทั้งร่างของนางแข็งค้าง ไม่นานก็เริ่มดิ้นรน นางปัดป่ายดึงทึ้งไปทั่วทั้งคอและผมของเขา บ่าและแขนทั้งสองของเขารัดนางไว้แน่น มือข้างหนึ่งกดที่ท้ายทอยของนางแล้วโน้มลงมาหาตัวเอง
กลีบปากของนางที่ถูกเขากัดทั้งเยือกเย็นและอ่อนนุ่ม เขาค่อยๆ อ้าปากแล้วใช้ริมฝีปากคลอเคลียพัวพันไว้ ลมหายใจร้อนผ่าวของนางปะทะเข้ากับใบหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับโลกทั้งใบมีแต่เพียงกลิ่นอายของนาง กลิ่นชาบริสุทธิ์ กลิ่นหอมเอกลักษณ์ของตระกูลจู๋อิน รวมถึงกลิ่นอายประจำตัวขององค์หญิงมังกรที่ทำให้เขาทั้งหลงใหลทั้งอยากจะขับไล่นั่น
แค่ใช้ริมฝีปากพัวพันเหมือนจะไม่เพียงพอต่อความต้องการเขา ฝูชางพลันผละออกจากนางมาหลายชุ่น เขาหายใจหอบน้อยๆ แล้วมองไปยังใบหน้าแดงก่ำอย่างหาได้ยากของนาง ดวงตาที่มีประกายราวกับมีเรื่องในใจของนางถูกเขาใช้มือปิดเอาไว้
“……เอาใหม่อีกรอบ”
เขาจุมพิตลงไปที่ริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แล้วอ้าปากงับไว้ เหมือนเขาพลันรู้ได้เองว่าจะต้องจูบอย่างไร ค่อยๆ ละเลียดและดูดกลืนช้าๆ ไม่ว่านางจะพยายามหลีกหนีไปทางไหนก็ไม่สามารถหลบได้พ้น เขาใช้ลิ้นตวัดลงไปยังลิ้นที่สั่นเทาของนางอย่างลองหยั่งเชิง นางพลันส่งเสียงคล้ายตกใจคล้ายโมโหออกมาและยิ่งออกแรงดิ้นรนมากขึ้นพร้อมกับกัดที่ริมฝีปากเขาอย่างแรง
ฝูชางเบี่ยงหัวออกแล้วกอดนางเอาไว้ พร้อมกับพลิกตัวกดไปที่ชั้นหนังสือ เขายังคงปิดดวงตาของนางเอาไว้ นางกำลังจะกล่าวอะไรออกมา ริมฝีปากกลับถูกเขาประกบลงมาอีกครั้ง
ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น
เขากัดลงไปที่ริมฝีปากของนางอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ราวกับริมฝีปากทั้งสองจะเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง เขาและนางเกี่ยวรัดพัลวันกันไม่ปล่อย
ความเจ็บปวดจากการลงโทษด้วยหนามทำให้เขามีสติตื่นตัวมาก แต่เขาก็ยังคงไม่หยุด องค์หญิงมังกรของเขา เขาอยากจะบีบนางจนแตกสลายกลายเป็นชิ้นๆ แต่ว่าเขาทำไม่ได้ เขาอยากจะผลักนางออกไปให้ไกลสักหมื่นลี้ แต่เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ก็จุมพิตนางเสีย ไม่ต้องมองนาง ไม่ต้องพูดคุย และปล่อยให้เขาจมอยู่อย่างนี้ต่อไป