ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 112 แม่ลูกสนทนาความในใจ
เพราะหลินหลันนำสติทั้งหมดจดจ่อไปที่หญิงชรา ด้วยใจหนึ่งคิดว่าควรอยู่ให้ห่างหญิงชราเข้าไว้หน่อย จนลืมสังเกตหมิงจูที่นั่งอยู่ด้านข้างนางเลยถูกหมิงจูจุดชนวนขึ้นมาจนได้ หลินหลันใจเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าข้ออ้างของหมิงอวินจะได้เรื่องหรือไม่
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลินหลันพลางทำทียื่นจมูกสูดดมกันฟึดฟัด
หมิงอวินเผยสีหน้าละอายใจและกล่าวพึมพำ “ข้าดื่มไปหลายแก้ว ระหว่างเดินทางกลับเพราะรถม้าที่โคลงเคลงไปมา ข้าเลยมึนหัวจนอาเจียนใส่หลินหลัน…”
หลินหลันดึงแขนเสื้อขึ้นมาใกล้จมูกและทำทีสูดดม ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เปลี่ยนชุดแล้วแท้ๆ เหตุใดกลิ่นถึงยังแรงขนาดนี้นะ”
หมิงจูพึมพำ “มิใช่ว่าพี่สะใภ้รองก็ดื่มด้วยหรือเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวภายใต้รอยยิ้มอ่อน “ดื่มเพียงแค่จอกเล็กๆ จอกเดียวเท่านั้นเอง ด้วยภรรยาของท่านโหวเยว์หมักสุราชิงเหมยขึ้นมาเอง จึงอยากให้ข้าช่วยชิมสักหน่อย”
หมิงอวินเห็นสีหน้าของผู้เป็นย่าสงบลงจึงรีบก้าวไปเบื้องหน้าและกล่าวขึ้น “ท่านย่านั่งเรือมาหรือขอรับ เหตุใดถึงมิให้คนส่งจดหมายมาแต่เนิ่นๆ หลานจะได้ไปรับท่าน”
หลี่จิ้งเสียนซึ่งกำลังไม่พอใจต่อการกระทำตามอำเภอใจของนางฮานอยู่พอดี จึงถือโอกาสนี้กล่าวเสริม “นั่นสิขอรับท่านแม่ ท่านจะเข้าบ้านมาทั้งที ลูกกลับเพิ่งรับรู้ ช่างเป็นการที่ลูกเสียมารยาทจริงๆ ขอรับ” แล้วจึงหันไปยังนางฮาน ภายใต้น้ำเสียงแข็งกร้าวและอาการไม่พอใจอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าถึงส่งคนไปรับท่านแม่โดยไม่บอกกล่าวข้าสักคำ มีที่ไหนผู้เป็นมารดาจะมาทั้งทีแต่ผู้ลูกกลับยังอยู่บ้านสบายใจเฉิบ หากเรื่องประเภทนี้แพร่งพรายออกไป อัครมหาเสนาบดีเหล่านั้นจะพากันตั้งข้อกังขาโดยไม่มีความจำเป็นได้!”
เกี่ยวกับประเด็นนี้ หญิงชราไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกัน นางฮานเขียนจดหมายมาระบายทุกข์ กล่าวว่านางทำหน้าที่แม่เลี้ยงได้ไม่ดีพอ เหล่าเหยียไม่เพียงแต่ไม่เห็นใจ ทั้งยังตำหนิว่ากล่าวนางสารพัด…ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงก็แต่ว่าครอบครัวจะไม่สงบสุขอีกแล้ว ดังนั้นจึงขอร้องให้นางมานั่งรักษาการณ์เพื่อความสงบในครอบครัวที่เมืองหลวง เดิมทีนางไม่ได้อยากวุ่นวายเรื่องครอบครัวของจิ้งเสียนแต่อย่างใด ทว่าคิดๆ ดูแล้วครอบครัวหลี่ทุกวันนี้ หรือกระทั่งทุกคนในสกุลหลี่ก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาจิ้งเสียน หากครอบครัวจิ้งเสียนเกิดปัญหาอะไรขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยจนพาลไปถึงชื่อเสียงขุนนางเขาก็คงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ ดังนั้นจึงรีบมาพร้อมกับลูกสะใภ้คนโตและข้ารับใช้อีกจำนวนหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นนางฮานปิดบังพวกเขาพ่อลูก ทำให้นางดูไม่ต่างไปจากแขกที่ไม่ได้รับเชิญ กลายเป็นจุดจบที่ไม่สวยงามนัก
หญิงชราตวัดสายตามองไปยังนางฮานอย่างเงียบๆ ภายในใจยิ่งรู้สึกถึงความละอายใจต่อลูกสะใภ้คนนี้ หลายปีที่ผ่านมานี้นางฮานคงใช้ชีวิตที่ยากลำบากสินะ! จะอย่างไรก็เป็นครอบครัวหลี่ที่ติดค้างนาง…จึงไม่อาจตำหนินางได้
เผชิญการตำหนิของผู้เป็นสามี นางฮานจึงกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “พอท่านพี่เลิกงานก็ไปที่พักของหลิวอี๋เหนียงทันที น้องอยากจะพูดคุยกับท่านหาได้มีโอกาสไม่หนิเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนโกรธจนปากสั่น ที่แท้นางฮานก็รอเวลานี้อยู่สินะ
หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาในบ้านจนถึงตอนนี้ นางพบว่าในบ้านหลังนี้มีปัญหาแฝงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หมิงเจ๋อเมื่อเห็นว่าท่านพ่อท่านแม่กำลังจะทะเลาะกันอีกแล้วจึงรีบตัดบท “ท่านย่า ท่านนั่งเรือมาคงเหนื่อยมากแล้วนะขอรับ นี่ก็ดึกแล้วด้วย วันนี้รีบพักผ่อนเถอะขอรับ!”
จังหวะเดียวกันนั้นแม่เหยาเข้ามารายงานพอดิบพอดี “ห้องพักของเหล่าไท่ไทและฮูหยินใหญ่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
นางฮานรีบกล่าวอย่างเอาใจใส่ “ท่านแม่ ลูกไปดูเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะว่าพึงพอใจหรือไม่ หากมีส่วนใดที่ไม่เหมาะสม ลูกจะได้ให้คนแก้ไขให้ทันทีเจ้าค่ะ”
หญิงชราทุบลงไปที่ช่วงเอวด้านหลังสองสามที ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นั่งเรือมาสองเดือนกว่า เล่นเอากระดูกข้าจะเคลื่อนหมดแล้ว ขอพักสักหน่อยแล้วกัน! พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
เวลานี้หมิงเจ๋อกลับรู้สึกสมองโล่งปลอดโปร่งไม่น้อยทีเดียว ในเมื่อท่านย่ามาแล้วก็เท่ากับว่าเขาจะได้มีที่พักพิงเสียที จะต้องประจบประแจงท่านย่าไว้ให้มากๆ และทำให้ท่านย่าพอใจเข้าไว้ถึงจะเป็นการดี เขาส่งสายตาให้หลั้วเหยียน หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้าไปช่วยประคองผู้เป็นย่าเดินออกไป
หลี่จิ้งเสียนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปพูดกับหมิงอวินและหลินหลัน “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ! แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมไปยังโถงจาวฮุยแต่เช้าหน่อยเพื่อน้อมทักทายท่านย่าในยามเช้า”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ…” หลี่หมิงอวินและหลินหลันขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
หมิงจูก้าวไปเบื้องหน้าแล้วย่อเข่าพร้อมโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “ท่านลุง หมิงจูขอตัวลาเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนชายตามองนางอย่างนิ่งสงบพลางพยักหน้าเล็กน้อย
หมิงจูเดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมามองหลินหลันด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หลินหลันมองไปที่นางพลางเลิกคิ้วตามด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
หมิงจูรีบเชิดหน้าหนีโดยก้าวเท้าฉับไวเดินจากไป
หลังออกจากโถงหนิงเฮ๋อ หลินหลันก้มหน้าและเดินไปอย่างเชื่องช้า ในบ้านดันมีคนโผล่ขึ้นมากะทันหันถึงสามชีวิต จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คงเพิ่มความยุ่งยากไม่น้อยทีเดียวเชียว เห็นได้ชัดว่าหญิงชราเอ็นดูหมิงเจ๋อด้วยใจจริง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้หมิงอวินโดดเด่นมีหน้ามีตาแล้ว แม้หญิงชราจะเย็นชาต่อหมิงอวินอยู่บ้าง แต่ก็ทำอะไรหมิงอวินไม่ได้อยู่ดี ถึงอย่างไรหมิงอวินก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของนาง ขณะที่ทัศนคติของหญิงชราที่มีต่อหลั้วเหยียนก็เห็นได้ชัดอย่างยิ่งเช่นกัน จากการที่หญิงชรามองดูหลั้วเหยียนด้วยสายตาอันแสนอบอุ่น สายตาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม คำพูดซึ่งเต็มไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ในทางกลับกัน หญิงชราจ้องมองนางด้วยสายตาเมินเฉย ซึ่งเห็นได้ชัดถึงความไม่พึงพอใจ หลินหลันคิดในแง่ร้าย จะเป็นไปได้ไหมนะที่หญิงชรานั่นจะทำให้นางเลิกรากับหมิงอวิน…
รอบเอวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นขึ้นมากะทันหัน มันคือฝ่ามือใหญ่ของเขาที่กำลังโอบเอวของนางไว้ หลินหลันเงยหน้ามองหมิงอวินหลังจากเรียกสติกลับคืนมา ดวงหน้าหล่อเหลาของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เลิกคิดได้แล้ว ค่อยๆ คิดไปทีละขั้นทีละตอนเถอะ! หากอยู่บ้านนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ เราค่อยออกไปก็ได้หนิ”
“เจ้าพูดซะง่ายดายเชียว ค่อยออกไปก็ได้หนิ ฮึ เรื่องอะไรเราต้องออกไปด้วย เราออกไปก็มิเท่ากับสมใจคนเหล่านั้นหรือ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้นและจะยืนหยัดจนถึงชัยชนะ” หลินหลันปั้นหน้าเอาจริงเอาจริงขณะกล่าว
หลี่หมิงอวินอมยิ้มพลางกระชับอ้อมแขนแนบแน่นยิ่งขึ้น แม้สายลมแห่งต้นฤดูหนาวจะเย็นสะท้านไปถึงกระดูก ทว่าหัวใจของเขากลับอบอุ่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพียงเพราะในอ้อมแขนมีหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้ นางเป็นเสมือนต้นหญ้าที่แข็งแกร่งท่ามกลางหุบเขา สายลมไม่อาจทำให้นางล้มราบเป็นหน้ากอง หรือแม้กระทั่งสายฝนก็มิอาจทำลายได้ ไม่ว่าจะประสบความยากลำบากเพียงใด นางมิเคยย่อท้อและไม่ว่าจะมาไม้ไหนก็สามารถรับมือได้ทั้งนั้น ไม่มีการหันหลังให้แต่อย่างใด มีเพียงจิตใจอันเปี่ยมล้นในการต่อสู้เท่านั้น…ตอนแรกที่ลงนามในสัญญา เขาคิดเพียงแค่นางคงเป็นผู้ช่วยที่ดีในระดับหนึ่ง ทว่าตอนนี้เขาชักรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจเสียแล้ว เพราะเขาไม่รู้ว่าท่าทีภายนอกอันแข็งแกร่งนั่น แท้จริงแล้วมีดวงใจหนึ่งดวงที่กำลังอ่อนแออยู่หรือไม่ ยามที่นางยิ้ม…แท้จริงแล้วในใจของนางกำลังทุกข์ระทมอยู่หรือไม่
“หมิงอวิน เจ้าสังเกตเห็นไหม”
หลี่หมิงอวินก้มหน้ามองนาง “อะไรหรือ”
“ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้าดูเหมือนจะอยู่ข้างเดียวกับพวกเรานะ ท่านพ่อเจ้านับวันยิ่งไม่ไว้หน้าแม่มดชราเสียแล้ว” หลินหลันเอ่ย
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “ทุกวันนี้หลิวอี๋เหนียงได้รับความโปรดปราน แม่มดชราก็ย่อมอิจฉาริษยาเป็นธรรมดา ซึ่งแน่นอนว่าท่านพ่อคงไม่ชอบใจนัก”
“ข้าว่านางหาเรื่องใส่ตัวเสียมากกว่า เดิมทีอยากจะให้ท่านพ่อของเจ้าพึงพอใจ แต่กลับหาเรื่องวุ่นวายใหญ่โตให้ตัวเอง” หลินหลันกล่าวเยาะเย้ย
หลี่หมิงอวินรู้สึกเหนื่อยใจ “นับวันในบ้านยิ่งรุ่มร้อนไปกันใหญ่”
“รุ่มร้อนสิถึงจะดี! ทางที่ดีที่สุดเอาให้เละเป็นโจ๊กหม้อเดียวกันไปเลย ให้ทุกคนฟาดฟันกันให้โกลาหลไปเลยยิ่งดี” หลินหลันจงใจกล่าวอย่างไร้ความกังวล
หลี่หมิงอวินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้ามิเกรงกลัวพวกนางจะร่วมมือกันเพื่อต่อกรเจ้าหรอกหรือ”
หลินหลันเลิกคิว “นี่มันก็มีความเป็นไปได้ แต่ว่าข้าไม่กลัวหรอก ขอเพียงพวกนางเข้ามากระตุกหนวดข้า ข้าก็จะทำให้พวกนางเละเป็นโจ๊กรวมไปอยู่หม้อเดียวกันซะเลย”
หลี่หมิงอวินจ้องมองหลินหลันด้วยความสงสัย “เจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
หลินหลันยักไหล่ ก่อนจะยิ้มอย่างดูถูกตนเอง “ข้าก็แค่ให้กำลังใจตัวเองหน่อยมิได้หรือ นี่มันเรียกว่าจิตวิญญาณอาคิว [1] ยังไงล่ะ”
หลี่หมิงอวินฟังไม่เข้าใจ “จิตวิญญาณอะไรนะ”
หลินหลันแลบลิ้นทะเล้น “รีบไปกันเถอะ! ลมพัดหนาวจะตายอยู่แล้ว”
ในที่สุดหญิงชราก็ได้อยู่อย่างสงบเสียที ภายในห้องหลงเหลือเพียงหลี่จิ้งเสียนบุตรชายของนางเท่านั้น
“เจ้าก็อย่าได้กล่าวโทษชิวเยว่ไปเลย นางมีความลำบากของนาง หากมิใช่จนปัญญาจริงๆ ก็คงไม่เชิญข้าหญิงชราแก่ๆ ออกมาจากหลังเขาหรอก” หญิงชรากล่าว
หลี่จิ้งเสียนยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าอกและยืนตรง “ลูกเพียงตำหนินางที่ไม่ปรึกษาหารือกับลูกเสียก่อน ไม่ว่าจะเรื่องอันใดก็ชอบทำเองโดยพลการ”
หญิงชรามองไปยังเขา “เจ้ายังมีหน้ามาว่านาง ตัวเจ้าเองทำดีแล้วหรือ แม้ว่าหมิงเจ๋อจะไม่เก่งกาจขนาดหมิงอวิน แต่เจ้าก็ต้องคิดบ้างว่าหมิงเจ๋อเขาน้อยอกน้อยใจเพียงใด หากเขาเสมือนหมิงอวินที่ได้มีพ่อแม่เคียงข้างตั้งแต่เด็ก มีครอบครัวที่เป็นครอบครัว เขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าหมิงอวินหรอก เราคนเป็นพ่อเป็นแม่จะมีจิตใจลำเอียงไปบ้างก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ นิ้วมือทั้งสิบยังสั้นยาวไม่เท่ากัน ทว่าเรื่องลำเอียงก็ทำได้แค่ในใจเท่านั้น อย่าได้เผยออกทางสีหน้า แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกัน จนทำร้ายหัวใจของเด็กคนหนึ่ง จะพาลให้พี่น้องเกิดความบาดหมางกันเปล่าๆ …”
หลี่จิ้งเสียนได้แต่แอบกัดฟันเมื่อได้ฟังเช่นนั้น นางฮานคงเล่าและใส่ร้ายป้ายสีเขาต่อผู้เป็นแม่ไปไม่น้อยสินะ! เขายอมรับว่าเขาติดค้างหมิงเจ๋อ ทว่าเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยมาโดยตลอด กระทั่งเรื่องสอบตกในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไรมากจนเกินไป หากจะบอกว่าขาดทุน แล้วที่หมิงอวินต้องขาดทุนไปถือว่าน้อยๆ งั้นหรือ หมิงอวินเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ
“เจ้าอย่าได้แสดงทีท่าไม่พึงพอใจไปเลย ทุกวันนี้หมิงอวินเด็กคนนี้โดดเด่นมีหน้ามีตาแล้ว เจ้ายิ่งควรให้คำสั่งสอนชี้แนะให้ดีๆ อย่าให้ภูมิใจในตนเองจนเย่อหยิ่งและไม่สนใจผู้หลักผู้ใหญ่ แม่เลี้ยงก็เป็นแม่เช่นกัน ไม่เคารพก็เท่ากับอกตัญญู หากเขาให้ความเคารพชิวเยว่สักหน่อย ชิวเยว่ยังจะทำให้เขาลำบากใจอยู่หรือ” หญิงชรากล่าวอบรมสั่งสอน
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกถึงความอึดอัดคับข้องใจ จึงกล่าวออกไปตามตรง “ท่านแม่เพิ่งได้ฟังความเพียงข้างเดียว นับแต่หมิงอวินกลับมาเมืองหลวง ก็ไม่เคยแสดงออกอย่างไม่ให้ความเคารพชิวเยว่เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นชิวเยว่ต่างหากที่แอบวางแผนเล่นงานเขาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน จนเกือบพรากชีวิตของหมิงอวินไป”
หญิงชราเผยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะสงบนิ่งดังเดิม “ที่เจ้าพูดมานี้ มีหลักฐานหรือ”
หลี่จิ้งเสียนกล่าว “เรื่องเน่าเฟะในบ้านจะแพร่งพรายออกไปมิได้ มีหรือลูกจะกล้าตรวจสอบหาหลักฐานให้เป็นการประโคมข่าวไปเปล่าๆ ทว่าเรื่องราวก็ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว ลูกจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมหมิงอวินให้อดทนเอาไว้หน่อย”
หญิงชราพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนัยน์ตาที่หรี่ลง คล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เนิ่นนานถึงจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อบุตรชายบุตรสาว หรือการปฏิบัติต่อภรรยาและนางบำเรอ เจ้าต้องทำให้เท่าเทียมกัน เมื่อในใจคนเรามีความเท่าเทียมกันแล้ว แน่นอนว่าความสงบสุขก็จะตามมา เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ความไม่ทัดเทียมกับเป็นต้นตอแห่งความพิบัติทั้งหมด เจ้าได้กระทำผิดต่อชิวเยว่ไปแล้วหนึ่งหน จึงไม่ควรกระทำเรื่องโง่เขลาอย่างการยกยออนุภรรยาให้ดีกว่าเมียตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง”
หลี่จิ้งเสียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ ช่วงนี้เป็นเพราะในใจมีความโกรธแค้นต่อนางฮาน จึงไปยังห้องของนางฮานน้อยครั้งมาก “จริงอย่างที่ท่านแม่สั่งสอนขอรับ ลูกจะจดจำไว้ขอรับ” เขากล่าวอย่างตื่นตัว
สีหน้าของหญิงชราผ่อนคลายลง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงใจ “ที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ตอนนี้เจ้ายศฐาสูงศักดิ์มีอำนาจใหญ่โต ต้นไม้ใหญ่ต้องดึงดูดสายลม บ้านหลังใหญ่ถึงจะสงบสุขร่มเย็นได้และเจ้าจะได้ไม่ต้องมัวภวังค์หลัง แม่ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นัก จึงจะอยู่ที่นี่เพียงช่วงระยะหนึ่งเพื่อช่วยเจ้าจัดกฎระเบียบให้เคร่งครัดแล้วกัน!”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ลูกน้อมรับด้วยความยินดีขอรับ ลูกหวังให้ท่านแม่มาอยู่ตั้งนานแล้วขอรับ”
หญิงชรายิ้มเล็กยิ้มน้อย และทันใดนั้นก็นึงถึงภรรยาของหมิงอวินขึ้นมาได้ ในใจจึงเกิดความคับข้องอยู่เล็กน้อย “ภรรยาของหมิงอวินข้ามองดูแล้วไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เจ้าในฐานะพ่อ เหตุใดถึงให้หมิงอวินแต่งงานกับสะใภ้แบบนี้ได้ ภูมิหลังไม่ดีมิว่า ความประพฤติกลับดูไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย”
หลี่จิ้งเสียนตกตะลึง “เหตุใดท่านแม่ถึงพูดเยี่ยงนี้ขอรับ”
หญิงชรากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “เจ้าหรือจะไม่เข้าใจ อย่าช่วยพวกเขากลบเกลื่อนเลย ข้าหญิงแก่ แม้จะอายุมาก สายตาใช้การได้ไม่ดีแล้ว ทว่าหูยังไม่หนวก จมูกยังไม่พัง กลิ่นสุราแรงขนาดนั้น ลำพังสาเกจิบเล็กๆ จะทำอะไรได้ขนาดนี้เชียวหรือ ข้าว่านางดื่มมากเสียยิ่งกว่าหมิงอวินซะอีก อีกทั้งมองดูสีหน้าอาการของหมิงอวิน เห็นได้ชัดว่ากำลังช่วยนางกลบเกลื่อน”
หลี่จิ้งเสียนไม่แสดงออกสีหน้าอาการใดๆ ด้วยเขาเองก็ไม่ได้สังเกตจริงๆ “ไม่กระมัง! หากนางดื่มขนาดนี้ จะไม่เมาหรือขอรับ ท่านแม่กังวลเกินไปแล้ว”
หญิงชราแสยะยิ้ม “คอยสังเกตการณ์และระมัดระวังเข้าไว้สิถึงเป็นการดี เรื่องอื่นข้าคงไม่พูดแล้ว นับแต่วันนี้ไป ในบ้านหลังนี้หากใครไม่เคารพกฎระเบียบ ข้าจะไม่ไว้หน้า รวมถึงอนุภรรยาของเจ้าผู้นั้นด้วย”
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเสียวสันหลัง อีกประเดี๋ยวคงต้องไปเตือนหลิวอี๋เหนียงสักหน่อย เพื่อจะได้ระมัดระวังเข้าไว้ อย่าทำให้หญิงชราเอาผิดใดๆ ได้ถึงจะเป็นการดี
——