บุหลันเคียงรัก - บทที่ 90 แรกแย้มวสันต์
วันนั้น กระทั่งดับไฟเข้านอน ฝูชางก็ยังไม่ได้พบผีสาวตนนั้นอีกเลย
นางให้ราชสีห์เก้าเศียรและปลาหลีฮื้อสีทองปั้นจากหิมะกับเขา เขาวางไว้ข้างหมอนแล้วใช้นิ้วมือเล่นมันช้าๆ ตบะของนางจะต้องสูงส่งมากแน่ หิมะในวันซานฝูยังไม่ละลาย ไอเย็นที่ส่งมาจากภายใน ทำให้คืนที่ร้อนอบอ้าวของคิมหันต์ฤดูเย็นสบายขึ้นมา
ทำไมอยู่ดีๆ นางถึงได้มาติดตามเขาแล้วเอาของมาให้เขา แล้วทำไมอยู่ดีๆนางถึงได้หายไป
ระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเขา จากนั้น เขาพลันนึกไปถึงเรื่องราวของผีสาวหน้าตางดงามหยาดเยิ้มที่คอยตามพัวพันบัณฑิตที่เขาเคยอ่านมาได้ จึงพลันคิดระวังตัวขึ้นมา แต่แล้วก็หลับไป
นอนไปได้ครึ่งคืนก็ตื่นขึ้นมาเพราะหนาวจัดอีก ฝูชางลืมตาขึ้นก็เห็นผีสาวที่หายไปนั้นหมอบอยู่ข้างเตียง ดวงตาเป็นประกายทั้งสองของนางกำลังจ้องมาที่เขา
เขาตกใจจนพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง เขาทั้งจนใจทั้งสงสัยเหลือประมาณ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบของคนเพิ่งตื่นแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาว่า “คนกับผีอยู่กันคนละโลก ต่อให้เจ้ามาพัวพันข้าไปก็ไร้ประโยชน์”
ใครจะรู้ ดวงตาทั้งสองของนางพลันสุกสกาวราวกับดวงดาว แล้วมองมาที่เขาด้วยความคาดหวังเอ่ยว่า “เมื่อไหร่เจ้าจะพูดละเมออีก”
ละเมอ? ฝูชางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา “…ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่นอนจะละเมอทุกครั้ง”
นางพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าหากว่าเจ้าจะพูดละเมอเมื่อไหร่อย่าลืมเรียกข้า”
…จะให้เรียกอย่างไร นางจงใจแสร้งโง่หรือ
ฝูชางนวดขมับแล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชายิ่ง “เจ้ายังจะคอยตามข้าตลอด?”
นางลอยไปที่หน้าต่าง “ไม่ใช่ ข้าจะไปแล้ว”
เชื่อนางก็แปลกแล้ว ฝูชางถูกนางทำเอาหมดอารมณ์ง่วงแล้ว เขานอนพลิกไปพลิกมาอยู่ค่อนคืน ก่อนจะอดไม่ได้พร้อมกล่าว “นี่” ออกมา แค่พริบตา ไอเย็นก็ปะทะเข้ากับใบหน้า นางก้มตัวอยู่ข้างเตียงอย่างยินดี “จะละเมอแล้วหรือ”
เขาพ่นลมหายใจออกมา มองนางอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “หากจะละเมอจริงๆคงเรียกเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่เข้าใจหรือ เจ้าพูดมาตามตรงเถอะ ที่เจ้ามาตามติดข้าอย่างนี้ เจ้าต้องการอะไร”
เสวียนอี่ลังเลแล้วนั่งลงที่เบาะนั่งข้างเตียง นางกระแอมให้คอโล่ง “ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอโทษ ขอโทษด้วย เจ้าให้อภัยข้าเถอะ”
กล่าวจบนางก็จ้องไปที่กลางหน้าผากเขา แต่กลับยังไม่เห็นจุดแสง
ฝูชางนอนตะแคง “ทำไมต้องขอโทษข้าด้วย”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเบา “ข้าเอาแต่ตามติดเจ้าตลอด ขอโทษด้วย”
สายตาของเขามองไปยังใบหน้าขาวซีดของนาง เขารู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา “ในเมื่อรู้จักขอโทษ แล้วทำไมยังเอาแต่ตามติดต่อ”
เสวียนอี่เงียบไป เห็นเขาเอาราชสีห์เก้าเศียรและปลาหลีฮื้อสีทองหิมะวางไว้ข้างหมอน นางก็หยิบมาแล้วลูบเบาๆ พลันกล่าวถามเขาว่า “เจ้าชอบอันนี้หรือไม่”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “พอได้”
เสวียนอี่เอาปลาหลีฮื้อวางไว้บนฝ่ามือแล้วหมุนไปมาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าข้าไม่ตามติดเจ้า แต่ทุกวันเอาของเล่นอย่างนี้มาให้เจ้าวันละตัว เจ้า…จะยอมให้อภัยให้ข้าหรือไม่”
คำว่าให้อภัยนี้หนักเกินไป เขายังไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่แค่เพราะมีผีสาวหน้าตางดงามมาตามติดอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกระแวงและต่อต้านเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่ค่อยอยากให้นางได้ตามที่ต้องการนัก ท่าทางที่ทั้งร้อนรนและไม่ยินยอมของนางเหมือนมาขอโทษเสียที่ไหนกัน
“ต้องดูอารมณ์ข้าก่อน” เขาเท้าแขนนอนตะแคง แล้วคว้าเอาราชสีห์เก้าเศียรหิมะมาวางไว้บนมือพร้อมเขย่ามันเบาๆ
เสวียนอี่ขมวดคิ้วมองเขา เจ้านี่ มาเป็นมนุษย์แล้วแต่ทำไมยังทำหน้าเชิดสูงเสียดฟ้าอะไรอย่างนั้นอีก นางยื่นมือไปจะไปแย่งเอาราชสีห์เก้าเศียรหิมะมาจากมือเขา เขากลับหดมือกลับไปเร็วมาก มือเย็นยะเยือกของนางคว้าไปที่ข้อมือเขา มันเย็นจัดจนเขาสั่นสะท้าน ราชสีห์เก้าเศียรหิมะเองก็ถูกนางแย่งไปจนได้
ตอนนี้เขาอ่อนแอขนาดนี้! เสวียนอี่ภูมิใจขึ้นมา ชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากเขา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ คงถึงตาข้าเป็นคนป่าเถื่อนบ้างแล้ว”
บริเวณที่ถูกจิ้มตรงหน้าผากเย็นมาก มันเย็นเข้ากระดูกอย่างน่าประหลาด นางเป็นผีสาวจริงๆ
ฝูชางพลันรู้สึกที่เขาพูดคุยเล่นกับนางเมื่อครู่นี้ช่างเหลวไหลสิ้นดี เขาเงียบแล้วพลิกตัวไปพร้อมเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว กล่าวเสียงเย็น “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าไปเถอะ”
ไม่ทันระวัง นางกลับปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วใช้มือดึงผ้าห่มเขาออก ไอเฉียบเย็นนั้นเข้ามาใกล้ เสียงนุ่มนวลแผ่วเบาของนางราวกับเสียงสายลมเย็น “เจ้าโกรธแล้วหรือ”
เขาลืมตาอีกครั้ง เห็นใบหน้านวลภายใต้แสงจันทร์ราวกับกระเบื้องเคลือบ ในหัวพลันคิดอยากใช้มือลูบผิวเย็นราวกับหยกที่ไม่เหมือนมนุษย์ในโลกนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขายื่นมือออกไป ความคิดแรกของเขาชนะ เขาใช้ปลายนิ้วแตะผมนางเบาๆ ผมนางเองก็เย็นจัด
ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนประหลาดส่งมาจากในร่างเขา ฝูชางกล่าวเสียงเบา “ไม่ได้โกรธ”
แสงจันทร์สลัวของโลกเบื้องล่างตกกระทบแววตาเขา ราวกับว่าเทพฝูชางที่มีแววตานุ่มนวลอ่อนโยนคนนั้นกลับมาอีกแล้ว ดวงตาของเสวียนอี่เจ็บปวดขึ้นมา นางเบนสายตาออกมองไปยังพระจันทร์ดวงเล็กบนท้องฟ้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้ยินเขาถามว่า “เจ้า…ชื่ออะไร”
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ข้าไม่มีชื่อ เจ้านอนเถอะ แล้วฝันให้สนุก”
นางหายลับไป เหมือนกับตอนที่นางปรากฏตัวออกมา ทิ้งไว้เพียงสายลมที่เยือกเย็น
เช้าวันต่อมา ฝูชางเพิ่งจะผลักประตูออกไปก็เห็นนางลอยตัวยืนอยู่บนต้นท้อ พอเห็นเขาออกมา นางพลันร่อนลงมาที่พื้นราวกับขนนก แล้วกางแขนออก บนฝ่ามือมีกระบี่เล่มเล็กจากหิมะหนึ่งเล่ม นี่คือกระบี่ฉุนจวิน กระบี่คู่กายของเขาที่โลกเบื้องบน
เสวียนอี่เอากระบี่เล็กวางไว้บนฝ่ามือเขาแล้วยิ้มน้อยๆโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“นี่คือ?” ฝูชางไม่รู้ว่านางคิดของประหลาดพวกนี้ได้อย่างไร กระบี่นี้มีรูปลักษณ์โบราณมาก เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เสวียนอี่กล่าวเตือนเทพที่มาเป็นมนุษย์แล้วค่อนข้างโง่งมอย่างใจดี “นี่คือกระบี่”
เขารู้อยู่แล้วว่ามันคือกระบี่
ฝูชางไม่รู้ว่าควรพูดจะอะไรดี เห็นนางหมุนตัวจะลอยออกไป เขากลับเรียกนางเอาไว้โดยไม่รู้ตัว “เจ้าจะไปไหน”
เสวียนอี่กลายเป็นลมลอยไปไกลแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนไปมา “ไม่บอกเจ้าหรอก”
ฝูชางไม่มีกะจิตกะใจกับคาบเช้าวันนี้นัก เขากินอาหารเช้าและไปที่ห้องหนังสือ หน้าศาลเทพบูรพาไม่ไกลยังคงมากลุ่มหญิงสาวที่มาหยุดยืนรอดูเขาอยู่ ไม่ว่าองครักษ์จะพูดอย่างไร เสียงพวกนางกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ
ฝูชางยืนหน้ารถม้าแล้วมองไปรอบๆ ผีสาวคนนั้นไปหลบอยู่ที่ไหนกัน ราวกับอะไรดลใจ เขาพลันถามออกไปว่า “เจ้าอยู่ไหม”
ต่อมา ไอเย็นสายนั้นพลันพุ่งมาจากหลังหินสลักหน้าศาลเทพบูรพา “ทำไมหรือ”
ออกมาจริงๆ! ฝูชางรู้สึกทำตัวไม่ถูก กล่าวอย่างลังเลว่า “จะมา…นั่งรถด้วยกันหรือเปล่า”
นางเอียงคอคิดแล้วมุดเข้าไปในตัวรถ “ก็ดี ข้าอยากจะลองนั่งรถม้าอย่างมนุษย์ธรรมดาดูนานแล้ว”
ฝูชางก้าวขึ้นรถมาเงียบๆ รถม้ามุ่งไปทางห้องหนังสือช้าๆ เขาหันหน้ามามองนาง นางกำลังเกาะอยู่ที่หน้าต่าง มองเห็นอะไรก็จะชี้แล้วถาม “นั่นคืออะไร”
เขาเลยได้แต่ยื่นหัวไปที่หน้าต่างแล้วมองดู อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นั่นคือโรงเตี๊ยม เจ้าไม่รู้หรือ”
อย่างอื่นนางไม่รู้ แต่ว่าโรงเตี๊ยมนางรู้จักดี ครั้งที่แล้วที่วังเทพบูรพา กู่ถิงพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
“ข้ารู้ มันก็คือการเปิดห้องให้คนกินนอนกัน”
เขายิ้มชัดขึ้น “อืม…พูดอย่างนี้ก็ถูก”
ไม่นาน นางก็ชี้ไปอีกทางแล้วถาม “นั่นคืออะไร มีคนจัดงานเลี้ยงแล้วเชิญแขกมาหรือ”
ฝูชางมองไป ที่แท้ก็คือสะพานอวี่สุ่ยที่ขายของกินตอนเข้า ควันขาวจากเข่งนึ่งลอยออกมา
“นั่นคือที่กินข้าว”
กล่าวจบไม่ทันไรนางก็พุ่งออกไปเร็วราวกับพายุ ตอนที่กลับมา ในมือยังคว้าเอาหมั่นโถวและซาลาเปาร้อนๆควันโขมงมาด้วยหลายลูกอย่างไม่กลัวลวกมือ นางอ้าปากกัดลงไปคำเล็ก กินไปบ่นไป “ไม่อร่อย ไม่อร่อย”
ฝูชางถูกนางทำให้ตกใจนิ่งค้างไป “…เจ้าให้เงินแล้วหรือยัง”
เสวียนอี่ถามอย่างแปลกใจ “อะไรคือให้เงิน”
ฝูชางคลึงขมับ “ไม่มีอะไร เจ้ากินเถอะ”
นางพลันยื่นซาลาเปาเหล่านั้นมาตรงหน้าเขาแล้วกล่าวโดยไม่หันกลับมา “ไม่อร่อย ให้เจ้า”
พูดจบ ตัวนางเองกลับชะงักไป ความคุ้นชินไม่ดีจากโลกเบื้องบนกลับมาอีกแล้ว เสวียนอี่ค่อยๆหดมือกลับไปแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ข้าพูดเหลวไหล เจ้าอย่าคิดมาก”
แต่เขากลับรับเอาซาลาเปาที่นางกัดไปแล้วมา พลางใช้กระดาษสีขาวห่อไว้ เห็นนางจ้องมาเขาก็แสดงท่าทีลำบากใจออกมา “ข้าเอากลับไปให้เจ้าแมวลายกิน”
เสวียนอี่พลันอารมณ์ดีขึ้นมา เพราะนางเห็นเหล่าหญิงสาวกำลังไล่ตามรถม้าอยู่ นางถามออกไปว่า “พวกนางกำลังทำอะไร”
ฝูชางหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แล้วเอาเงินออกมาพร้อมกล่าวเสียงเข้ม “เวลาซื้อของต้องให้เงิน เงินก็คืออันนี้”
เขาเอาเหรียญทองแดงสายหนึ่งออกมาจากกล่อง เสวียนอี่ถือแล้วมองดู “ทุกอย่างใช้สิ่งนี้ซื้อหรือ”
“ประมาณนั้น” จริงๆแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจนัก เขาเองก็ยังไม่เคยต้องไปซื้อของด้วยตัวเองมาก่อนเลย
เขาไม่ทันสังเกตเห็นประกายในดวงตาของเสวียนอี่ เมื่อมาถึงห้องหนังสือนางก็หายไปแล้ว วันเวลาปกติไม่นานก็ผ่านไป ถึงเวลาดับไฟตอนกลางคืน ฝูชางเพิ่งจะนอนลงบนเตียง พลันได้ยินเสียงร้องดังขึ้นราวกับมีของอะไรกระแทกกับพื้นอย่างแรง เขาพลิกตัวแล้วรีบมองไปยังกล่องไม้ขนาดใหญ่หลายกล่องในห้อง ในนั้นมีทองแท่งทับกันหลายกองจนทำให้เขาตาลาย
ผีสาวประหลาดนั้นกำลังย่อตัวอยู่ข้างเตียงและเงยหน้ามองเขาอย่างรอคอย “ข้าไปเดินมาทั้งวัน ได้ยินมนุษย์กล่าวกันว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือสิ่งนี้ ข้าเอามาให้เจ้ามากขนาดนี้ พอหรือไม่”
ฝูชางทั้งมึนงงทั้งสับสน “…พออะไร”
“ซื้อการให้อภัย” เสวียนอี่กล่าวอย่างจริงจัง