บุหลันเคียงรัก - บทที่ 83 ให้ข้าสลายไป (ตอนต้น)
สายลมพัดมาจากลานในจวนทำให้ผ้าแพรบางปลิวไสว ชาในถ้วยเย็นชืดหมดแล้ว แต่องค์หญิงในอ้อมอกเขากลับยังคงดิ้นรนไม่หยุด
มือทั้งสองของนางกำหมัดแน่นยันไว้ที่แขนของเขาราวกับกำลังยืนกรานอะไรบางอย่าง วงแหวนทองไหลตกลงไปบนชุด ผมยาวหลายเส้นเข้าไปในริมฝีปากที่ยังคงพันเกี่ยวกันทั้งสองนั่น
ฝูชางถอยห่างจากนางออกมาเล็กน้อย ดวงตาของนางถูกเขาใช้มือปิดเอาไว้เหลือเพียงแค่หน้าครึ่งล่าง ริมฝีปากอิ่มเอิบของนางอ้าน้อยๆ และเปียกชื้น นางหอบหายใจถี่ทำให้ผมแนบติดไปและสั่นไหวไปตามจังหวะหายใจ
ราวกับในกระแสเลือดกำลังเดือดพล่าน รวมกับความเจ็บปวดที่ได้รับจากการถูกลงโทษแล้ว กลับยิ่งทำให้เขากล้ามากขึ้น เขาใช้มือปัดผมที่เข้าไปในปากนางออก พร้อมค้อมตัวลงไปเลียริมฝีปากชื้นของนางหนึ่งครั้ง
เสียงลมหายใจแผ่วเบาและนุ่มนวลของเสวียนอี่ดังมา นางหน้าแดงก่ำพยายามเบือนหน้าหลบ ริมฝีปากของเขาประทับไปยังใบหน้าร้อนผะผ่าวของนาง สัมผัสกับผิวเนียนละเอียดราวกับกลีบบุปผาของนาง เขาพรมจูบไปมาบนใบหน้าของนางอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มือที่ปิดดวงตาของนางไว้ก็คลายออก นิ้วมือลูบไล้ไปมาที่คอเรียวระหงของนางตามสัญชาตญาณ
องค์หญิงมังกรในอ้อมอกพลันเริ่มดิ้นรนแรงขึ้น หมัดที่ยันอยู่ที่อกของเขาทั้งสองก็ออกแรงทุบเขาและผลักออก
ฝูชางค่อยๆ วางนางลงและปล่อยให้นางเตะต่อยร่างของเขานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายนางออกแรงมากเกินไปจนตัวเองล้มลงไปที่นั่ง หนังสือบนชั้นวางหนังสือถูกชนจนตกลงมาบนตัวนางหลายเล่ม
น้อยครั้งนักที่นางจะมีท่าทีดูไม่ได้อย่างนี้ บนชุดสีเขียวอ่อนราวกลีบดอกบัวของนางมีแต่รอยยับย่น ผ้าแพรคลุมบ่าตกลงไปที่พื้นและพัดไปกับผมยาวของนางที่สยายลงมา ฝูชางค้อมตัวลงไปดึงนาง นางกลับเริ่มออกแรงอีกครั้ง ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด “อย่าแตะข้า!”
นางขดตัวกลมอยู่ใต้ชั้นวางหนังสือ ใช้นิ้วมือสางจัดผมให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วพร้อมใส่วงแหวนทองเข้าไปใหม่ ฝ่ามือก็ออกแรงดึงชุดให้เรียบ ใบหน้าแดงระเรื่อมึนงงเมื่อครู่นี้หายไปในพริบตาและกลับมาเป็นใบหน้าที่เย็นชาขาวซีดดังเดิม
เสวียนอี่จัดการชุดเสร็จพลันลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างนอก
ฝูชางคิดถึงปฏิกิริยาของนางไว้ว่า นางจะต้องพุ่งเข้ามาตีหรือใช้คำพูดเสียดสีคมกริบกับเขา กระทั่งร้องเรียกเทพขุนนางเสียงดังว่าเขาไร้มารยาท แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า นางจะไม่พูดอะไรแล้วจากไปทั้งอย่างนี้
จะไปอย่างนี้เลย? คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป คิดจะตามเกาะเขาแจก็ทำ คิดจะทิ้งกันดื้อๆ ก็ไป นางมักจะมีท่าทีอย่างนี้กับเขาเสมอ คิดแต่จะเหยียบย่ำเขา
ฝูชางคว้าแขนนางอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า นางเองก็พลิกฝ่ามือตีกลับมาอย่างไม่เกรงใจทันควัน ทั้งตีทั้งเตะโดยไม่สนภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น แต่เขากลับไม่ขยับและปล่อยให้นางตีอยู่อย่างนั้น สุดท้ายนางออกแรงมากเกินไป น่าจะรวมกับพื้นที่ลื่นด้วยจึงลื่นจนเกือบล้มลงไป
ฝูชางประคองนางเอาไว้ เห็นนางยังคงดิ้นรนเตรียมหนีต่อ ในใจก็มีโทสะขึ้นมา เขาจับแขนทั้งสองแล้วไขว้กันไว้ด้านหน้าของนาง เสวียนอี่ออกแรงดิ้นแต่สู้แรงเขาไม่ได้ นางเหนื่อยจนหอบหายใจแรงแล้วนิ่งไปในอ้อมอกเขา
ฝูชางออกแรงกอดนางแน่น พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัวว่า “ไม่ใช่จะมาเกาะติดข้าหรือ ทำไมคิดจะหนีอีกแล้ว”
เกาะติดเขาด้วยวิธีสารพัด ดึงกระชากเขาลงมา ในเมื่อเขาลงมาแล้วก็ลงมาให้ถึงที่สุด หนึ่งดาบเสียบเข้าที่หัวใจ? หรือใช้แขนทั้งสองกอดนางให้แน่น? ในเมื่อมาแล้วก็อย่าได้คิดจะไปอีก เลิกคิดไปได้เลย
เสวียนอี่หอบหายใจแล้วพลันหยุดนิ่ง ผ่านไปนานถึงได้เอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงของนางดูยั่วยวนอย่างเสแสร้ง “ศิษย์พี่ฝูชางอยากจะฝืนใจข้าให้ประสานหยินหยาง[1]กับท่านหรือ”
แขนฝูชางสั่นไหวน้อยๆ เขาก้มหน้ามองนาง นางก้มหน้าต่ำจนปกปิดอารมณ์ทุกอย่างของนางจนมิด
“…เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเขาแผ่วเบามาก
นางกล่าวช้าๆ ว่า “ต้องประสานหยินหยางกับท่านใช่หรือไม่ ท่านถึงจะยอมเลื่อนเวลาหลับใหลพันปีออกไป”
ฝูชางพลันปล่อยนางออกทันที นางใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้ทุกการดิ้นรนของเขาดูน่าขันและเห็นแก่ตัวได้ ในหูรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับพันบินอยู่ เข็มที่ทิ่มแทงในร่างเขาพวกนั้นเสมือนดั่งแทงเข้ามาในตา
เขาหลับตาลงอย่างรวดเร็วแล้วลืมตาขึ้นมามใหม่ พร้อมถามนางอย่างเฉียบขาดว่า “เจ้าชอบข้าหรือไม่”
เสวียนอี่กัดริมฝีปากอย่างเชื่องช้าพร้อมขมวดคิ้วแน่น เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขาดังก้องภายในห้อง ไม่นานก็ราวกับกลายเป็นเสียงของท่านแม่ ท่านแม่กอดนางเอาไว้ จับนางเอาไว้ น้ำตาและเลือดหยดลงมาที่ใบหน้าของนางพร้อมกัน นางกล่าวว่า อาอี่ เจ้าอย่าได้ไปรักใครง่ายๆ เด็ดขาด ตอนแรกเจ้าอาจจะรู้สึกหวานชื่นงดงาม แต่ภายหลังกลับกลายเป็นความทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น
นางกลั้นหายใจแล้วออกแรงกำหมัดแน่นพร้อมถามเขากลับไป “ถ้าหากข้าไม่บอกว่าชอบท่าน ท่านจะไม่สนใจข้าอีกแล้วใช่ไหม”
ฝูชางหัวเราะเบาๆ แล้วก้าวถอยหลังไปหลายก้าว พร้อมกับแสดงอารมณ์คล้ายอ่อนแรงออกมา แล้วถามนางต่อไปว่า “แล้วอีกหน่อยเจ้า…จะ…ชอบไหม”
ใบหน้าของนางพลันแสดงอารมณ์ลำบากใจคล้ายมีเรื่องหนักอกออกมา นางหลบการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเขาไป
เสียงของแตกละเอียดดังขึ้นข้างหูของฝูชาง เสียงนั้นสะท้อนไปมา นางไม่ได้ตอบรับเขา แต่กลับปล่อยให้ตัวเขาแตกสลายอยู่ตรงนั้น
ดาบเดียวถึงตาย
ฝูชางถอยไปอีกสองก้าว ใบหน้าของเขาพลันขาวซีดแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าไปเถอะ”
เสวียนอี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องช้าๆ นางหยุดอยู่หน้าประตู เสียงลมดังกระหึ่มพัดมารอบตัวนาง ในใจนางพลันเกิดความรู้สึกเย็บวาบขึ้นมาแล้วเรียกเขาว่า “ฝูชาง…”
มีเสียงดังชิ้ง กระบี่ฉุนจวินของฝูชางกระทบกับพื้นและตัดบทคำพูดของนางไป
ฝูชางถือกระบี่ฉุนจวินเอาไว้แล้วมองมาที่นางอย่างเย็นชา สายตาที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่นของเขาที่ทำให้นางหวาดกลัว ทำให้นางอดไม่ได้และคิดจะหลีกหนี แววตานั้นหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงความเกลียดชังและความเงียบเหงาเดียวดายเหลือประมาณ
“ไป” เขาพูดคำสุดท้ายออกมา
เกล็ดมังกรที่ลำคอยังขึ้นไม่หมด กระบี่ฉุนจวินบาดผิวที่ลำคอของนางจนเจ็บ และค่อยๆ ลามไปยังส่วนลึกทุกส่วนในร่าง ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
เขาเกลียดนางขนาดนี้?
เสวียนอี่มองเขานิ่งแล้วถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกับเดินกลับไปยังระเบียงคด นางหยิบรองเท้าตัวเองขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
กลับมาถึงโถงด้านหน้า มหาเทพไป๋เจ๋อยังคงนั่งจิบชาคุยอยู่กับเทพบูรพาเหมือนเดิม พอเห็นนางกลับมา มหาเทพไป๋เจ๋อก็ถอนหายใจแล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไปเยี่ยมมาแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ อยู่ที่นี่มานานแล้ว”
เสวียนอี่ยิ้ม “ใช่แล้ว กลับกันเถอะ”
เทพบูรพาไม่เห็นนางมีท่าทีผิดปกติ องค์หญิงน้อยองค์นี้กับไม่ยอมแสดงความรู้สึกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ในใจเขาพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา เขาส่งแขกทั้งสองลวกๆ แล้วรีบไปยังจวนของฝูชางทันที เข้าไปหลังหมอกแล้วเขากลับไม่เห็นฝูชางอยู่ในห้อง แต่กลับนั่งอยู่ลำพังบนระเบียงคด กระบี่ฉุนจวินหลุดออกจากฝักตกลงที่พื้น แต่เขากลับไม่เก็บขึ้นมา
เทพบูรพากล่าวเสียงนุ่มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ฝูชาง เจ้ากับองค์หญิงเสวียนอี่คุยกันเป็นอย่างไรบ้าง”
รออยู่นานกลับไม่ได้ยินเขาตอบกลับ เขาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ กลับพบว่าสีหน้าของเจ้าเด็กนี้ย่ำแย่มาก รัศมีเทพรอบกายเหมือนกับจะอ่อนแสงลง เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณบอกว่าวิญญาณได้รับความเสียหาย
เขารีบเข้าไปประคองไหล่ของฝูชางไว้แล้วถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะทะเลาะกับองค์หญิงเสวียนอี่อีกแล้ว”
ฝูชางยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บกระบี่ฉุนจวินเข้าฝักไปพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ท่านพ่อไม่ต้องกังวล”
เทพบูรพาขมวดคิ้วแล้วมองเขาเดินกลับไปในห้องช้าๆ พร้อมกับเอากระบี่ไปแขวนไว้ จากนั้นก็เข้าไปในห้องนอนหลังม่านบางแล้วเงียบไป
—
[1]ประสานหยินหยาง : หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์กัน ชาวจีนถือให้ชายเป็นธาตุหยาง หญิงเป็นธาตุหยิน การที่หยินหยางประสานกันก็เท่ากับการเติมเต็มซึ่งกันและกัน ให้ชายมีหยินและให้หญิงมีหยาง