บุหลันเคียงรัก - บทที่ 92 พิษนี้ทะลวงใจ (ตอนปลาย)
เสวียนอี่นอนหลับครั้งนี้นานถึงห้าหกวัน ตอนที่นางตื่นขึ้นมา เหล่าเทพผู้ตรวจการบอกนางว่าฝูชางป่วยแล้ว
คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอากาศโลกเบื้องล่างเปลี่ยนแปลง เขาจึงเป็นไข้หวัด และถูกย้ายไปหอจูหงที่เซียนพิภพต้นท้ออยู่ ที่นั่นเต็มไปด้วยไอบริสุทธิ์ มีประโยชน์กับรักษาอาการป่วยของเขามาก
เพราะร่างของเสวียนอี่เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งที่เย็นจัด นางจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้เขา ทุกวันได้แต่หมอบอยู่ด้านนอกหน้าต่างมองอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น ไข้ของเขาขึ้นๆ ลงๆ ดูแล้วไม่ค่อยดีนัก ใบหน้าซีดสลับแดง ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบหนัก เซียนพิภพต้นท้อที่หนาวเคราขาวยาวคนนั้นใช้วิชาเวทช่วยรักษาอาการให้เขาอยู่บ่อยครั้ง แต่อาการก็ยังทรงๆ ทรุดๆ อยู่
อาการป่วยประหลาดนี้ เซียนพิภพเองก็ไม่มีวิธี “เซียนเล็กๆ อย่างข้ามีความสามารถน้อยนัก เทพผู้ตรวจการ ไปขอความช่วยเหลือเบื้องบนดีหรือไม่”
หัวหน้าเทพผู้ตรวจการส่ายหน้า เทพที่มักจะไม่ค่อยจริงจังกับอะไรอย่างเขามีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก “เทพฝูชางลงมาตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง โชคชะตาทุกอย่างในชีวิตล้วนแต่มีเหตุและผลของมัน ที่คำแนะนำของราชครูซานเซียวคนนั้นมีผลได้ ก็ด้วยสาเหตุที่เทพฝูชางลงมาโลกเบื้องล่างและได้ใช้กระบี่ฉุนจวินข่มขู่ปีศาจนั่นครั้งที่แล้ว จึงทำให้เทพฝูชางถูกเซียนพิภพอย่างเจ้ารับมายังศาลเทพบูรพา เพราะเขาเคยมานั่งอยู่ใต้ต้นท้อนี้หนึ่งคืน พลังเทพที่แผ่ออกมาจึงทำให้เจ้าสามารถแปลงกายเป็นเซียนได้ ทุกการกระทำล้วนแต่มีเหตุผลของมัน องค์หญิงมีหนังสือของเทพบูรพา และยังเป็นคนสำคัญที่จะช่วยคลายปมให้เขาได้ถึงสามารถเข้าใกล้เขาได้ นอกจากนี้แล้ว จะไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากคนภายนอกได้อีก มิเช่นนั้นกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่กำหนดไว้คงไร้ค่า องค์หญิงหากอาการของท่านเทพยังไม่ดีท่านอย่าเพิ่งเข้ามาใกล้เขา ไม่เช่นนั้นหากชาตินี้เขาตายไป ยังต้องกลับลงมาใหม่อีกครั้ง”
ไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่ เพราะนางไร้ปฏิกิริยาตอบรับโดยสิ้นเชิง เซียนพิภพต้นท้อและเหล่าเทพผู้ตรวจการถอนหายใจและแยกย้ายกันไป
ภายในห้องเหลือเพียงเสียงหายใจหอบหนักของฝูชาง เหมือนกับในวังเทพบูรพาวันนั้น ที่เขาถูกลงโทษด้วยหนาม วันนั้นเขาก็เป็นแบบนี้
เขาจะตายหรือไม่ จะเหมือนกับท่านแม่ ที่อยู่ดีๆ ก็ดับสูญหรือไม่
เสวียนอี่นิ่งงันจ้องมองเขาอยู่นาน แล้วสะบัดแขนเสื้อเอาของเล่นหิมะชิ้นเล็กทั้งหมดวางไว้ข้างหมอนเขา ที่นางทำน่าจะเป็นสิ่งที่เขาชอบทั้งนั้น กุ้ง เขาน่าจะชอบกิน ครั้งที่แล้วที่จวนมหาเทพจูเซวียนอวี้หยางเขาก็หยิบอันนี้กิน แต่ก่อนเขาเคยโมโหเพราะดอกโบตั๋นเริงระบำมาก่อน น่าจะเป็นเพราะเขาชอบมันมาก จริงๆ แล้วนางเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาชอบร่างมังกรของนางหรือไม่ บางทีเขาอาจจะชอบเห็นท่าทางโมโหขุ่นเคืองของนางเท่านั้น
ของที่เขาชอบนางเอามาให้เขาหมดแล้ว รีบลืมตาขึ้นมาดูเร็ว ท่านจะต้องดีใจแน่ๆ
อย่าตาย ห้ามตาย ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์เลวร้ายนี้จะยิ่งพัวพันกันนานขึ้นอีก นางมักจะปล่อยตัวตามสบายและเอาแต่ใจยามอยู่ต่อหน้าเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพหรือมนุษย์ นางก็มักจะทำลงไปโดยไม่รู้ตัว นางจึงทำผิดอยู่เสมอ
จะไม่มีอีกแล้ว
แต่ว่าต้องทำอย่างไรนางถึงจะสามารถตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ให้เขาได้
ฝูชางที่อยู่บนเตียงพลันพลิกตัวแล้วลืมตาขึ้น ในตามีเส้นเลือดมากมาย เขาเห็นเงาร่างเพรียวบางยืนอยู่นอกหน้าต่าง และมุดเข้ามาภายในเฉพาะศีรษะ ดวงตากลมทั้งสองจับจ้องมาที่เขาเขม็ง ภาพนี้มันช่างเป็นภาพที่น่าขันและน่ากลัวอยู่หน่อยๆ เหมือนกับคืนวันที่นางยอบอยู่ตรงหัวเตียงด้วยดวงตาเป็นประกายไม่มีผิด
ฝูชางมองอยู่นาน และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งของตนอย่างยากลำบาก “ทำไมไม่เข้ามา”
เสวียนอี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ท่านจะตายไหม”
ฝูชางมึนงง แล้วกล่าวเสียงกระซิบ “…เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
นางไม่ตอบ
ระหว่างที่เขารู้สึกเวียนหัวมึนงงอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหายใจของนางหนักกว่าปกติมากดังมา จึงถามไปอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าร้องไห้”
เสวียนอี่ส่ายหน้าอีก “เจ้าจะตายไหม”
ฝูชางรู้สึกสติเลือนรางลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังอดกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “เป็นไข้หวัดจะตายได้อย่างไร เข้ามา…”
เสียงเงียบไป เขาผล็อยหลับไปอีกแล้ว
ฟ้าค่อยๆ มืดลง ฝูชางถูกเรียกให้ลุกขึ้นมากินยาและหลับลึกอีกครั้ง ปลาดุกน้อยจากหิมะถูกแขนเขาเบียดจนตกลงมาที่พื้น หางมันขาดออก เสวียนอี่เรียกมันกลับมาแล้วเติมหางใหม่เข้าไปให้มัน ปั้นไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ได้ยินเขาพูดละเมอแผ่วเบา
เขาฝันหรือ ฝันถึงอะไร เขาเขียวขจีและน้ำใสสีฟ้าของวังเทพบูรพา ลานทั้งสามร้อยของตำหนักหมิงซิ่ง หรือว่าจะฝันถึงราชสีห์โง่งมตัวนั้นที่บ้านเขา
นางยืดคอยาว ในใจคิดอยากจะเปลี่ยนเป็นห่าน นางพลันได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา พลันมีครั้งหนึ่งที่ถึงเสียงพูดจะอ่อนแรง แต่กลับชัดเจนกังวาน เป็นชื่อคน
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงละเมอของเขาแล้ว
เสวียนอี่มองไปที่เขาอย่างเลื่อนลอย ร่างทั้งร่างประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกนี้ทำให้นางรู้สึกราวกับหายใจไม่ออกขึ้นมา
นางรู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร
…
ฝูชางป่วยหนักครานี้ ต้องนอนซมติดต่อกันนานถึงหนึ่งเดือน อาการดีบ้างทรุดบ้างตลอด เวลาดีขึ้นเขาสามารถลงเตียงไปเดินเล่นในศาลเทพบูรพาได้ แต่เวลาทรุดเขาจะทำได้เพียงแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเท่านั้น
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ฝูชางตื่นแต่เช้าและรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายมาก เพิ่งดื่มยาเสร็จ ยังขมไม่หาย ประตูพลันถูกเปิดออก เงาร่างสีขาวในชุดลายดอกไม้และผีเสื้อลอยเข้ามา ใบหน้าเขาพลันเย็นขึ้น ใบหน้าของเขาถูกมือนุ่มกุมไว้ เขานิ่งงันไปทันที
เสวียนอี่ยิ้มจนตาหยีแล้วยืนข้างเตียงพลางก้มหน้ามองมาที่เขา “มือข้ายังเย็นอยู่ไหม”
หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ นางได้แต่ยืนอยู่นอกหน้าต่างและไม่ได้เข้ามาเลยสักครั้ง หากว่าเขาออกไปด้านนอก นางก็จะไปซ่อนตัว ไม่ว่าอย่างไรก็จับนางไม่ได้ เขากำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้พอดี คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางกลับออกมาเอง และยังแสดงท่าทีสนิทสนมอย่างนี้อีก
ฝูชางกดมือนางไว้โดยไม่รู้ตัว เขาลูบไปบนความเย็นนั้น มันไม่ได้หนาวไปถึงกระดูกอีกแล้ว เวลานางเข้ามาข้างกายก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นจัดนั่นอีก ชุดกระโปรงที่งดงามซับซ้อนกับชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ ดูไปแล้วคล้ายกับการแต่งกายของบุรุษ ใหญ่เกินไป แขนเสื้อกับชายเสื้อลากไปกับพื้นแล้ว ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกคุ้นตามาก
เขาถามขึ้นมาอย่างไม่ทันคิดว่า “นี่คือชุดของใคร”
นางให้ฉีหนานไปเอาชุดคลุมของฝูชางที่แดนเทพมาจากเทพบูรพา ลายสัญลักษณ์บนนั้นสามารถกั้นไม่ให้พลังเทพออกมาด้านนอกได้ นี่คือของเฉพาะของตระกูลหวาซวี นางสวมใส่ชุดคลุมนี้ไว้ถึงสามารถเข้าใกล้เขาได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ทำให้มนุษย์ที่แสนอ่อนแอต้องหนาวแย่
“เจ้าเดาดูสิ” เสวียนอี่ยิ้มน้อยๆ แล้วปล่อยเขา เห็นตู้หัวเตียงมีขนมดอกกุ้ยวางไว้จานหนึ่ง นางก็หยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง พลางสั่งการเขาว่า “ข้าอยากดื่มชา”
ฝูชางแทบจะอดใจไม่ไหวอยากจะเคาะหัวนางสักที แต่ก็ยังรินชาให้นางและนั่งข้างเตียงเป็นเพื่อนนาง เขาจับไปยังชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะที่ใหญ่เกินร่างนางและพลิกไปพลิกมาไม่หยุด ชุดคลุมตัวนี้ไม่ว่าจะเป็นฝีมือเย็บหรือรูปแบบก็ล้วนแต่หาได้ยากยิ่งทั้งนั้น เขากำลังพินิจเสื้ออย่างเหม่อลอย พลันได้ยินเสียงนางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋ เรื่องนี้ข้าเคยอ่าน แม่ทัพระดับสูงฆ่าคนด้วยปลายลิ้น แต่ทหารระดับต่ำฆ่าคนด้วยอาวุธ”
เขาได้สติกลับมา จึงเห็นนางหยิบหนังสือที่เมื่อครู่นี้เขาอ่านอยู่ขึ้นมา และพลิกไปถึงเรื่องจื่อลู่ฆ่าเสือ [1]
เขารู้สึกประหลาดใจ “เจ้ารู้หนังสือ?”
ในยุคสมัยนี้ สตรีไม่มีความสามารถคือคุณธรรมอย่างหนึ่ง นาง…ถึงเขาจะไม่รู้ว่านางคืออะไร แต่ว่านางเองก็เป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นการที่นางรู้หนังสือจึงทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง
เสวียนอี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเห็นว่าข้าเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้หนังสือหรือ”
ฝูชางหัวเราะเสียงเบา “เจ้าลองเขียนหนังสือให้ข้าดูสิ”
นางสะบัดหน้าไป “ข้าไม่เขียน”
เขาเดินมาหน้าโต๊ะแล้วหยิบเอาพู่กัน หมึกและกระดาษขึ้นมา พร้อมฝนหมึกให้นาง แล้วส่งพู่กันให้นางอย่างไม่ให้นางปฏิเสธ “เขียน”
เสวียนอี่ไม่อยากเขียนมากๆ แต่ก็จนใจจึงหยิบพู่กันมาขีดๆ เขียนๆ อักษร “หลง (มังกร) ” หนึ่งตัว
ฝูชางหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง “ตัวอักษรเจ้าต้องฝึกฝนดีๆ แล้ว”
ตัวอักษรเจ้าต้องฝึกฝนดีๆ แล้ว นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพูดกับนางอย่างนี้ เสวียนอี่เกือบรับคำไปโดยไม่รู้ตัวว่า ‘รอให้ข้าแก่ขนาดเจ้าก่อน ตัวหนังสือข้าก็จะสวยเอง’ ออกไป
นางกัดริมฝีปากแล้วก้มหน้ามองตัวอักษรโดยไม่กล่าวอะไร
ร่างนางพลันอุ่นวาบ ฝูชางกางแขนโอบร่างเพรียวบางของนางไว้ มือที่จับพู่กันของนางก็ถูกเขากุมไว้ในมือ และเขียนตัวอักษร “หลง” ด้านล่างตัวอักษรหลงของนางช้าๆ อักษรของเขาสง่างามและสมดุล เทียบกับอักษรของนางแล้ว ของนางราวกับลายมือไก่เขี่ย
ฝูชางเอาคางวางไว้บนหัวนาง เสียงของเขานุ่มนวลอ่อนโยน “มีเวลาข้าจะสอนเจ้าเขียนหนังสือ”
เสวียนอี่ยิ้มบาง “ข้าไม่อยากให้เจ้าสอนหรอก ข้าชอบอักษรเฉ่าซู [2] ”
ฝูชางหยิบพู่กันในมือนางออก เขาเพิ่งเริ่มรู้สึกดีกับนางก็ต้องแยกกันนานถึงหนึ่งเดือน ยากที่จะไม่ให้เขารู้สึกกดดัน แขนทั้งสองของเขารัดนางไว้แน่น พร้อมก้มหน้าลงไปจุมพิตที่เรือนผมของนาง ปลายนิ้วก็ไล้ไปตามใบหน้าของนาง ผิวเย็นของนางพลันร้อนขึ้น เขาชะงักแล้วพลิกร่างนางกลับมา ใบหน้านางแดงก่ำลามไปจนกระทั่งถึงลำคอ
ริมฝีปากเขาแตะที่หน้าผากของนางแล้วกล่าวเสียงเบา “อย่าไปจากข้า”
เขาไม่สนใจว่าทำไมนางถึงมา แต่ในเมื่อนางมาแล้ว ก็อย่าจากไปได้หรือไม่
—
[1] จื่อลู่ฆ่าเสือ : เรื่องเกี่ยวกับการไปตักน้ำฆ่าเสือและการวางแผนฆ่า ในเรื่องมีตัวละครสองคนคือจื่อลู่และขงจื้อ
[2] เฉ่าซู : รูปแบบอักษรหวัดประเภทหนึ่ง