บุหลันเคียงรัก - บทที่ 94 ชีวิตคือความฝันอันแสนสั้น (ตอนปลาย)
เสวียนอี่ลอยไปใต้ต้นไม้ พลางแหงนหน้ามองต้นไม้เทพต้นนี้ที่ไม่รู้ทำไมถึงได้มาขึ้นที่โลกมนุษย์
นี่คือต้นไม้ที่นางชอบที่สุด ใบไม้ใหญ่ ร่มเงาก็กว้างขวาง รูปลักษณ์สวย แม้แต่เวลาลมพัดผ่านใบไม้บนต้น เสียงที่ดังออกมายังฟังแล้วสบายหู วิมานม่วงของนางปลูกต้นตี้หนี่ว์ซางไว้เต็มไปหมด เวลานางว่าง ก็มักจะไปนอนอยู่ใต้ต้นไม้ตลอด
นางหมุนตัวกลับมา ฝูชางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังมองมาที่นางด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม ใบไม้ของต้นตี้หนี่ว์ซางเริ่มส่งเสียงเสนาะหูออกมา พริบตานั้นราวกับได้กลับไปยังแดนเทพ เทพฝูชางสวมชุดคลุมสีขาวราวหิมะยืนอยู่ตรงข้ามนาง
เสวียนอี่ยื่นมือไปหาเขาอย่างอดไม่อยู่ มาที่นี่ มาอยู่เป็นเพื่อนนาง
มือเรียวของเขากุมมือนางเอาไว้ เขามาแล้ว มายืนข้างกายนางและยืนมองต้นตี้หนี่ว์ซางเป็นเพื่อนนาง เขากล่าวเสียงเบาว่า “ตอนที่ข้าเห็นเจ้าข้าก็คิดว่า หากเจ้าได้มายืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้จะต้องเหมาะมากแน่ๆ”
นางคลี่ยิ้มบางแล้วกอดแขนของเขาเอาไว้ พร้อมโถมตัวไปราวกับกำลังออดอ้อนเขา “จะว่าสวยก็สวยสิ เหมาะมากอะไรกัน”
ฝูชางตบศีรษะนางเบาๆ แล้วจูงมือนางไปนั่งใต้ต้นตี้หนี่ว์ซาง สายลมพัดมาทำให้ชายเสื้อสีดำของเขาพลิ้วไปตามลม ด้านล่างภูเขาเป็นสีเขียวขจี โอบล้อมเมืองไปกว่าครึ่ง เป็นทิวทัศน์ที่แสนจะธรรมดา แต่เขากลับชอบมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยชอบมาก่อน
“อาการป่วยข้าใกล้หายดีแล้ว” เขากุมมือนางไว้แน่น “ถึงตอนนั้น ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวที่อื่นที่น่าสนใจอีก แผ่นดินกว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราสามารถเดินไปเรื่อยๆ ไปจนถึงสุดหล้าฟ้าเขียว เจ้าอยากไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”
พวกเขาสามารถท่องเที่ยวไปทั่วทุกที่ ไปชมทิวทัศน์งดงามหลากหลาย ยามเหนื่อยก็หยุดพักและนั่งอิงแอบแนบเคียงกันใต้ต้นไม้ หายเหนื่อยก็เดินทางต่อ บุรุษหนุ่มวัยแรกรุ่น การได้มองดอกไม้และทิวทัศน์ พูดคุยสนทนาและชมจันทร์ มีคนคอยเคียงข้างในยามเดียวดาย หากเป็นอย่างนั้นจะต้องน่าสนใจมากแน่ แต่จริงๆแล้ว การได้อยู่ด้วยกันกับนาง แม้จะเพียงแค่นั่งเคียงกันท่ามกลางหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมา เขาก็รู้สึกว่าน่าสนใจแล้ว
“ข้ารู้ว่าจริงๆแล้วเจ้าไม่ได้ชอบการอยู่คนเดียว” ฝูชางเหน็บผมของนางไว้หลังใบหู ฝ่ามือก็แนบลงมาที่ใบหน้าของนาง “มีข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เราสองคนอยู่ด้วยกันก็จะไม่เหงาแล้ว”
ผีสาวข้างกายเงยหน้าขึ้นจ้องมาที่เขา นางมักจะนิ่งเงียบและมีท่าทีห่างเหินอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้ ดวงตาของนางกลับเป็นประกายและจับจ้องมาที่เขา
ฝูชางประทับจุมพิตลงที่ใบหน้าเยือกเย็นของนาง แสงอาทิตย์สีทองลอดผ่านใบไม้ลงมา ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา เขาหรี่ตาลงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพลันมืดมิดลง มันไม่ได้สว่างไสวอย่างปกติทุกวัน ผีสาวที่อิงแนบอยู่ข้างกายเองก็พลันหายไป ในใจเขาตกใจมาก แล้วกล่าวเรียกเสียงเบาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน”
อยู่ที่นี่
เสวียนอี่ใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าของเขาไว้ ดวงตาที่เคยทอประกายและเฉียบคมของเขาราวกับมีความมืดเข้ามาบดบัง ไอบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาเองก็น้อยลงเรื่อยๆ ในใจนางตกใจมาก แล้วรีบใช้พลังเทพปรากฏร่างเทพต่อหน้าเขาทันที
ครั้นมองเห็นว่านางยังอยู่ เขาก็ยิ้มออกมา ในใจพลันรู้สึกคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ ราวกับนึกอะไรได้แต่กลับลืมทุกอย่างไปในพริบตา
พลขับและองครักษ์ที่คอยคุ้มกันอยู่ไม่ไกลเห็นข้างกายองค์ชายเจ็ดพลันปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดคลุมยาวสีขาวราวกับหิมะขึ้นมา ก็ตกใจจนร้องเสียงดัง เสวียนอี่ไม่อยากให้พวกเขามารบกวนจึงรีบเป่าลมออกไปทำให้หมดพวกเขาต่างหมดสติลงไปที่พื้น
“ไม่มีไอบริสุทธิ์แล้ว!” เสียงของเหล่าเทพผู้ตรวจการดังขึ้นอย่างร้อนรน หัวหน้าเทพผู้ตรวจการบินมาแล้วมาหยุดลงข้างกายของฝูชาง ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรอีกแล้ว เขายังก้มหน้าลงพูดคุยยิ้มแย้มกับนางอีก
หัวหน้าผู้ตรวจการปล่อยพลังเทพออกมาลองตรวจดูเล็กน้อย ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที “เทพฝูชางป่วยหนักครั้งนี้…ไม่ใช่เพราะไข้หวัด แต่เขาถูกพลังเทพที่เย็นจัดของตระกูลจู๋อินทำให้หัวใจบาดเจ็บ…แต่เขากลับยังทนมาได้ถึงตอนนี้”
งั้นหรือ? นางทำร้ายเขาอีกแล้ว ยามเป็นเทพนางก็ทำให้วิญญาณเขาเสียหาย เป็นมนุษย์นางยังมาทำให้หัวใจเขาบาดเจ็บอีก เขามักจะต้องบาดเจ็บด้วยน้ำมือนางหลายต่อหลายครั้ง
“องค์หญิง ตอนนี้โชคชะตาครั้งก่อนของเทพฝูชางบรรจบกันแล้ว จิตวิญญาณก็เริ่มดิ้นรน การตัดสัมพันธ์จะอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ขอให้องค์หญิงระวังด้วย!”
เสวียนอี่โบกมือเป็นนัยให้พวกเขาถอยไป
นางรู้แล้ว โชคชะตาก่อนหน้านี้ของเขาและนางบรรจบแล้ว ตอนอยู่แดนเทพ เหตุและผลกำหนดให้ชะตาครั้งก่อนย้อนกลับมา หนีกระบวนการของมันไม่พ้น ตอนนี้เหลือเพียงผลของโชคชะตาสุดท้ายเท่านั้น หากมันจบลง เขาก็จะสงบ
จริงๆแล้วนางรู้ว่าเขาต้องการอะไร นับตั้งแต่ที่ชื่อของนางถูกเขาเอ่ยออกมาตอนที่เขาละเมอ พริบตานั้นนางก็เข้าใจแล้ว บางทีนางอาจจะเข้าใจนานแล้ว ทว่าเพียงแค่กำลังหลบเลี่ยงเท่านั้น หากเป็นอย่างนี้นางก็จะได้อยู่กับฝูชางที่ไม่รู้เรื่องอะไรคนนี้มากขึ้นอีกหน่อย
เหลือเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่เค่อแล้ว วันเวลาที่ว่างเปล่าและภาพมายาเหล่านี้ของเขากับนาง
หากว่าเวลามากขึ้นอีกหน่อยคงจะดี ให้เขาอยู่เป็นเพื่อนนางอีกสักครู่ เวลาน้อยเกินไปแล้ว น้อยเกินไป อย่าขับไล่นางและความเหงาของนางเร็วอย่างนั้น นางอุตส่าห์แข็งใจกระโดดลงมาแล้ว เขาพูดแล้วว่าจะสอนนางเขียนอักษร อักษรพันตัวนั่นของนางเขียนได้ไม่น่าดูจริงๆ แต่ว่านางแค่ไม่อยากยอมรับ ยังมีทิวทัศน์งดงามหลากหลายเหล่านั้น กับที่บอกว่าจะพาไปสุดหล้าฟ้าเขียวนั่นอีก นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกเบื้องล่างเลย สถานที่พวกนั้นมันอยู่ที่ไหน? หากให้นางไปคนเดียวนางไม่มีทางหาเจอแน่
เฮ้อ นางพึ่งพาเขาถึงขนาดนี้เลย
เสวียนอี่ใช้แขนทั้งสองกระหวัดเกี่ยวคอเขาราวกับเถาวัลย์ แล้วเงยหน้ามองเขา
ความฝันอันงดงามที่ใกล้จะสูญสลาย นางจะมองพวกมันสลายไปเงียบๆ นางมักจะอำมหิตอย่างนี้เสมอ
ผีสาวที่งดงามบริสุทธิ์ตนนี้ พลันยิ้มจนตาหยีแล้วเอาใบหน้าที่เย็นราวกับน้ำแข็งแนบมากับใบหน้าของเขา พลางเอียงหน้าแล้วจุมพิตลงมาบนใบหน้าของเขา
ฝูชางกดท้ายทอยของนางเอาไว้ แล้วเบี่ยงออกเล็กน้อย เขามองมาที่นางอย่างลึกล้ำราวกับเป็นสัญชาตญาณ เขาถามออกมาเสียงเบาว่า “พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไปดีหรือไม่ เจ้าชอบข้าหรือไม่”
ชอบ
ไม่ได้โกหก และก็ไม่ได้เพื่อตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ด้วย แต่หากว่าพูดโกหกออกไปจริงๆ ก็คงจะดี มโนธรรมช่างมาช่วยตัดสัมพันธ์ให้เขาจริงๆ เป็นอย่างนี้ก็ดี
แต่ว่านางชอบเขา อาศัยช่วงเวลาบรรยากาศดีอย่างนี้ ในที่สุดนางก็ยอมรับออกมาตรงๆ
นางเองก็ไม่รู้ว่าชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้คือเรื่องที่นางหลีกหนีราวกับเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดถึงมัน บางทีอาจเพราะนางหลีกหนีความชอบนี้ ทำให้นางมักจะตามติดเขาอยู่เสมอ และมองเขาเป็นคู่อริอันดับหนึ่งของนาง ทรมานเขาอย่างหนัก แต่นางตามติดแต่เขาเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆไม่ว่าใครนางก็ไม่มองและหากไม่ใช่เขาก็ไม่ได้อีก
นางอยากเป็นคู่อริกับเขา เป็นคู่ต่อสู้กับเขา หากว่านางไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับความรักความแค้นความเกลียดเหล่านั้น พวกเขาจะต้องได้อยู่ด้วยกันไปอีกนานมากเป็นแน่ การทะเลาะถกเถียงกันมีเพียงเขาที่เข้ากับนางได้ดีที่สุด นางทำเขาโมโหเสียจนกลายเป็นคนป่าเถื่อน เขาเองก็ทำนางโมโหเสียจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง คิดว่าเขาเองก็ต้องคิดเช่นนี้เหมือนนาง
อย่ามาชอบนางเลย นางไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันไปได้นานแค่ไหน และไม่รู้ว่านิสัยเอาแต่ใจที่น่ากลัวและความเหงาที่มากมายนั่นของนางจะไปทำร้ายเขาหรือไม่ หากว่าเขาชอบนางจริงๆ สุดท้ายนางจะต้องทนไม่ไหวและกระโดดลงมาอีกเหมือนอย่างในตอนนี้เป็นแน่
แม้ว่านางจะทำร้ายเขาอย่างหนักไปแล้ว แต่ในด้านความรู้สึก เขาก็มักจะไม่ยอมถอยแบบนี้ตลอด เขาซื่อตรงและไม่อ้อมค้อม
นางไม่ได้ชอบความเหงา แต่ว่านางชินชากับความเหงานั้นมาก ความเหงาไม่ได้ทำร้ายนาง ความรักต่างหากที่ทำ แต่ว่านางดีใจมากที่มีเขาเป็นเพื่อน เพราะการปรากฏตัวของเขา โลกทั้งใบในสายตาของนางถึงได้มีสีสันและไม่เหมือนเดิมอีก มีเพียงแค่สีขาวดำสองสีนั่นของเขาจงซานเท่านั้นที่นางไม่ชอบ ช่วยพานางไปหลายๆที่หน่อยได้หรือไม่ หากว่าเป็นเขา โลกเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยไอขุ่นมัวเหล่านี้เองก็ไม่เลวเลย ดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ แสงจันทร์ส่องสว่างในฤดูใบไม้ร่วง อากาศอบอุ่นในฤดูร้อน อากาศที่เยือกเย็นในฤดูหนาว พวกเขายังมีฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหล่านี้ให้ดูไปด้วยกันได้
เสวียนอี่เอียงคอราวกับกำลังคิดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพลันยิ้มออกมาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “…เจ้าพูดอีกครั้งได้ไหม พูดว่าเจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ฝูชางจุมพิตลงบนริมฝีปากของนาง “ไม่ต้องอยู่คนเดียวตลอดอีก ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ได้
นางออกแรงกอดเขาไว้แน่น แล้วแนบไปที่หูของเขาพร้อมกับกล่าวออกมาทีละคำ “ข้าชอบเจ้า ข้าชอบเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ข้าชอบเจ้าที่สุดเลย ศิษย์พี่ฝูชาง”