บุหลันเคียงรัก - บทที่ 98 หายนะทะเลหลีเฮิ่น
ยามแสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า หิมะบนยอดเขาจงซานถูกแสงอาทิตย์สะท้อนจนแสบตา
นับตั้งแต่อาการบาดเจ็บของมหาเทพจงซานสมานกันดีแล้ว เขาสูงตระหง่านที่เคยปกคลุมไปด้วยหิมะและอยู่ท่ามกลางความมืดมนแห่งนี้ก็ได้เผยโฉมที่แท้จริงออกมาเสียที มันมีลักษณะคล้ายกริชแหลมคมสีดำสนิทเล่มหนึ่งเสียบเข้าไปบนท้องฟ้า เขาสูงชันสลับซับซ้อนอันตราย เขาสูงที่หนาวเย็นนับหมื่นจั้งประดับไปด้วยหิมะให้เห็นเป็นหย่อมๆ มีสีเขียวให้เห็นน้อยมาก ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกยำเกรงขึ้นมา
ฉีหนานกำลังเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูเขาด้วยท่าทีร้อนรนและตื่นตระหนก ทันใดนั้นม่านกั้นด้านนอกของเขาจงซานพลันถูกเปิดออก ตามมาด้วยเงาร่างสีเขียวอ่อนร่างหนึ่งก้าวออกมาท่ามกลางเมฆหมอกอย่างช้าๆ ผู้ที่มามีรูปร่างไม่สูงนัก ไข่มุกสีดำสนิทบนหูทั้งสองที่ห้อยลงมาแกว่งไกวไม่หยุด เขาก็คือชิงเยี่ยน
เขาพุ่งตัวเข้าไปราวกับเจอผู้ช่วยชีวิต “องค์ชายน้อยกลับมาเสียที! เร็วเข้า! เร็วเข้า!”
ชิงเยี่ยนที่ถูกเขาลากขึ้นไปบนบันไดไปตลอดทางมีสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ฉีหนาน นางก็แค่หลับใหลพันปีเท่านั้น อีกประเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว เจ้าอย่าตื่นเต้นเคร่งเครียดอย่างนี้ ไม่มีอะไรหรอก”
ฉีหนานยังรู้สึกตัวเองน่าขัน แต่ก็ยังอดที่จะกังวลไม่ได้ “มหาเทพไม่อยู่ที่เขาจงซาน ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถคุ้มครององค์หญิงให้ตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัยได้ องค์ชายน้อยเร็วหน่อยเถิด”
ชิงเยี่ยนถูกเขาลากตะบึงไปจนถึงวิมานม่วง แหวกม่านเมฆออก ภายในคือทิวทัศน์ที่สดชื่นสบายราวกับฤดูใบไม้ผลิ ต้นตี้หนี่ว์ซางที่ยืนหยัดหมื่นปีไม่มีล้มกำลังทอดเงาอยู่ใต้แสงตะวันรอนพร้อมกับเสียงใบไม้ที่สั่นไหวไปตามลม ด้านบนของตำหนักหยวนจันมีไอบริสุทธิ์ไหลเวียนราวกับกำลังหายใจ บ้างก็ถูกดูดเข้าไปภายในตำหนัก บ้างก็ถูกพ่นออกมา ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เป็นลางบอกว่ากำลังจะฟื้นขึ้นจากหลับใหลพันปีจริงๆ
ชิงเยี่ยนเปิดหน้าต่างออกเสียงเบาแล้วมองเข้าไปภายใน แต่กลับเห็นม่านแพรบางนั่นแทน ไอบริสุทธิ์ราวกับรังไหมขนาดใหญ่กำลงขดอยู่บนเตียงประดับงาและมังกร ร่างของเสวียนอี่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในนั้นอย่างสงบ
“ไม่ต้องรีบ ยังต้องรออีกสักครู่” ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเบาเพื่อปลอบใจฉีหนานที่ร้อนรนอยู่ข้างกายเขาพลางลากเอาเก้าอี้แก้วมา “เจ้านั่งลงแล้วใจเย็นๆ ไม่ใช่คลอดบุตรเสียหน่อย”
ฉีหนานถอนหายใจออกมายาวๆ เพราะองค์ชายน้อยมาถึงทำให้เขารู้สึกสงบลงไม่น้อย แล้วรีบกล่าวเสียงเบาว่า “องค์หญิงหลับไปครั้งนี้นานถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี เดิมข้าคิดว่านางจะตื่นขึ้นมาภายในหนึ่งปี”
เวลาการหลับใหลพันปีเกี่ยวพันกับความสามารถอย่างมาก ในอดีตผู้ที่หลับใหลพันปีนานที่สุดคือมหาเทพตระกูลชิงหยางยุคก่อนๆ เขาหลับใหลไปนานถึงสามพันปี องค์หญิงหลับใหลไปหนึ่งพันห้าร้อยปี ความสามารถของนางเองก็ยอดเยี่ยมมาก ในจุดนี้ ฉีหนานรู้สึกเกินความคาดหมายมาก เขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าองค์หญิงมีพรสวรรค์อะไร
ชิงเยี่ยนเห็นเขายังคงหวาดกลัวและมีใบหน้าขาวซีดก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าหลับใหลไปสองพันปียังไม่เห็นว่าฉีหนานจะตกใจอย่างนี้บ้าง เจ้านี่มันลำเอียงจริงๆ”
ฉีหนานถูกเขาพูดเข้าก็ยิ้มอย่างลำบากใจ” องค์ชายน้อยมีมหาเทพเซวียนหมิงคอยดูอยู่ ข้าจึงไม่ต้องกังวล ตอนนี้มหาเทพลงไปกวาดล้างเผ่าปีศาจที่โลกเบื้องล่าง หลายปีมานี้ยากจะมีเวลากลับมา หากว่าองค์หญิงเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นในช่วงนี้ ข้าคงจะ…เฮ้อ”
ทูลเกล้าทูลกระหม่อมของเขาคนนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องทำให้ชีวิตเฒ่าชราของเขากังวลใจจนตายแน่
ชิงเยี่ยนเองก็ลากเอาเก้าอี้แก้วมานั่งลงตรงข้ามเขาแล้วเอาจดหมายออกมาจากแขนเสื้อฉบับหนึ่ง “ข้าเพิ่งกลับมา ก็เห็นจดหมายเหล่านี้ลอยอยู่ด้านนอกม่านกั้นราวกับหิมะ จดหมายเหล่านี้ส่งมาจากตำหนักอวี้หวาทั้งนั้น ทำไมเจ้าไม่รับ”
ฉีหนานส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “จดหมายทั้งหมดที่ส่งมาล้วนแต่เร่งให้องค์หญิงไปตำหนักอวี้หวาเพื่อรีบไปรับตำแหน่งวั่งซูทั้งนั้น รับไปก็ไม่มีประโยชน์”
ชิงเยี่ยนเปิดจดหมายออกดูพลางขมวดคิ้ว “ตาเฒ่าพวกนี้บ้าไปแล้ว อาอี่เพิ่งจะอายุได้แค่สามหมื่นสามพันปีเท่านั้น!”
ฉีหนานมีสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านเองก็รู้ว่า เทพเฟยเหลียนลงไปโลกเบื้องล่างเมื่อสองพันปีก่อนและได้สู้กับองค์ราชาฟู่เฉวี่ยน เขาสู้ไม่ได้และดับสูญไป นับแต่นั้นเทพีวั่งซูเองก็ได้รับบาดเจ็บหนัก และนางได้แนะนำองค์หญิงให้กับตำหนักอวี้หวา ทุกวันนี้เกรงว่าจะไม่มีเทพธิดาองค์อื่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้ว”
ชิงเยี่ยนขมวดคิ้วหนักขึ้น “เดิมให้เฟยเหลียนกับวั่งซูไปสู้กับองค์ราชาฟู่เฉวี่ยนก็เหลวไหลพออยู่แล้ว เดิมองค์ราชาฟู่เฉวี่ยนเองก็เป็นถึงยอดนักรบในเผ่าปีศาจโบราณ ทุกวันนี้เขาเสื่อมทรามลงและกลายเป็นมาร ทำให้ความสามารถยิ่งลึกล้ำสูงส่งยากจะคาดเดายิ่งขึ้น แล้วพวกเขาทั้งสองจะเป็นคู่มือเขาได้อย่างไร”
เดิมตำแหน่งของเฟยเหลียนและวั่งซูก็ไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้อยู่แล้ว แต่เพราะทะเลหลีเฮิ่นทำให้เผ่ามารโลกเบื้องล่างขยายพันธุ์เร็ว นักรบก็ดับสูญมากเกินไปจนหาใครไม่ได้ ตำหนักอวี้หวาจึงส่งเผ่าเทพที่พอจะมีวิชาให้ไปเป็นนักรบเสีย จุดนี้ทำให้เทพของแดนเทพหวาดหวั่นกันมาก กระทั่งเหล่าเทพที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ยังได้แต่ต้องเริ่มฝึกฝนฝีมือเพื่อเตรียมการเอาไว้ก่อน จนทำให้แดนเทพให้ความสำคัญกับการต่อสู้มากกว่าบัณฑิตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าคิดว่าตำหนักอวี้หวาเองก็ไม่ควรจะไม่มีหัวคิดขนาดเรียกให้องค์หญิงไปรับหน้าที่” ฉีหนานมองไปทางไอบริสุทธิ์เหนือตำหนักอวี้หวา “องค์หญิงยังคงหลับใหลพันปีอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้ได้ยินว่าองค์หญิงก็ยังไม่ได้เรียนวิชาต่อสู้ และอยู่ที่เขาจงซานมาตลอด คิดว่าตำหนักอวี้หวาเองก็คงอยากจะรับองค์หญิงไปให้เหล่ามหาเทพทั้งหลายฝึกฝนให้”
นี่ก็คือช่วงเวลาสำคัญของแดนเทพ ไม่เหมือนกับช่วงเวลาสบายๆ และสงบสุขดังก่อนอีก เหล่ามหาเทพของกลุ่มตำหนักหมื่นเทพที่พอจะมีฝีมือดีอยู่บ้างต่างก็ลงไปโลกเบื้องล่างหมดแล้ว เหล่ามหาเทพที่เหลืออยู่ไม่เพียงแต่จะลดอายุศิษย์ที่รับลงเป็นหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น พวกเขายังรับจำนวนศิษย์มากกว่าเดิมมาก แม้แต่มหาเทพไป๋เจ๋อเองก็ยังต้องลดขีดจำกัดลงและเปิดรับศิษย์อย่างกว้างขวาง
ศิษย์ที่เข้ามาในสำนักก็จะเริ่มถ่ายทอดวิชาต่อสู้และวิชาเวทให้เลย ตำหนักอวี้หวาเองก็มักจะส่งเทพผู้ตรวจการมาตรวจสอบอยู่บ่อยครั้ง หากใครไม่ทำตามก็ต้องถูกลงโทษ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาคือตระกูลจู๋อิน เกรงว่าองค์หญิงคงถูกลงโทษไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว
ฉีหนานถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เป็นเพราะความหายนะของทะเลหลีเฮิ่นนั่นแท้ๆ
ตอนนี้ห่างจากปีที่ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงไปได้สองหมื่นสามพันปีแล้ว นับตั้งแต่ที่มันทลายลงไปแล้วมันก็ขยายอาณาเขตตลอดเวลา ทำให้เหล่าเทพต่างปวดเศียรเวียนเกล้ากันมาก ใครจะรู้ว่าหนึ่งหมื่นแปดพันปีก่อนมันกลับหยุดขยายลง แต่ไม่เพียงเท่านั้น ทุกปีมันจะหดกลับไปที่ศูนย์กลาง และในที่สุดเมื่อแปดพันปีก่อนมันก็ลดขนาดกลับไปมีขนาดเท่ากับตอนแรกเริ่ม
แต่สถานการณ์ที่ตามมากลับไม่ดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้เหล่าเทพใจเสีย ทะเลหลีเฮิ่นเริ่มปริแตกออกเป็นเศษหมอกสีดำนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะใช้ค่ายกล เวทหรือไอบริสุทธิ์ไปต้านไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มันลอยกระจายไปในโลกเบื้องล่าง หากมนุษย์ธรรมดาถูกมันเข้าจะตายทันที หากเผ่าปีศาจสัมผัสมันเข้าจะกลายเป็นเผ่ามาร ความวุ่นวายของโลกเบื้องล่างตอนนี้ไม่ได้ต่างจากความวุ่นวายที่องค์ราชาชือโหยวสร้างขึ้นในคราวนั้นเลย
แต่ครั้งก่อนจะอย่างไรก็ยังมีเป้าหมายอย่างชือโหยว แต่ครั้งนี้กลับทำให้เหล่าเทพไม่รู้ทิศทาง ทุกคนรู้ว่าต้นเหตุเกิดขึ้นจากทะเลหลีเฮิ่น แต่ใครก็เข้าไปใกล้มันไม่ได้ ได้แต่ต้องลำบากเหล่านักรบแดนเทพให้คอยวิ่งวุ่นกำจัดเหล่าปีศาจที่กลายเป็นเผ่ามารอยู่ทุกวัน
ยังดีว่าสถานการณ์เลวร้ายค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน ทะเลหลีเฮิ่นพลันหยุดการปริแตกลงและรวมกันไปอยู่ที่เดียวกัน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก แต่เหล่าเทพกลับยังคงไม่กล้าลดความระมัดระวังลง เหล่ากลุ่มเทพตำหนักหมื่นเทพ ต่างก็ลดอายุของเทพอายุน้อยที่ต้องเข้ามารับตำแหน่งเทพให้ลดลงตามคำแนะนำของมหาเทพไท่จางและมหาเทพเจินอู่เป็นสี่หมื่นปี เพื่อรับมือกับเผ่ามารที่มีมาไม่ขาดสายของโลกเบื้องล่าง เพราะความวุ่นวายมีมากมายเกินไปทำให้เหล่านักรบมีจำนวนไม่พอใช้งาน
พูดถึงความเชี่ยวชาญด้านการรบและความกล้าหาญ อันดับแรกแน่นอนว่าต้องคิดถึงตระกูลจู๋อิน นับตั้งแต่ที่บาดแผลของมหาเทพจงซานสมานกันดีเมื่อหกพันปีก่อน แม้เขาจงซานจะมีม่านปกคลุมไว้ แต่ก็ยังมีจดหมายส่งมาถึงทุกวันราวกับเกล็ดหิมะ จดหมายเหล่านั้นต่างก็เร่งให้เขาลงไปโลกเบื้องล่างเพื่อกำจัดเผ่ามาร สุดท้ายแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังมีราชโองการมาสองฉบับ
ไม่มีทางเลือก มหาเทพจงซานจึงได้แต่ต้องรับราชโองการแล้วลงไปโลกเบื้องล่าง และเมื่อเขาลงไปครั้งนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยมีเวลาว่างกลับมาเขาจงซานอีกเลย กระทั่งเรื่องใหญ่อย่างการที่องค์หญิงหลับใหลพันปีเขาก็ยังกลับมาไม่ได้
องค์ชายน้อยยังมีอายุไม่ถึงสี่หมื่นปี แต่ว่าก็ถูกเหล่าผู้เฒ่าของตำหนักอวี้หวาเหล่านั้นจับตามองไว้แล้ว แต่ละคนต่างรอคอยให้เขาถึงอายุจะได้ลากเขาลงไปโลกเบื้องล่าง คิดไม่ถึงว่าพวกเขายังจับตามององค์หญิงอีก เฮ้อ องค์หญิง…ฝีมือผิวเผินอย่างนั้นของนาง หน้าตาของตระกูลจู๋อินคงได้แตกยับเยินเพราะนางเป็นแน่
ฉีหนานอยากกล่าวอะไรออกมา พลันเห็นไอบริสุทธิ์เหนือตำหนักหยวนจันเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ราวกับถูกปากขนาดใหญ่สูบเข้าไป ไอบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนเข้าไปภายในตำหนัก เขารับเปิดหน้าต่างออกก็เห็นว่าไอบริสุทธิ์ที่เป็นเหมือนรังไหมขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ร่างเสวียนอี่ที่อยู่ภายในม่านบางๆ พลิกตัวแล้วหาวออกมา นางดึงผ้าห่มคลุมไปถึงศีรษะแล้วหลับต่อ
หลับมานานถึงหนึ่งพันห้าร้อยปีแล้ว ยังจะนอนต่ออีก?!
ฉีหนานเตรียมจะเรียกนางให้ตื่น แต่ชิงเยี่ยนกลับรีบขวางไว้ “อย่าเรียกนาง การเลื่อนขั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ยังต้องนอนต่อไปอีกสองสามวันถึงจะดีขึ้น ให้นางนอนต่อไปเถอะ”