บุหลันเคียงรัก - บทที่ 88 ฝูชางจับผี (ตอนปลาย)
สายตาเย็นชาที่คุ้นเคย
เสวียนอี่ตกใจมาก รู้สึกราวกับว่าเขามองเห็นนางได้อย่างไรอย่างนั้น นางถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว กำลังคิดอยู่ว่าจะหาโอกาสปรากฏตัวเมื่อไหร่ เขาพลันลุกขึ้นยืนกะทันหัน แล้วโยนกระดาษเหลือง[1]มาแผ่นหนึ่ง พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “ผีอะไร”
กระดาษเหลืองแผ่นนั้นแปะติดลงที่บ่าของนาง เสวียนอี่ก้มหน้าลงไปมองมันแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง สุดท้ายก็หันกลับไปมองนอกหน้าต่าง หัวหน้าเทพผู้ตรวจการที่แอบอยู่ทำปากบอกนางว่า บอกเจ้าแล้วว่าให้ระวัง!
…หมายความว่าฝูชางที่กลายเป็นมนุษย์ไม่ใช้กระบี่ฉุนจวินมั่วซั่วแล้ว แต่เปลี่ยนมาโยนกระดาษยันต์แทนหรือ อีกอย่าง นางยังไม่ได้ปรากฏตัวแท้ๆ เขามองเห็นนางได้อย่างไร มองเห็นนางแล้วยังมาโยนกระดาษยันต์ใส่นางอีก!
เสวียนอี่ฉีกกระดาษยันต์เหนียวหนืดที่ทาแป้งเปียกไปทั่วทั้งแผ่นออกอย่างระมัดระวัง นางเบ้ปากอย่างรังเกียจแล้วโยนทิ้งลงไปที่พื้น พร้อมใช้หิมะสีขาวถูที่ไหล่ คิดไม่ถึงว่านางกลับต้องรับมือกับกระดาษยันต์อีกห้าหกแผ่น แป้งเปียกเหนียวหนืดนั่นเกือบจะโดนใบหน้านางแล้ว นางรีบหลบพัลวันแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “ไม่ต้องโยนแล้ว!”
เห็นเขายังคิดจะหยิบกระดาษเหลืองอีก นางก็โถมตัวเข้าไป แล้วใช้กำลังเผ่าเทพของนางแย่งเอาของในมือเจ้าคนป่าเถื่อนนี้มาได้เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเอากระดาษเหลืองที่ทาแป้งเปียกไปทั่วทั้งหมดโยนออกไปนอกหน้าต่าง นางสะบัดแขนเสื้อแล้วปิดหน้าต่างทันที
ฝูชางถอยหลังไปหลายก้าว หลังพิงไปกับชั้นวางหนังสือ สายตาก็จับจ้องมาที่นางอย่างระวังและเคร่งขรึม เสวียนอี่ถอนหายใจออกมาพร้อมลงไปนั่งที่เบาะแล้วกวักมือเรียกเขา “นั่ง นั่ง”
เขากลับยิ่งถอยไปด้านหลังอีกสองก้าว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่มีประโยชน์ ความงามล่อลวงข้าไม่ได้”
ใครล่อลวงเขากัน
เสวียนอี่ยังคงกวักมือเรียกเขา “ทำไมยังขี้ขลาดอยู่อย่างนี้ มานั่งคุยกับข้ายังไม่มีความกล้าเลย”
พูดจบ เขาก็เข้ามาเร็วราวกับสายลม เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องนางนิ่ง
แสงไฟสลัวสั่นไหวในแววตาของเขา เหมือนกันมาก เหมือนกันไม่มีผิดเลยจริงๆ ทั้งเส้นผม รูปร่าง น้ำเสียงกระทั่งแววตาก็ยังเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เสวียนอี่เบนสายตาออกไป แล้วคลึงหิมะสีขาวในมือที่เหนียวติดกันเพราะแป้งเปียกในมือก้อนนั้น ก่อนจะกระแอมไอแล้วเอ่ย “เจ้า…ยังจำข้าได้หรือไม่”
ครั้งที่แล้วเหยียนสยาเห็นเซ่าอี๋นางเหมือนจำอะไรได้ เขาพูดขอโทษไม่กี่ครั้งก็สามารถตัดสัมพันธ์ให้นางได้แล้ว ทำไมคราวนี้เป็นตานางบ้างกลับใช้การไม่ได้แล้วเล่า
ฝูชางที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังคงนิ่งเงียบ แววตาเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แฝงไปด้วยสายตาพิจารณาตัดสินนาง
ดีมาก นางมั่นใจแล้วว่าเขาจำไม่ได้
เสวียนอี่กลิ้งก้อนหิมะในมือไปมา ในลำคอราวกับมีก้อนอะไรมาอุดไว้จนรู้สึกติดขัด นางกระแอมออกมา “คืออย่างนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพราะเจ้าโดยเฉพาะ แต่ก่อนข้าทำผิดกับเจ้า เจ้า…ช่วยลืมเรื่องทุกข์เหล่านั้นไปให้หมดได้ไหม แล้วเริ่ม…”
ยังกล่าวไม่จบ หน้าผากพลันเย็นวาบขึ้น ไม่รู้เขาไปเอากระดาษยันต์มาจากที่ไหนอีก “แปะ” เขาติดลงที่หน้าผากนางเสียงดัง
เสวียนอี่ตกตะลึงและนิ่งงันไป
ฝูชางที่อยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วขึ้น เขาร้อง “อ๋า” ออกมา “…ยังไม่ได้ผลอีกหรือ”
อย่างนี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว! เสวียนอี่ดึงกระดาษยันต์ลงแล้วลอยออกไปนอกหน้าต่าง พลางพยายามใช้หิมะถูไปยังหน้าผากที่เหนียวเหนอะนั่น และถลึงตามองไปยังหัวหน้าเทพผู้ตรวจการอย่างสงสัย “ท่านแน่ใจนะว่าเขาคือฝูชาง?!”
กระดาษยันต์เหนียวพวกนี้มันอะไรกัน เขาไม่ใช่องค์ชายหรือ หรือว่าเปลี่ยนอาชีพเป็นคนจับผีแล้ว
หัวหน้าผู้ตรวจการฝืนยิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนที่สุด เทพฝูชางพำนักในศาลเทพบูรพา และเซียนพิภพต้นท้อนั่นก็มักจะถ่ายทอดวิชากำจัดสิ่งชั่วร้ายของโลกมนุษย์ให้เขา เมื่อครู่นี้เขา…น่าจะคิดว่าองค์หญิงเป็นผี”
หลายปีนี้ บรรดาเหล่าผู้ตรวจการอย่างพวกเขาเองก็ถูกเขาเอาแป้งเปียกมาแปะไม่น้อย หากคุ้นชินก็ไม่เป็นไรแล้ว
เสวียนอี่โยนหิมะสีขาวที่เหนียวเหนอะลงไปที่พื้นอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างโมโหสุดขีด “ข้าลงมาตัดสัมพันธ์! คราวนี้จะตัดอย่างไร เจ้าไปจับเขามัดไว้เสีย!”
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร!” หัวหน้าเทพผู้ตรวจการโบกมือปัด เห็นนางมีท่าทีผิดหวังก็กล่าวเตือนอย่างนุ่มนวลว่า “ข้าไม่รู้ว่าเทพฝูชางลงมาตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง แต่ในเมื่อเกี่ยวกับองค์หญิง ก็ขอให้องค์หญิงอดทนหน่อย พยายามคิดสาเหตุของเขาคืออะไร เขาต้องการอะไร ถึงจะสามารถตัดสัมพันธ์ให้เขาได้”
เสวียนอี่พลันนิ่งเงียบไป เขาน่าจะอยากได้คำขอโทษของนางสินะ แต่ว่านางต้องทำอย่างไร เขาคิดเอาเองว่านางคือผีสาว เจอหน้านางก็โยนแผ่นยันต์เหนียวหนึบใส่ เขาทำอย่างนี้เสมอ ตอนอยู่แดนเทพก็เหมือนกัน อยู่ดีไม่ว่าดีก็ชอบขู่ว่าจะโกนหัวนาง
ถึงเขาจะไม่เคยโกนสักครั้งก็ตาม
นางมองไปยังหน้าต่างจวนผ่านเงาไม้ หน้าต่างเปิดออกแล้ว ฝูชางกำลังแปะยันต์หลากหลายอย่างที่ประตูและหน้าต่าง นี่เขากลัวผีสาวอย่างนางขนาดไหนกัน
ฟ้าค่อยๆมืดลง เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสวียนอี่มองหน้าต่างกลายเป็นสีดำสนิทนิ่งๆ ฝูชางน่าจะหลับแล้วสินะ นางพลันลุกขึ้นยืนแล้วกลายเป็นลมบริสุทธิ์เข้าไปภายในหน้าต่าง เขาหลับสนิทอยู่บนเตียงจริงๆ นอนตะแคงข้างนิ่งอยู่ในผ้าห่มแพร ผมยาวปกคลุมใบหน้าเขาไปครึ่งหน้า
นางค่อยๆเข้าไปใกล้ข้างเตียงอย่างระวังแล้วเอาเบาะออกมานั่งพิจารณาเขาที่พื้น เวลาเขาหลับ หนังตากลับสั่นไหวน้อยๆ ปากก็ปิดๆเปิดๆ ดูแล้วน่าสนุกมาก มนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างนี้หมดหรือ
ทันใดนั้น ปากเขาพลันขยับขึ้นไม่รู้พึมพำอะไร เสวียนอี่หมอบไปที่ข้างเตียงแล้วกล่าวเสียงเบา “เจ้าพูดอะไร กำลังพูดกับข้าหรือ”
เขากลับเงียบไปแล้วพลิกตัว ผ้าห่มร่วงลงมาที่เอว ชุดคลุมบนร่างเองก็เลื่อนลงมาจากไหล่เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างที่แข็งแกร่ง
เสวียนอี่คลานขึ้นไปบนเตียงแล้วเข้าไปใกล้ใบหน้าเขา นางจ้องเขาอยู่นานจนมั่นใจว่าเขายังไม่ได้ตื่นขึ้นมา ยังไม่ตื่นทำไมถึงได้พูดได้
วันต่อมาฝูชางตื่นขึ้นเพราะหนาวจัด ขนาดห่มผ้าแล้วก็ยังรู้สึกว่าอากาศรอบข้างเยือกเย็นเข้ากระดูก ตอนนี้คือวันซานฝู[2]ชัดๆ ฝูชางเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง เขาหนาวจนตัวสั่น พลันเห็นผีสาวเมื่อคืนนั่งอยู่บนเบาะหลังพิงเตียงไว้ นางง่วงนอนจนสัปหงกหลายครั้ง
ในใจเขาตกใจมาก ฟ้าสว่างแล้วแต่ว่านางยังปรากฏตัวได้อีก! เขาลงมือเร็วราวกับสายฟ้า เตรียมคว้าเอาแผ่นยันต์ใต้เตียงออกมา พอลูบไปกลับพบว่าใต้เตียงจับตัวเป็นน้ำแข็งหนาหมดแล้ว เขาถึงได้พบว่าห้องนี้ไม่รู้ว่าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้แต่เตียงยังมีน้ำแข็งปกคลุมชั้นหนึ่ง มิน่าเขาถึงได้รู้สึกหนาวอย่างนี้
ผีสาวนี่ช่างมีตบะสูงส่งลึกล้ำยิ่งนัก
ฝูชางหยิบเอากระดาษเหลืองออกมาจากใต้หมอน พลางกัดปลายนิ้วแล้วใช้เลือดเขียนคาถาพร้อมแปะไปที่หน้าผากของนาง เสวียนอี่กำลังมึนงงอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น จึงร้อง “โอ๊ะ” ออกมาแล้วตกใจตื่น นางเอี้ยวคอมองเขาอย่างสับสน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ฉีกแผ่นยันต์ที่หัวช้าๆ มองเห็นเขาใช้เลือดเขียน นางก็รีบทิ้งออกไปแล้วขมวดคิ้วอย่างรังเกียจทันที
“ไม่ต้องโยนยันต์มาแล้ว” นางใช้หิมะถูหน้าผากที่น่าสงสารของนาง “ข้าร้ายกาจมาก เจ้าไม่มีทางกำราบข้าได้หรอก”
ฝูชางไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถามไปว่า “ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น”
เสวียนอี่มองไปที่เขาอย่างสงสัย “เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆหรือ”
เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่เคยพบเจ้ามาก่อน แล้วจะจำเจ้าได้อย่างไร”
เสวียนอี่ได้ยินเขากล่าวอย่างนั้นออกมาก็รู้สึกไม่ดีนัก นางขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ตอนที่เจ้าอายุห้าปี ข้ายังมาดูเจ้าเลย ทำไมลืมเร็วอย่างนี้ ความจำมนุษย์สั้นขนาดนี้เลยหรือ หรือว่าเจ้าโง่เอง”
เขาพลันรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถามเสียงเย็นว่า “เจ้าจะทำอะไรกันแน่”
เสวียนอี่ปรายตามองเขาอย่างไม่ประสงค์ดีพลางกล่าวอย่างดุดันว่า “ข้าจะถลกหนังเจ้า และกินหัวใจเจ้าเสีย”
นางกอดอกแล้วยืนรอนิ่ง รอเขาร้องไห้และตะโกนออกมา รอเขาหดตัวอยู่ในผ้าห่ม แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับไม่ขยับแล้วจ้องมาที่นางอย่างเยือกเย็น นางพลันรู้สึกคิดถึงเจ้าตัวกลมที่ขี้ขลาดนั่นขึ้นมา
ฝูชางม้วนผ้าห่มแล้วลงมาจากเตียงพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “เชิญเจ้าออกมา ข้าจะต้องเปลี่ยนชุดไปเรียนคาบเช้าแล้ว”
เดิมคิดว่านางจะตามติดอย่างไม่รู้จักอาย ใครจะรู้ว่านางกลับลุกขึ้นยืนทันที แล้วก้าวไปจากประตูตัวท่าทางสง่างาม นางเปิดประตูแล้วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันกลับมาถามว่า “ทำไมเวลาเจ้านอนหลับแล้วยังพูดได้”
พูดเวลานอนหลับ? นางนอนที่นี่เมื่อคืนนี้! ฝูชางทั้งโมโหทั้งลำบากใจ เขารีบเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดประตูแล้วดันนางออกไป “นั่นเรียกละเมอ”
ว่าใครโง่กัน นางต่างหากที่โง่ที่สุด ไม่รู้จักกระทั่งละเมอ
……………
[1]กระดาษเหลือง : จีนโบราณจะเรียกกระดาษที่นักพรตเต๋าใช้วาดสัญลักษณ์ว่ากระดาษเหลือง และนักพรตจะใช้ผงชาดในการวาดยันต์ เพราะเชื่อว่ามีฤทธิ์ขจัดสิ่งชั่วร้าย
[2]วันซานฝู : ช่วงร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปี