ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 116 ความเป็นชายที่ถูกปลุก
ด้วยท่าทางซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างมากและยังทำให้คนทั้งคนรู้สึกเขินอายมากด้วยเช่นกัน พอมองดูไปแล้ว นางช่างไม่ต่างไปจากหมาป่าผู้หิวโหยที่กำลังตะครุบชายหนุ่มผู้อ่อนโยนผู้แสนหล่อเหลาซึ่งเป็นเสมือนแกะตัวหนึ่งให้อยู่ใต้ร่างของตน
ดวงตาคู่ลึกล้ำจ้องมองนางด้วยความอ่อนโยน ภายใต้แสงไฟสีนวลอ่อนของโคมไฟที่กำลังส่องสว่าง คลื่นอารมณ์ความรู้สึกแห่งความรักใคร่กำลังเคลื่อนตัวประดุจสายน้ำที่ไหลเชี่ยวในลำธารช่วงฤดูใบไม้ผลิ
การหันหน้าเข้าหาเจ้าของใบหน้าอันแสนหล่อเหลาและยังมีดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งเช่นนี้ ส่งผลให้หลินหลันรู้สึกเพียงหัวใจดวงน้อยกำลังเต้นระรั่วอย่างหนักราวกับเหยื่อหุ้มหายใจจะฉีกขาด หลังจากนั้นนางก็รู้สึกถึงของแข็งบางอย่างที่นูนขึ้นมาสัมผัสบริเวณท้องน้อยของตน
แม้จะไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง ทว่าก็พอจะเคยได้ยินและเข้าใจอยู่บ้าง หลินหลันถึงกับรู้สึกตะลึงงันขึ้นมาทันที ภายใต้ท่าทางเช่นนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ยังอันตรายมากเสียด้วยสิ นางจึงพลิกตัวหนีอย่างว่องไว
นางรู้สึกคล้ายกับโลกทั้งใบกำลังหมุน ก่อนนางจะพลิกตัวลงจากเรือนร่างของเขาและทันใดนั้นใครบางคนกลับเป็นฝ่ายทาบทับบนเรือนร่างของนางในท่าทางเดียวกันกับเมื่อครู่ เพียงแต่สลับมุมกันโดยนางกลายเป็นเจ้าแกะที่กำลังจะโดนเขมือบ
หลินหลันเริ่มรู้สึกเกร็งไปทั่วทั้งเรือนราง ฝ่ามือคู่เล็กของนางเริ่มสะเปะสะปะด้วยความพยายามดันเขาออกห่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางสติกระเจิงจนไร้เรียวแรง หรือเป็นเขาที่ดันกลายเป็นเทพผู้พิทักษ์อันน่าเกรงขามและทรงพลังกันแน่ถึงไม่สามารถทำให้เขาขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย สองฝ่ามือใหญ่อันแข็งแกร่งกอบกุมข้อมือเรียวเล็กของนาง ตราตรึงมันอยู่บนเตียงในระดับข้างใบหูทั้งสองข้าง ตามมาด้วยดวงตาคู่ลึกล้ำชวนหลงใหลที่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และในชั่วพริบตาจุมพิษอันร้อนผ่าวก็จรดลงบนหน้าผากมนของนาง ทุกครั้งที่ผ่านมาจุมพิษเช่นนี้ให้สัมผัสบางเบาประดุจแมลงปอเดินบนผิวน้ำ ทว่าครั้งนี้เจ้าแมงปอตัวนี้กลับไม่เต็มใจที่จะเดินไปจากพื้นผิวน้ำนี้เสียแล้ว ขณะนี้เองกลีบปากอุ่นของเขาไล้ลงมาตามสันจมูกเล็กได้รูปของนางโดยค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยจนท้ายที่สุดจรดลงบนเรียวปากบางของนาง
กลีบปากแสนนุ่มของนางเป็นเสมือนกลีบดอกท้อแรกแย้มบานพร้อมหยาดน้ำค้างในเดือนสาม ทำให้เขาไม่อาจอดกลั้นความต้องการรุกล้ำเข้าไปในโพรงปากเพื่อลิ้มรสอย่างละเอียด เขาอยากทำเช่นนี้มาเนิ่นนานมากแล้ว เพียงแต่ต้องทนทุกข์เนื่องด้วยไม่มีโอกาส โอกาสซึ่งเป็นไปอย่างธรรมชาติ และมันก็คงเป็นเวลานี้สินะ เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะดำเนินมันต่อไป ทันใดนั้นเขาก็ส่งมอบสัมผัสอันอบอุ่นลงบนริมฝีปากนางอย่างละเมียดละไมด้วยปลายลิ้นและพยายามส่งมันรุกล้ำหวังให้นางเผยอกลีบปากด้วยอยากลิ้มรสให้มากยิ่งขึ้น
การเผชิญหน้ากับจุมพิษเร้าร้อนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ส่งผลให้สมองของหลินหลันเตลิดเปิดเปิงไปชั่วขณะ นี่เป็นจูบแรกในสองชั่วชีวิตของนางเชียวนะ บทจะสูญเสียไปก็สูญเสียไปง่ายๆ เลยหรือ…
จูบของเขาแม้จะเป็นการกระทำอย่างมัดมือชก ทว่ายังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวลอ่อนโยนและละเมียดละไม ปลายลิ้นที่เคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญคอยหยอกล้อบนริมฝีปากบางของนางไม่หยุดหย่อน กระทั่งสามารถฉกฉวยช่องว่างขนาดเล็กและแล้วการไล่ล่าก็เริ่มต้นขึ้น นางหลีกหนีอย่างยากลำบาก ทุกครั้งที่นางล่นถอยหนึ่งก้าวเขาจะเข้าไปเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะหลบหลีกไปแห่งหนใดล้วนถูกเขาตามจับได้อยู่ดี หลังจากนั้นก็ครอบครองมันอย่างดื่มด่ำ…
จูบของเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบพรากลมหายใจทั้งหมดในร่างกายของนางออกไป ลมหายใจของเขาหนักแน่นยิ่งขึ้นเสมือนต้องกายแผดเผานางทั้งคน หลินหลันอยากจะขัดขืน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปสงสัยว่านางคงได้ขาดอากาศหายใจตายเป็นแน่ ทว่าด้วยร่างกายที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของเขา สองมือถูกตราตรึงไว้อย่างหนาแน่น อีกทั้งริมฝีปากยังถูกเขาฉกฉวยอย่างเอาจริงเอาจัง หลินหลันจึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ขัดขืนอย่างลูกแมวเหมียว
“หลันเอ๋อร์…” เขาคลอเคลียอยู่บนกลีบปากของนางขณะเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอันแสนอบอุ่นและสง่างาม ภายใต้น้ำเสียงทุ้มต่ำเผยความปรารถนาอันแรงกล้าที่กำลังปะทุ
“ปล่อย…ปล่อยข้านะ…” หลินหลันอ้อนวอนด้วยเสียงบางเบา และอาจเป็นเพราะการขาดอากาศหายใจ ส่งผลให้สมองของนางสับสนเล็กน้อย คล้ายกับกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ทว่าทั้งเรือนร่างกลับร้อนระอุจนยากจะอดทนไหวเสมือนเปลวไฟกำลังเผาไหม้ ความรู้สึกนึกคิดและร่างกายมันช่างขัดแย้งต่อกันอย่างสิ้นเชิง และด้วยความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางสูญเสียการควบคุม
เขาจรดจุมพิษลงบนหน้าผากมนของนางครั้งแล้วครั้งเล่า และกล่าวกระซิบคล้ายกับคำอ้อนวอน “หลันเอ๋อร์…ข้าต้องการเจ้า…”
“ไม่ได้…”
“เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ…”
“ข้า…ข้ายังไม่พร้อม…”
“เจ้ายังไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพร้อมหรือไม่”
เขาหันเหไปหยอกล้อใบหูเล็กของนางโดยการขบเม้ม กัดอย่างเบาๆ และพ่นลมหายใจร้อนผ่าวลงข้างใบหู “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าหนีอีกแล้ว…”
หลินหลันเป็นคนบ้าจี้มาแต่ไหนแต่ไร การถูกเขาโจมตีจุดอ่อนเช่นนี้ ราวกับจุดชนวนไฟในร่างกายของนางให้ไหลเวียนไปทั่วเรือนร่างจนรู้สึกชาไปทั้งตัว และไม่อาจอยู่เป็นสุขภายใต้เรือนร่างของเขาได้อีกต่อไป นางร้องฮื้อๆ และกล่าวออกไป “ใครใช้ให้เจ้ารังเกียจบางอย่างในตัวข้าล่ะ…”
เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ และขบเม้มไปที่ติ่งหูน้อยๆ ของนางอย่างเบาๆ คล้ายกับการลงโทษ “ข้ารักเกียจบางอย่างในตัวเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ” เจ้าสาวน้อยผู้นี้จะเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรขนาดนี้เชียว?
“เจ้ารังเกียจข้า ก็เจ้านั่นแหละที่รังเกียจข้า…” หลินหลันหลีกหนีเขาที่กำลังไล่ขบเม้มเป็นว่าเล่น โดยการส่ายหน้าไปมาพัลวัล
“งั้น…คงต้องให้ข้าเชยชมแล้วล่ะ” เขาเผยอปากก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้าไปซุกซนในใบหูชั้นนอกของนาง ขณะเดียวกันมือหนึ่งข้างของเขาก็สอดแทรกเข้าไปใต้ชุดของนาง ก่อนจะสัมผัสหน้าอกเล็กอันบอบบางของนางอย่างรวดเร็วและแม่นยำ จากการได้กอบกุมจึงสัมผัสได้ว่ามันมีขนาดที่กำลังพอดีมือทีเดียวเชียว
การสัมผัสต่อหน้าต่อตากันเช่นนี้ทำให้หลินหลันพยายามดีดดิ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง เมื่อมือข้างหนึ่งของตนเองเป็นอิสระจึงออกแรงปัดป้องมือของเขา
“เจ้าปล่อยข้านะ ไม่งั้นข้าจะโกรธแล้ว…” เจ้าทึ่ม กล้ารุกล้ำจุดอ่อนที่ทำให้นางรู้สึกด้อยค่าที่สุด
ฝ่ามือของผู้ร้ายไม่เพียงแต่ไม่ถอดถอนออกมา แต่กลับลูบไล้ผ่านหน้าท้องและขึ้นไปกอบกุมมันเอาไว้ ด้วยสัมผัสที่แนบชิดและความเนียนนุ่มนั่นทำให้เขาเดิมทีที่เลือดไหลเวียนจนแทบจะปะทุออกมาให้ได้ ในเวลานี้กลับเกินกว่าจะต้านทานไหวเสียแล้ว
หลินหลันกลับเดือดดาลจนร้องหงิงๆ ออกมา “เจ้ามันนิสัยไม่ดี อย่าแตะต้องข้านะ…”
หลี่หมิงอวินตระหนักขึ้นมาได้กะทันหัน ทั้งหมดทั้งมวลที่นางขัดขืน เป็นเพราะเหตุผลนี้หรอกหรือ เขาจึงกล่าวปลอบประโลม “เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ข้ามันสายตาไม่ได้เรื่อง อันที่จริง…อันที่จริงเจ้า…เจ้าเยี่ยมยอดเลยต่างหาก จริงๆ นะ…”
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าพูดโกหก…” หลินหลันพยายามดึงมือของผู้ร้ายอย่างเขาออกมา
“หลันเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า และรักทั้งหมดที่เป็นเจ้า อย่าว่าแต่เจ้าที่มีเช่นนี้ ต่อให้เจ้าไม่มีเลยจริงๆ ข้าก็รักเจ้า อย่าปฏิเสธข้าอีกเลย การอดกลั้นของข้าและเจ้ามันทรมานอย่างมากนะรู้ไหม…” น้ำเสียงของเขาพร่าเบาลงอย่างเห็นได้ชัดเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันทรมานมากจริงๆ เขาบดเบียนเรือนร่างลงบนร่างกายของนางด้วยแรงปรารถนาของเขาที่คับแน่น ฝ่ามือคู่แกร่งไม่ยอมลดละความพยายามอย่างง่ายดาย เขาใช้ปลายนิ้วสะกิดลงไปที่ยอดปทุมบนเนินอกนุ่มเป็นอันดับแรกและรู้สึกได้ว่ามันชูช่อขึ้นมาทันใด จึงเริ่มฟอนเฟ้นอย่างเบามือและค่อยๆ หนักขึ้น
หลินหลันเคยแอบดูหนังประเภทที่ว่า ทว่าที่เคยดูกับการลงสนามจริงมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ในขณะนี้นางรู้สึกราวกับว่ามีมดนับร้อยตัวคืบคลานอยู่ในร่างกาย และเสมือนมีคลื่นไฟฟ้าแล่นไปมาทั่วทังร่างทำให้นางอ่อนแรง ทั้งเขาและนางตกอยู่ในความทรมานอย่างมาก เขาด้วยวัยยี่สิบปีเข้าไปแล้ว และยังเป็นช่วงวัยที่ความต้องการพลุ่งพล่าน ทั้งเขาและนางต่างจริงใจต่อกัน ทว่านางยังคงรู้สึกหวาดกลัว ซึ่งไม่รู้เช่นกันว่าหวาดกลัวอะไรกันแน่ นางรักเขา รักในจูบของเขา สัมผัสของเขา ทั้งหมดนั้นนางไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย และแอบรักมันมากด้วยซ้ำ ทว่านางยังไม่กล้าพอ อาจเป็นเพราะชีวิตที่แล้วนางเห็นมานักต่อนักและฟังมานักต่อนักว่า เมื่อผู้ชายไล่ตามเจ้าเขาจะทำเพื่อเจ้าทุกวิถีทาง แต่แล้วทุกอย่างก็หายไปเมื่อเขาได้รับในสิ่งที่เขาต้องการ
การที่นางสติล่องลอยทำให้เขาเข้าใจไปว่าเป็นการยินยอมพร้อมใจ หลี่หมิงอวินรู้สึกสุขใจเหลือล้น เขามอบจุมพิษให้แก่นางบนริมฝีปากพลางปลดกระดุมเสื้อของนาง
กว่าหลินหลันจะรู้สึกตัว เสื้อของนางก็ถูกปลดพันธนาการเสียแล้ว เขากดจุมพิษบางเบาลงไปที่คางของนาง ไต่ลงมาตามลำคอ ไหปลาร้า และดำดิ่งลงมาจนถึงบริเวณหน้าอกอันเนียนนุ่ม
ความเสียวซ่านชนิดนี้มันรุนแรงเกินไป สำหรับหลินหลันที่ร่างกายไวต่อความรู้สึกกว่าผู้อื่น จึงเรียกได้ว่าเป็นความทรมานอันใหญ่หลวงก็ว่าได้ นางพยายามดันศีรษะของเขาสุดกำลัง ทว่าหน้าอกเล็กๆ กำลังถูกเขาครอบงำ ยิ่งนางดันเขา เขาก็ยิ่งหยอกเย้ากับมันรุนแรงขึ้น หลินหลันไม่สามารถหยุดยั้งเรือนร่างที่กำลั่งสั่นสะท้านด้วย ความเสียวสะท้านอันรุนแรงนี้คล้ายจะกดนางให้จมดิ่งลงจนขาดอากาศหายใจตาย
นางทั้งรู้สึกถึงการรอคอยและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง ด้วยเกิดหยินหลิ่วพวกนางอยู่ด้านนอก เพราะโครงสร้างห้องที่ทำจากไม้ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการเก็บเสียงดีนัก จึงทำได้เพียงอ้อนวอนเขาอย่างเบาๆ “หมิงอวิน อย่าทำแบบนี้ ข้า…ข้าทนไม่ไหวแล้ว…”
เขาขึ้นคันธนูบนสายเอ็นและง้างเต็มเหนี่ยวแล้วใยจะไม่ให้ยิงมันออกไปเล่า หากพลาดโอกาสนี้ไป ใครจะไปรู้ว่าโอกาสจะมาอีกเมื่อไหร่ ตอนนี้เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับได้เสียแล้ว นางจะไม่เคอะเขินอีกต่อไป หากพวกเขาเป็นสามีภรรยากันอย่างจริงๆ จังๆ ภายใต้หัวใจดวงเดียวกันและเรือนร่างหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันป
“หมิงอวิน…หมิงอวิน…ขอร้องเจ้าล่ะ…” นางอ้อนวอนเสียงกระเส้าราวกับลูกแมว
“อืม…หลันเอ๋อร์ ข้าต้องการเจ้า…” ทั้งปากและมือของเขายังคงซุกซนไม่เลิก สาบานจะต้องจับนางปลดเปลื้องให้หมดจดเสียเลย
‘ก่อก ก่อก ก่อก’ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย มื้อดึกทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ…” หรูอี้ตะโกนเข้ามาจากด้านนอก
หลี่หมิงอวินหยุดชะงักการเคลื่อนไหว ภายใต้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นี่มันไม่ต่างจากคนที่ถูกน้ำเย็ดสาดเข้าใส่ขณะที่กำลังถึงจุดแห่งความตื่นเต้น เขาอดตำหนิในใจไม่ได้ สาวใช้ที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ นี่ข้ากำลังกินมื้อดึกอยู่แล้วเจ้ายังมาส่งมื้อดึกให้เนี่ยนะ เขาลืมไปเสียสนิทว่าตนเองได้สั่งการให้หรูอี้ไปนำอาหารมาให้
หลินหลันถือโอกาสตอนที่เขากำลังชะงัก รีบพลักเขาออกแล้วกระชับเสื้อปิดเรือนร่าง และมือคู่น้อยๆ ของนางก็รีบจัดแต่งเสื้อผ้า หากถูกหรูอี้เห็นนางในสภาพเช่นนี้ นางคงไม่มีหน้าไปเจอผู้ใดอีก ขณะเดียวกันก็แบบรำพึงรำพันอย่างโล่งใจ หรูอี้ เจ้าช่างมาได้ทันการณ์เสียจริง
“เจ้ายังไม่รีบขานรับอีก?” หลินหลันจ้องเขาพลางกล่าวเร่งเร้า ใบหน้าของนางในขณะนี้แดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
หลี่หมิงอวินกัดฟันอย่างเสียอารมณ์ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ช่างนาง”
ท่าทีของเขาเช่นนี้ ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถูกแย่งถางหูลู่ไปจากมือ ทั้งหดหู่ใจและโกรธเคืองในเวลาเดียวกัน
หลินหลันถูกสายตาดุดันของเขาทำให้รู้สึกผวา นางถอยรนทันทีทันใดและกล่าวขึ้น “นางกำลังรออยู่ข้างนอกนะ”
เขาจ้องมองนางและทันใดนั้นก็กระโจนคร่อมตัวนางอีกครั้ง “ก็ปลอยให้นางรอไป…”
“ไม่ได้นะ นั่นจะทำให้นางหัวเราะเยาะเอาได้” หลินหลันออกแรงพลักเขา กว่าจะติดกระดุมได้มันไม่ง่ายเลยแต่แล้วก็ถูกเขาปลดเปลื้องมันออกอีกครั้งอย่างง่ายดาย หลินหลันหดหู่ใจเบาๆ การเคลื่อนไหวที่เชียวชาญขนาดนี้ของเขา ดูเหมือนจะคุ้นเคยในการปลดเปลื้องเสื้อผ้าผู้อื่นเป็นอย่างดี
“ใครกล้าหัวเราะเยาะ ข้าจะจัดการนางให้” หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างดุดัน เวลานี้เขาเตรียมใจจะฆ่าคนทั้งคนได้แล้วก็ว่าได้
หลินหลันเกรงกลัวจริงๆ ว่าจะยับยั้งเขาไว้ไม่อยู่ จึงได้แต่เอ่ยด้วยสีหน้าชวนสงสาร “แต่ว่าข้าหิวแล้วจริงๆ มื้อเย็นไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด…”
ขณะนี้เองหลี่หมิงอวินถึงได้สงบนิ่งลง มองดูท่าทางน่าสงสารของนาง ก่อนจะลูบคลำหน้าท้องที่แบนราบของนางจึงได้แต่กอดนางเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ได้ เขาซุกใบหน้าลงที่ลำคอรหงส์ของนางและเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “นี่ต้องการจะทรมานให้ข้าขาดใจตายเลยหรือ”
หลินหลันแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจและเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “ให้ข้าได้กินอะไรลองท้องสักหน่อยตกลงไหม”
หลี่หมิงอวินไตร่ตรองความหมายในความพูดดังกล่าว ทันใดนั้นก็กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่นางด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น “ตกลง งั้นรอเจ้ากินอิ่มแล้วเราค่อยมาต่อกัน”
หลินหลันถึงกับตะลึงงัน ยังจะต่อ?
หลี่หมิงอวินรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและจัดระเบียบเครื่องแต่งกายและผมเพร้าของตนเอง ก่อนจะหันไปมองหลินหลันที่ยังคงตกตะลึงอยู่ที่เดิม จึงกล่าวถามไถ่ “หรือว่า…จะต่อเลย?”
หลินหลันส่ายหน้าพัลวัล “ข้าต้องการกินข้าว” หลบหลีกไปก่อนสักชั่วโมงก็ยังดี ส่วนหลังกินเรียบร้อยแล้วค่อยคิดหาวิธีแล้วกัน
หรูอี้ที่กำลังถือมื้อดึกรออยู่ด้านนอกพักใหญ่ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เอ้อร์เส้าเหยียกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายทำอะไรกันอยู่นะถึงยังไม่เปิดประตู นางไม่รู้เลยว่าตนเองเพิ่งจะพังทลายความสุขของนายน้อยไปเสียแล้ว และนางน้อยก็เกือบโมโหจนระเบิดเป็นจุลแล้วด้วย