บุหลันเคียงรัก - บทที่ 95 ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยหิมะ (ตอนต้น)
ร่างฝูชางสั่นน้อยๆ จุดแสงจากกลางหน้าผากของเขาค่อยๆ ปรากฏออกมาและสว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่เขากลับไม่ได้หมดสติไปเหมือนอย่างเหยียนสยาครั้งที่แล้ว ดวงตาดำสนิทและลึกล้ำของเขาจ้องมาที่นางนิ่งๆ
แววตาประสานกัน เงียบสนิทไร้เสียงใด
นี่คือเทพของโลกเบื้องบน? หรือว่าชายหนุ่มของโลกเบื้องล่าง? เสวียนอี่ไม่รู้และนางเองก็ไม่อยากจะไปคิดถึงปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร นางก็จะมองเขานิ่งๆ อย่างนี้จนกว่าทุกอย่างจะจบลง
ผ่านไปนาน ดวงตาที่จดจ่อคู่นั้นก็ปิดลง ร่างของเขาอ่อนแรงแล้วทรุดลงไป
เสวียนอี่ลูบไปที่ใบหน้าของเขา เขาเหมือนกับหลับใหลไปอย่างสงบ
ต่อไปก็ไม่ต้องฝันร้ายอีกแล้วสินะ
หัวหน้าเทพผู้ตรวจการตรวจดูที่หัวใจของฝูชาง “ร่างนี้ตายแล้ว คิดว่าน่าจะเพราะการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณหลังจากตัดสัมพันธ์ สามารถทำได้ทันเวลาอย่างนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ “
กล่าวจบ พลันเห็นเส้นแสงเล็กๆ กลุ่มหนึ่งออกมาจากศีรษะของฝูชาง มันถูกตัดขาด และกลายเป็นจุดแสงนับพันนับหมื่นพร้อมกับสลายไป ดีมาก เส้นชีวิตเองก็ขาดแล้ว ภารกิจคุ้มกันเทพฝูชางลงมาโลกเบื้องล่างถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
เหล่าเทพผู้ตรวจการพุ่งเข้ามาอย่างยินดี ในที่สุดสัมพันธ์ครั้งนี้ก็จัดการได้อย่างราบรื่น ทุกคนต่างก็ยินดีกันมาก ยากนักที่องค์หญิงที่แสนเอาแต่ใจองค์นี้จะยอมทุ่มเทแรงใจถึงขนาดนี้ นับว่าเกินความคาดหมายจริงๆ ยังคิดว่านางจะเบื่อความยุ่งยากแล้ววางมือไปกลางคันเสียอีก
หัวหน้าเทพผู้ตรวจการยืนอยู่ริมผาเงียบๆ สีหน้าของเขาสงบราบเรียบมาก เขาไม่เข้าใจความคิดของนาง กล่าวปลอบเสียงนุ่มว่า “องค์หญิง เทพฝูชางกลับไปแดนเทพแล้ว ความทรงจำครั้งนี้เขาน่าจะยังจำได้…”
จำได้ก็เรื่องของจำได้ แต่จะมองเป็นเพียงอุปสรรคขัดขวางในอดีตที่ไร้ความหมายหรือไม่ก็ยังไม่อาจรู้ได้ เขาไม่ได้กล่าวออกมา แล้วกล่าวต่อว่า “บางทีพวกท่านอาจจะสามารถกลับมาดีกันได้อีกครั้ง”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเถอะ อย่ามากวนข้า”
หัวหน้าเทพผู้ตรวจการเพียงพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ร่างของเทพฝูชางในโลกมนุษย์ พวกเราต้องส่งกลับไปที่ศาลเทพบูรพา องค์หญิง…”
นางไม่ได้ตอบ เพียงแต่หันหลังไปเท่านั้น
เทพผู้ตรวจการใช้ลมยกร่างที่ยังไม่เย็นชืดนั้นขึ้น แขนของเขาทิ้งลงมาอย่างอ่อนปวกเปียก พลันมีของสีทองอร่ามชิ้นหนึ่งตกลงมาจากแขนเสื้อของเขาและร่วงลงไปบนพื้น หัวหน้าผู้ตรวจการรีบเก็บขึ้นมา มันคือวงแหวนสีทองรัดผมวงหนึ่ง บนนั้นมีด้ายทองพันอยู่นับพันนับหมื่นเส้น ประดับไปด้วยดอกโบตั๋นเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวมากมาย ทั้งหรูหราเลอค่าและประณีต
“นี่คือวงแหวนทองขององค์หญิงใช่หรือไม่” เขาส่งมันไป
เสวียนอี่รับวงแหวนทองมาเงียบๆ เจ้าคนเลว แอบเก็บวงแหวนทองของนางไว้ หรือกลัวว่านางจะหายตัวไปกะทันหันกัน
แต่ว่าครั้งนี้นางไม่อยากหายไปจริงๆ และไม่อยากจากไปด้วย นางอยากจะอยู่โลกเบื้องล่างที่ราวกับความฝันนี้ อยากจะใช้ชีวิตด้วยกันกับเขา
นางหันหลังกลับไปอีกครั้ง แล้วมองไปยังเมืองที่ถูกสีเขียวล้อมเอาไว้ครึ่งเมืองด้านล่าง
ลมที่พัดมาพร้อมกับไอขุ่นมัวเหมือนกับแป้งเปียกที่เขาใช้ทาไปบนแผ่นยันต์ มันเหนียวติดเต็มผมและร่างของนาง เสวียนอี่เคยเกลียดความรู้สึกอย่างนี้มาก แต่ว่าช่วงเวลาที่นางอยู่โลกเบื้องล่างนี้ เหมือนว่านางจะค่อยๆ คุ้นชินกับมันแล้ว
ควรกลับไปแดนเทพแล้ว สิ่งที่นางควรทำนางก็ทำหมดแล้ว ปล่อยให้ทุกอย่างย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น สัมพันธ์เลวร้ายของพวกเขาควรหยุดลงตรงนี้
แต่นางกลับไม่อยากไป หากไปแล้วก็เหมือนว่าต้องไปจากเขาแล้วจริงๆ นางยังไม่อยากไปจากเขา นางมักจะเอาแต่ใจอย่างนี้เสมอ
หากว่าหัวใจเหมือนกับหิมะก็คงจะดี จะได้จับมันแช่แข็งไว้ให้แข็งแกร่งที่สุด หากเป็นอย่างนั้นเรื่องทุกอย่างนี้ก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น ความหวังในเบื้องลึกของจิตใจนางที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้เหล่านั้น ตอนนี้ก็คงไม่ต้องร่ำร้องและทุรนทุรายอย่างนี้
ถ้าหาก…ถ้าหากว่านางรออยู่ที่นี่ตลอดไป เป็นไปได้ไหมว่า…
นางไม่กล้าคิดต่อ ที่แท้ใจของนางก็ไม่ได้แข็งแกร่งเย็นชาอย่างที่ตัวนางคิด นางเปิดตากว้างแล้วแข็งใจกระโดดลงมา ไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้น เดิมนางคิดว่าตัวเองจะสามารถทำตัวเย็นชาไร้หัวใจได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สะบัดมือแล้วกลับไปแดนเทพ นับจากนี้ให้ตัดกันไปและกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน ส่วนนางและความเงียบเหงาที่หนาวเหน็บก็กลับไปยังเขาจงซาน ไปอยู่นานกี่พันหมื่นปีเท่าไหร่ก็ได้
แต่คำว่าชอบนั้นนางพูดไปด้วยใจจริง และเมื่อพูดไปแล้ว นางก็ได้แต่ปล่อยให้คนอื่นมาฆ่าแกงนางเท่านั้น เพราะเขาเอาหัวใจของนางไปแล้ว
เสวียนอี่จำไม่ได้ว่านางยืนอยู่ที่ริมผานี่มานานขนาดไหน เหนือศีรษะบ้างก็เป็นพระอาทิตย์ดวงเล็ก บ้างก็เป็นพระจันทร์ดวงเล็ก แปรเปลี่ยนไปมาหมุนเวียนไปหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย เมฆหมอกปกคลุมยอดเขา สายฝนของฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายลงมาทำให้ใบของต้นตี้หนี่ว์ซางเปียกชื้น และมีเสียงใบไม้พลิ้วไหวดังออกมา เสียงนั้นเสมือนเสียงร้องไห้ที่ถูกกลั้นไว้ เมื่อเขาไปแล้ว เสียงเหล่านั้นก็เริ่มผุดออกมาอีกครั้ง
นางพลันหมุนตัวแล้วกระโดดเข้าไปในทะเลเมฆ นางจะไม่ยอมให้พวกมันออกมาอีก นางไม่เหมือนกับท่านแม่ นางไม่มีทางเป็นเหมือนท่านแม่ ไม่มีทาง
กลับมายังศาลเทพบูรพา ความอึกทึกจากการตายอย่างกะทันหันในชาตินี้ของฝูชางหายไปหมดแล้ว ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
เสวียนอี่เดินเข้าไปในลานบ้านที่เขาอาศัยมานานสิบเจ็ดปี ใบของต้นท้อต้นนั้นแห้งเป็นสีเหลืองแล้ว ไม่มีวันที่จะมีชายหนุ่มยืนใต้ต้นไม้พร้อมทำบทเรียนคาบเช้าที่แสนจะแปลกประหลาดอีกแล้ว
เปิดประตูบ้าน ภายในยังคงเหมือนเดิม เซียนพิภพต้นท้อเก็บกวาดอย่างใส่ใจ ทำให้ที่นี่ยังคงสะอาดอยู่ เขามักจะสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มและคลุมผ้าห่มไว้ลวกๆ บนหัวเตียง หนังสือที่มีเรื่องของจื่อลู่ฆ่าพยัคฆ์เล่มนั้น ตัวอักษรที่พวกเขาทั้งสองเขียนอักษรหลงบนกระดาษสีขาวยังคงวางไว้บนโต๊ะหนังสือ หมึกสีดำในแท่นฝนแห้งไปหมดแล้ว
นางพับกระดาษสีขาวแผ่นนั้นแล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ สะบัดมือครั้งหนึ่ง ของเล่นเล็กๆ สีขาวจากหิมะบนชั้นหนังสือก็เข้ามาในอกทั้งหมด นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็แข็งใจหมุนตัวแล้วลอยออกไปทางหน้าต่าง
เซียนพิภพต้นท้อบอกนางว่า ร่างมนุษย์ของฝูชางถูกส่งกลับไปที่ราชวงศ์แล้ว น่าจะเพราะมีชะตากับเซียน จึงรู้ว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก และได้เตรียมหลุมฝังศพไว้ให้เขานานแล้ว เขาถูกฝังไว้ในสุสานราชวงศ์บนเขาลำพัง
เสวียนอี่ตั้งใจมาดูเขาแค่แวบเดียว จริงๆ แล้วนางเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสุสาน ที่แท้ เมื่อมนุษย์ตายไปแล้วยังต้องมีการสร้างสุสานไว้เก็บร่างด้วย เทียบกับแดนเทพของพวกเขาแล้วยังดีกว่าอีก พวกเขาดับสูญไปแล้วไม่มีอะไรเหลือไว้เลยสักอย่าง ร่างเพียงแค่กลายเป็นไอบริสุทธิ์และกลับสู่แดนเทพ
ชาตินี้เป็นองค์ชายเจ็ด สุสานของฝูชางจึงใหญ่และโอ่อ่ามาก ด้านหน้าสุสานยังมีปี่ซี่หินขนาดใหญ่และหินสลักเอาไว้ด้วย ทำให้นางนึกไปถึงปี่ซี่ตัวนั้นที่ชิงชิว
เสวียนอี่ยื่นมือออกไปตบหัวปี่ซี่หิน
ไม่ต้องนอนแล้ว ลุกขึ้นเถอะ
…แน่นอนว่าไม่มีใครลุกขึ้นมา
เสวียนอี่ถอนหายใจ นางนั่งบนหลังปี่ซี่แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างใหญ่ เมฆหมอกสลายไป พระจันทร์และดวงดาวมากมายปรากฏขึ้นบนฟ้า พระจันทร์ของโลกมนุษย์เล็กจริงๆ ทั้งเล็กทั้งมืด นางได้เห็นภาพพระจันทร์ที่งดงามที่สุดมาแล้ว นั่นก็คือที่ระเบียงไม้คดริมทะเลสาบเฉิงเจียงของวังเทพบูรพา
นางเอาของเล่นชิ้นเล็กจากหิมะออกมาทีละอันแล้วมาเรียงไว้หน้าหลุมศพเขาพร้อมใช้นิ้วมือเกลี่ยช้าๆ
พลันรู้สึกว่าของเล่นเหล่านี้นางทำได้ลวกเกินไป บนหัวของราชสีห์เก้าเศียรควรมีหน้าตา อัญมณีบนกระบี่ฉุนจวินเป็นสีฟ้า ดอกโบตั๋นเริงระบำเองก็ควรมีขนาดใหญ่กว่านี้อีกหน่อย เกล็ดบนปลาหลีฮื้อสีทองก็ควรมีมากกว่านี้ เขามังกรขนาดเท่าเมล็ดข้าวบนหัวเกลี้ยงเกลาของปลาดุกอุยก็ต้องยื่นออกมา
นางเริ่มใช้เล็บมือสลักใหม่อีกครั้ง นางแต่งเติมช้ามากและละเอียดมาก ตลอดชีวิตที่นางปั้นของเล่นพวกนี้มานางยังไม่เคยประณีตบรรจงอย่างนี้มาก่อนเลย นางกลั้นหายใจและจดจ่อสมาธิกับมัน ราวกับว่ากำลังทำเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา
เหมือนหายใจลำบากเล็กน้อย นับตั้งแต่ลงมาโลกเบื้องล่าง ในคอก็เริ่มมีก้อนอะไรสักอย่างทำให้นางไม่ค่อยสบายนัก ตอนนี้มันน่าจะเข้าไปในสมองนาง เข้าไปในชีพจรและแขนขาทั้งหมดของนาง ร่างทั้งร่างของนางเริ่มเชื่องช้าลง อยากจะเอามันออกมาจริงๆ
นางออกแรงไอ ไม่รู้ว่าบนท้องฟ้ามีหิมะมากมายตกลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้ฝังเขาทั้งลูกไว้แล้ว
สายลมพัดหิมะลอยละล่อง เกล็ดหิมะเหล่านี้ใหญ่มากและมีมากมาย นางรู้เป็นครั้งแรกว่าตัวเองสามารถทำให้หิมะตกหนักได้ขนาดนี้ เทียบกับเกล็ดหิมะของชิงเยี่ยนแล้วของนางยังใหญ่กว่า หิมะทำให้เมืองกว่าครึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ฉีหนานควรจะมาดูจริงๆ เขามักชอบพูดว่านางไม่มีประโยชน์ เสียแรงและพรสวรรค์ที่สามารถแปลงเป็นร่างคนได้ตั้งแต่อายุสองร้อยปี ที่แท้นางเองก็สามารถเก่งกาจได้อย่างนี้ นางเก่งกาจเสียจนตัวนางเองยังกลัว
ใช่แล้ว ฉีหนาน ครั้งนี้เขาจะต้องดีใจมากแน่ และไม่มีทางไม่สนใจนางอีกถึงครึ่งปี ตระกูลหวาซวีกับตระกูลจู๋อินไม่ได้ผูกความแค้นต่อกัน พวกเขาไม่ได้มีคู่แค้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง นางไม่เคยถามไปว่า วันนั้นที่วังเทพบูรพา เขาคุยอะไรกัน หรือว่าเขากำลังพยายามแนะนำนางให้กับเทพบูรพา เขามักจะวาดหวังให้นางกับฝูชางเป็นคู่กัน นางเองก็มันจะเล่นแง่และทำอะไรตรงกันข้ามกับเขา ตอนนี้นางได้อย่างที่นางต้องการแล้ว
ชิงเยี่ยนอาจจะผิดหวังบ้าง นางเข้าใจคำพูดที่เขาพูดก่อนจากไป เขาให้นางคอยหาเรื่องเกาะติดเอาแต่ใจกับฝูชาง ทำอย่างนั้นนางก็จะไม่เหงาอีก เขากลัวว่านางจะต้องโดดเดี่ยว แต่น่าเสียดายที่นางทำไม่ได้อย่างที่พี่ชายนางหวัง