บุหลันเคียงรัก - บทที่ 93 ชีวิตคือความฝันอันแสนสั้น (ตอนต้น)
ความร้อนบนใบหน้านางพลันสลายไปและกลับมาเย็นราวน้ำแข็งดังเดิม ฝูชางเชยคางนางขึ้นอย่างไม่เข้าใจ สายตาสองคู่ประสานกัน
แววตาของนางสื่ออารมณ์ออกมาหลากหลาย จากความหวาดกลัวอย่างเหลือล้น แปรเปลี่ยนเป็นความจนใจอย่างรวดเร็ว และความจนใจอย่างอันลึกล้ำก็พลันกลับกลายเป็นความเสียใจทุกข์ระทม หัวใจที่เศร้าระทมดวงนั้นพลันเสมือนมีสายฝนอันอบอุ่นนุ่มนวลของฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมา น้ำฝนเอ่อล้นจนทำให้ความเศร้าใจไหลบ่าออกมา สุดท้ายพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นความอ่อนแอและหาที่พึ่งพิง
ความรู้สึกนับพันและความทุกข์ระทมขมขื่น เขาไม่เคยเห็นแววตาอย่างนี้มาก่อนเลย
นางไม่ได้เอ่ยอะไร ราวกับลังเลกับบางอย่าง นางค่อยๆ ยกแขนขึ้นและพลันโอบกอดเขาไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมฝังใบหน้าลงที่แผงอกของเขา
ได้กลิ่นสะอาดบริสุทธิ์จากร่างเขาอีกครั้งแล้ว เหมือนสายลมของแดนเทพ
เสวียนอี่หลับตาแน่น
คนที่อยากจะพูดว่า “อย่าไปจากข้า” คนนั้นควรเป็นนาง แม้ว่านางจะมีเหตุผลนับหมื่นนับพันไม่ให้ตัวเองกล่าวออกมา และยังใจดำขนาดไม่ยอมที่จะไปนึกถึงมัน แต่ว่านางกลับไม่อาจยับยั้งไม่ให้มันไหลบ่าออกมาในยามที่นางไม่รู้ตัวได้
นางไม่เคยกลัวคนอื่นไม่ชอบนางหรือรังเกียจนาง คำว่าชอบคำนี้มันดูเลื่อนลอย ดูจับต้องไม่ได้ราวกับเมฆหมอก แต่ความไม่ชอบกลับมีอยู่อย่างแท้จริง มีคนตั้งมากมายไม่ชอบนาง แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่ชอบนางและประคับประคองนางไว้บนฝ่ามือ ดังนั้นนางจึงมักลืมตัวและชอบตามติดเขาอยู่เสมอ และทำให้ทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้
ฝูชางลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังลูบหัวแมว และถามออกมาว่า “เจ้าชื่ออะไร”
เสวียนอี่อย่างไรเล่า วันนั้นที่เจ้าละเมอก็พูดออกมาแล้วไม่ใช่หรือ
นางยังคงยิ้ม “ข้าไม่มีชื่อ”
เขาไม่สงสัยนาง แต่เพียงกล่าวเสียงนุ่มว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกเจ้าอย่างไร ผีสาวตัวน้อย?”
“ได้สิ” นางกล่าวอย่างว่าง่าย
ฝูชางมีใจรักใคร่นางสุดแสน เขาก้มหน้าและจุมพิตลงที่หน้าผากนางอีกครั้ง พร้อมโอบเอวกอดนางเอาไว้ ร่างของนางเบาราวกับขนนก ไม่ว่าจะจับอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น เขาอยากจะจับนางไว้บนฝ่ามือจริงๆ อยากเอาไว้ในอ้อมอกแล้วพานางไปกับเขาด้วยทุกที่
เสวียนอี่โอบคอของเขาไว้ พร้อมก้มหน้ามองแววตาที่เร่าร้อนของเขา พลันก้มตัวลงแล้วใช้หน้าผากกระแทกไปที่หน้าผากของเขาพร้อมคลอเคลียไปมา ไม่รู้ว่านางกำลังออดอ้อนหรือเฉไฉ นางเป่าลมหายใจใส่หน้าเขาเบาๆ แต่ก่อนเวลาพวกเขาทะเลาะกัน นางก็มักจะใช้วิธีการนี้รับมือเขาเสมอ ใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง ทุกครั้งเจ้าคนป่าเถื่อนนี่ก็มักจะถูกนางยั่วโมโหจนหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
แล้วตอนนี้เล่า
ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มนี่กลับหน้าบางราวกับกระดาษ
ใบหน้างดงามราวกับหยกนั้นแดงก่ำในพริบตา มืออีกข้างกดที่ท้ายทอยของนางแล้วโน้มศีรษะนางมาซบที่บ่า พลางกล่าวตำหนินางด้วยเสียงอ่อนโยนเบาๆ ว่า “ซนนัก”
ฝูชางอุ้มนางไว้ด้วยมือข้างเดียวพลางเปิดประตูห้องออก ด้านนอกแสงอาทิตย์ส่องสว่าง ท้องฟ้าไร้เมฆปกคลุม เป็นวันอากาศดีที่หาได้ยากจริงๆ เขาอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส เปี่ยมด้วยอารมณ์รักผลิบาน ทำให้ไม่อยากอยู่ภายในห้องนัก
“ข้าจะพาเจ้าไปที่น่าสนใจที่หนึ่ง” เขายิ้มให้นาง แล้วก้าวเท้ายาวออกไปจากศาลเทพบูรพา
หน้าประตูศาลเทพบูรพามีรถม้าที่เตรียมไว้เพื่อองค์ชายเจ็ดโดยเฉพาะอยู่ และจะมาจอดตรงนี้ทุกวันในยามเหม่า [1] แม้ว่าหลายวันนี้เขาจะป่วยจนได้แต่อยู่บนเตียง พลขับและองครักษ์ก็ยังต้องปฏิบัติตามหน้าที่ วันนี้เห็นเขาเดินได้มั่นคงและมีหน้าตาแจ่มใสปลอดโปร่ง พวกเขาก็รีบโค้งตัวคารวะ
“อ้อมเมืองไป แล้วค่อยออกนอกเมืองไปตามที่ข้าบอก”
ฝูชางกล่าวจบ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถ ปากพลันถูกยัดด้วยสิ่งที่เยือกเย็นและมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานอย่างหนึ่ง เขาไม่ชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวาน จึงขมวดคิ้วน้อยๆ ทันที แต่กลับเห็นผีสาวตัวน้อยกอดถุงบ๊วยเคลือบน้ำตาลเอาไว้พร้อมมองมาที่เขาแล้วยิ้ม
“อร่อยหรือไม่” นางถามอย่างรอคอย นี่คือหนึ่งในขนมที่นางชอบกินมากที่สุด นางสั่งให้ฉีหนานเอาลงมาด้วยหนึ่งห่อ ตอนที่ฉีหนานเอาเสื้อคลุมของฝูชางให้กับเทพผู้ตรวจการ
ฝูชางกัดเนื้อบ๊วยแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เห็นนางกำลังจะส่งมาให้เขาอีกครึ่งห่อ ก็รีบห้ามนางไว้ทันที “…ดูทางนั้น โรงเตี๊ยม”
เขาวางนางลงบนหน้าตักแล้วเปิดผ้าม่านมองไปด้านนอก ใครจะรู้ว่าหอตรงข้ามนั่นกลับเป็นหอนางโลม เขายกมืออยากจะปิดปากผีสาวตัวน้อยเอาไว้แต่กลับช้าไป นางรีบถามทันทีว่า “นั่นคืออะไร”
ฝูชางคิดแล้วกล่าว “นั่นคือที่ขายดอกไม้”
เขากอดนางไว้แน่น เกรงว่านางจะกลายเป็นลมแล้วพุ่งไปคาบเอาดอกไม้กลับมาสองดอก ยังดีว่าสายตานางถูกของมากมายสองฝั่งถนนดึงดูดไว้ ลิงที่น่าสงสารตัวนั้นพลิกตัวตีลังกาไปด้านหน้าแล้วยันตัวขึ้น เพื่อรอคอยของกิน เสวียนอี่เป่าลมออกไป แผงขายผลไม้ข้างๆ ก็มีตะกร้าท้อใบหนึ่งถูกลมพัดจนคว่ำ ลูกท้อในตะกร้ากลิ้งกระจายเต็มพื้น และถูกลิงตัวนั้นหยิบขึ้นมาแทะกิน
“น่าสนใจ”
นางหันกลับมายิ้ม ไอเยือกเย็นและนุ่มนวลเป่ามาที่ใบหน้าเขาอักครั้ง ฝูชางก้มหน้าลงไปจุมพิตที่เปลือกตาของนางอย่างอดใจไม่อยู่ ผิวเนียนอ่อนนุ่มที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสเริ่มร้อนขึ้นมา นางมักจะชอบทำท่าทางสนิทชิดเชื้ออยู่บ่อยครั้งแต่กลับเขินอายง่ายดายถึงเพียงนี้ เขาเพียงรู้สึกลุ่มหลงคลั่งไคล้ พรมจูบไล้ไปตามใบหน้าของนาง สุดท้ายไปหยุดลงที่ริมฝีปากของนางราวกับจะลองหยั่งเชิง
ไม่รู้ทำไม เขากลับอยากกัดนางสักครั้ง ราวกับรู้สึกรักใคร่อย่างสุดซึ้งจนเกิดความรู้สึกคับแค้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาอ้าปากกัดที่ริมฝีปากนางเบาๆ แล้วค่อยๆ จูบละเลียดไปตามริมฝีปากงามของนางทีละน้อย ลมหายใจกระชั้นอย่างลนลานสับสนของนางรินรดบนใบหน้า แฝงไปด้วยกลิ่นหอมเย็น ทำให้เขาออกแรงกอดนางไว้แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
นางส่งเสียงหึอย่างแผ่วเบาออกมาจากจมูก ฝูชางรีบผ่อนแรงที่แขนทันทีแล้วกล่าวเสียงเบา “ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ”
เสวียนอี่ฝังใบหน้าลงที่หน้าอกเขาอีกครั้งแล้วส่ายหัวช้าๆ เขาดึงเอาวงแหวนทองบนศีรษะนางที่เบี้ยวเอียงลงมา นิ้วมือแทรกเข้าไปในเรือนผมพร้อมสางช้าๆ ปลายนิ้วสัมผัสถูกคอที่ยังร้อนอยู่ของนาง จากนั้นจึงค่อยๆ รวบผมยาวของนางไว้ด้านหนึ่งช้าๆ เผยให้เห็นหลังคอเรียวระหงราวกับหยก
เขาค้อมตัวลงแล้วจุมพิตเบาๆ ลงบนนั้น นางรีบหดคอแล้วเบี่ยงตัวหลบ พลันรู้สึกว่าเขากำลังกดนางไว้ที่ผนังรถ มือทั้งสองของเขาคู่นี้ก่อนหน้านี้เกือบจะบีบกระดูกไหล่นางจนแตกละเอียด แต่มาวันนี้แรงนั้นกลับอ่อนโยนและนุ่มนวลได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังคงเป็นมือที่ไม่ยอมให้นางหลีกหนีได้เช่นเดิม ข้อมือนางถูกเขาใช้มือข้างหนึ่งกดเอาไว้ นิ้วทั้งห้าสอดประสานเข้าด้วยกัน เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เอาใหม่อีกครั้ง”
เอาใหม่อีกครั้ง
เสวียนอี่ไม่หลบอีกต่อไป นางเงยหน้าแล้วค่อยๆ หลับตาลง พลันเข้าไปใกล้ ริมฝีปากบดเบียดกัน และค่อยๆ ดูดกลืนกันและกัน ปลายลิ้นที่สั่นเทาเกี่ยวกระหวัดอีกฝ่ายไว้ เขาราวกับรู้แล้วว่าควรจะจูบอย่างไร เขาดุนดันลิ้นนางอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า ตวัดพันเกี่ยวรัดไม่ยอมปล่อย นางส่งเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง ฝูชางสอดปลายนิ้วเข้าไปภายในเสื้อของนางอย่างไม่รู้ตัว เขาลูบไล้ลงไปตามกระดูกไหปลาร้าอย่างหยอกเย้าราวกับกำลังลูบไล้กลีบดอกไม้
นางบิดตัวน้อยๆ เขาก็ค่อยๆ ออกห่างนาง แต่ปลายนิ้วกลับไม่ยอมละออกมา มันยังคงไล้วนอยู่ที่กระดูกไหปลาร้าของนาง เขาราวกับกำลังจั๊กจี้นางและไล้ขึ้นไปจนถึงปลายคาง จั๊กจี้จนนางหัวเราะและดิ้นไปมา นางรีบจับมือเขาออก เล็บมือสีแดงสดเกี่ยวไปที่นิ้วมือของเขาแล้วใช้เล็บขยี้ไปมา สุดท้ายก็ลากลงไปตามเส้นลายมือบนฝ่ามือของเขา
ฝูชางจับมือนางมากุมไว้แล้วพินิจดู นิ้วเรียวทั้งสิบทาเล็บสีแดงสดไว้ราวกับเปลวเพลิง เขานำมาแตะที่ริมฝีปากแล้วขบกัด นางร้อง “ไอหยา” ออกมาแล้วรีบหดมือกลับ แต่เขายอมปล่อยเสียที่ไหน กลับจุมพิตแผ่วเบาไปตามฝ่ามือ แล้วถลกแขนเสื้อนางขึ้นไปถึงข้อศอก เผยให้เห็นแขนเล็กเรียวงดงามราวกับหยกของนาง เขาอ้าปากกัดลงไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากัดแรงขึ้น เขาทั้งกัดทั้งจูบทั้งดูดและทิ้งร่องรอยเอาไว้บนนั้น
เสวียนอี่หัวเราะออกมาเสียงหวาน “ชอบกัดคนขนาดนี้ เจ้าจะกินผีสาวหรือ”
ใช่ อยากกินนางจะแย่แล้ว
ฝูชางเกี่ยวเอวคอดกิ่วของนางไว้แล้วดึงนางมาชิดร่างเขา เขากอดนางไว้นิ่งๆ หน้าอกแนบไปกับหูของนาง หัวใจเขาเต้นดังราวกับฟ้าผ่า เขาหลับตาลงแล้วใช้หน้าผากแนบกับศีรษะนาง ร่างกายที่หนักอึ้งเพราะอาการป่วยราวกับเบาลงไปมาก
รถม้าออกจากเมืองมาแล้วและเดินทางไปตามทางเล็กที่คดเคี้ยวไปตามแนวเขาอย่างช้าๆ ลมพัดจนม่านหน้าต่างเปิดออก เสวียนอี่มองทิวทัศน์เขียวขจีด้านนอก ก็ถามขึ้นอย่างเฉื่อยชาว่า “ที่นี่ที่ไหน”
ฝูชางกล่าว “เขาลูกนี้ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่ว่าต้นไม้บนยอดเขาลูกเล็กนอกเมืองนั้นต่างหากที่น่าประหลาด”
เสวียนอี่หูตั้งรอฟังเขาพูดอยู่นานแต่เขากลับไม่พูดต่อ จึงรีบถามว่า “ต้นไม้ต้นนั้นประหลาดอย่างไร”
รถม้าพลันจอดนิ่ง ฝูชางอุ้มนางแล้วกระโดดลงจากรถพร้อมยิ้มน้อยๆ “เห็นแล้วก็รู้เอง”
สายลมพัดมาจากภูเขา โลกมนุษย์ใกล้เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ใบไม้บนเขาทั้งลูกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและเขียวแก่ ใบไม้บนยอดเขาเขียวชอุ่มเป็นพิเศษ ต้นไม้ใหญ่ใกล้หุบเขาต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขามากมาย ใบไม้ทุกใบยาวถึงหนึ่งฉื่อกว่า บนใบไม้สีเขียวเต็มไปด้วยลายสีแดงมากมายอย่างน่าประหลาด
นี่มันต้นตี้หนี่ว์ซาง ต้นไม้ของแดนเทพต้นหนึ่ง
—
[1] ยามเหม่า : ช่วงเวลาตั้งแต่ 5.00 น.– 6.59 น.