ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 117 สับสน
หลี่หมิงอวินหลังรับประทานมื้อดึกแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าเป็นคนแรก เขาเปลี่ยนไปอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวที่มีลักษณะเป็นสาบเสื้อแหลมและกางเกงขายาวสีขาวประดุจหิมะ สีหน้าอารมณ์แต่งแต้มไว้ด้วยความสุขล้น ราวกับคนที่กำลังลิ้มรสความสดชื่นในงานมงคล ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ซึ่งกำลังแสดงให้เห็นการรอคอย โดยมองไปยังหลินหลันที่ยังถือชามข้าวว่างเปล่าด้วยสองมือ และรอยยิ้มของเขานั้นก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น “กินอิ่มแล้วก็ไปอาบน้ำเถอะ”
นัยน์ตาและคำพูดของเขาล้วนแฝงนัยะไว้อย่างเด่นชัด หลินหลันถึงกับแก้มแดงระเรื่อขึ้นทันใด นางเรอออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อยอิ่ง “ข้ายังกินไม่อิ่มเลย”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะออกมา “มิใช่เจ้าเคยเอ่ยว่าการกินช่วงกลางดึกมากๆ จะอ้วนได้ง่าย”
เพื่อปลอบประโลมหัวใจของนางที่กำลังกระวนกระวาย หลี่หมิงอวินจึงเรียกหยินหลิ่วเข้ามาเก็บกวาดแล้วถือหนังสือออกไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวซึ่งเคยเป็นที่นอนประจำของเขานั่นเอง
เอ๋? คืนนี้เขาไม่นอนบนเตียงแล้วหรือ
หลินหลันหดหู่ใจ ชามถูกเก็บกวาดไปหมดแล้ว อันที่จริงเก็บไปแล้วก็ดีเหมือนกัน จะให้กินทั้งคืนก็คงเป็นไปไม่ได้ แบบนั้นคงได้อิ่มจนท้องแตกตายแน่ๆ และต่อให้รอดพ้นคืนนี้ไปได้ ก็ยังมีคืนพรุ่งนี้ แล้วยังมีคืนมะรืนนี้… จู่ๆ หลินหลันก็เกิดความกล้าหาญอันเด็ดเดี่ยว เอาเถอะ แต่งงานแล้วทั้งที ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้แย่ จะว่าไปแล้ว เป็นนางต่างหากที่ได้กำไรน่ะ ทว่า…ได้ยินมาว่าครั้งแรกมันจะเจ็บมาก…ความกล้าหาญที่เพิ่งถูกปลุกระดมขึ้นกลับอ่อนลงอีกครั้ง นางจึงค่อยๆ กระเถิบเข้าห้องน้ำไปและแช่อยู่ในนั้นอีกเนิ่นนาน ทางที่ดีที่สุดขอให้ตอนที่นางออกไปเขาหลับไปแล้ว แต่ว่านี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก นอกจากเขาดื่มจนเมากลับมา ทุกครั้งล้วนเป็นนางที่หลับไปก่อน
หลินหลันมองคนที่กำลังสะท้อนผ่านกระจกซึ่งกำลังมีใบหน้ากลัดกลุ้มอย่างรำคาญ “เจ้าชอบเขาหรือไม่”
คนในกระจกพยักหน้า
“พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันใช่ไหม”
คนในกระจกพยักหน้าอีกครั้ง
“เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ใช่ไหม”
คนในกระจกพยักหน้าอย่างจริงจัง
“งั้นเจ้ายังสับสนอะไรอีกล่ะ”
หลินหลันดูหมิ่น ยัยขี้ขลาด
เมื่อสร้างพลังใจเสร็จสิ้น หลินหลันจึงเดินออกจากห้องน้ำ เมื่อนางออกมาก็เห็นว่าหลี่หมิงอวินได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนเตียงนอนเสียแล้ว เมื่อเขาเห็นนางออกมาจึงทำทีเขยิบตัวเล็กน้อย หลินหลันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปแล้วค่อยๆ ขึ้นเตียงไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ท่อนแขนยาวของเขาโอบนางเข้ามาสู่อ้อมอก ตามมาด้วยสัมผัสจากลมหายใจของเขาที่รินรด มันบางเบาและให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างมาก ช่างเสมือนกับกลิ่นสมุนไพรหอมหลังฝนประปรายบนภูเขาหลังหมู่บ้านเจี้ยนซีอย่างไงอย่างงั้น ข้างใบหูของนางคือเสียงจังหวะหัวใจของเขาที่กำลังเต้นระรั่วราวกับกองขนาดย่อมกำลังบรรเลง เมื่อนึกไปถึงสิ่งเหล่านั้นที่เขากระทำต่อนางก่อนหน้านี้ หลินหลันก็รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง การกระตุ้นประสาทรับความรู้สึกอันรุนแรงเช่นนี้ นางจะรับไหวหรือไม่ ด้วยภาพเหตุการณ์มืออันอยู่ไม่สุขของหลี่หมิงอวินฉายซ้ำอีกครั้งนางจึงเผลอจับเสื้อของเขาภายใต้แก้มเนียนนุ่มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ และทำได้เพียงมุดหน้าลงไปหนักกว่าเดิม
การที่นางสามารถนอนอย่างว่านอนสอนง่ายในอ้อมแขนของเขา ทำให้หลี่หมิงอวินมีความสุขจนแทบคลั่ง เขาใช้มือหนึ่งลูบคลำแผ่นหลังของนางอย่างอ่อนโยนหวังปลอบประโลมให้นางผ่อนคลายจากร่างกายที่ประหม่าจนตัวแข่งทื่อ
“หมิงอวิน…” หลินหลันเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วกัดริมฝีปากล่างแสดงทีท่าราวกับอยากจะอ้อนวอนเขา แต่ก็ปริปากไม่ออกแต่อย่างใด
“หืม” เขาใช้คางถูไถ่ไปบนใจกลางศีรษะของนาง ขณะเดียวกันฝ่ามือหนาข้างหนึ่งก็เริ่มซุกซนเข้าไปใต้ชายเสื้อของนางตามด้วยลูบไล้ไปตามผิวอันเนียนนุ่ม และนั่นก็ตามให้เขายิ่งสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมแขนกำลังตัวเกร็งจนแข็งทื่อหนักกว่าเดิม
“หมิงอวิน…ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า” หลินหลันหาข้ออ้างไปเรื่อย ทั้งๆ ที่ในหัวสมองของนางตอนนี้มันเบาหวิวไปหมดแล้ว
เขาก้มหน้าลงและจรดจุมพิษลงบนกลีบปากนางอย่างเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมอันเต็มไปด้วยอารมณ์เสน่หา “ตอนนี้หยุดคิดเรื่องอื่นก่อนเถิด…”
ไม่ให้คิดเรื่องอื่นงั้นหรือ สติของนางเตลิดเปิดเปิงเกินไป การลดความฟุ้งซ่านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้
“ฮือๆ หมิงอวิน ข้าอยากนอนแล้ว…”
“อีกเดี๋ยวค่อยนอน”
“ข้าต้องตื่นแต่เช้านะ”
“ข้าไม่ทำให้เจ้าเหนื่อยเกินไปหรอก…”
“หมิงอวิน…เจ้าว่า ป้าสะใภ้ใหญ่พาอวี๋เหลียนมาเพื่อเหตุอันใดหรือ”
หลี่หมิงอวินประทับริมฝีปากลงบทปากของนาง ตามด้วยปลายลิ้นนุ่มที่ตวัดไปบนกลีบปากบางของนางและส่งมอบจูบอันละเมียดละไมเพื่อเป็นการจบบทคำพูดไร้สาระของนาง มือหนึ่งจับเอวคอดของนางเอาไว้ตามด้วยลูบไปหน้าท้องที่เนียนนุ่มนั่น บอบบางแต่เต็มไปด้วยความมีน้ำมีนวล เนียนนุ่มและมีความนุ่มนิ่มอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่อยากละมือออกมาจากบริเวณนั้นเลย เรือนร่างของนางไวต่อสัมผัสอย่างยิ่ง เขาจงใจที่จะปลุกเร้าอารมณ์นาง โดยการส่งปลายนิ้วมือไปเวียนวนอยู่รอบๆ ยอดปทุมบนเนิ่นอก สลับกับการฟอนเฟ้นอย่างเบามือ ส่งผลให้เรือนร่างของนางสั่นสะท้านเป็นชั่วขณะ ทว่า เขายังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ เขาอยากครอบงำมันให้เข้ามาอยู่ในปากของเขา ทันใดนั้น สัมผัสที่เขาส่งมอบให้ก็บีบคั้นให้นางส่งเสียงครางออกมาอย่างเบาๆ
“อาส์…หมิงอวิน ข้ารู้สึกทรมาน…”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มขณะลิ้มรสเจ้าลูกเชอร์รี่สีแดงสดขนาดจิ๋วบนยอดเนิ่นอก ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแสนอบอุ่น “ทรมานตรงไหนหรือ”
หลินหลันเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้าปวดท้อง”
หลี่หมิงอวินเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายให้เห็นถึงความตกใจเล็กน้อย “ไม่อนุญาตให้หาข้ออ้างอีกแล้ว”
หลินหลันมองไปที่เขาอย่างวิงวอนและจีบปากจีบคอเอ่ยออกไป “จริงๆ นะ”
หลี่หมิงอวินจึงยื่นฝ่ามือไปลูบหน้าท้องของนางและก็ได้รู้ว่าหน้าท้องที่เคยแบนราบกลับผ่องขึ้นมาเป็นลูกกลมๆ ก็ว่าได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มเล็กน้อย “กินมากเกินแล้วล่ะสิ”
หลินหลันนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกละอายใจ และทำเพียงส่งสายตาบ่องแบ๊วและกระพริบตาปริบๆ ราวกับลูกหมาตัวน้อยที่น่าสงสาร
หลี่หมิงอวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมพลิกตัวลงมาอยู่ข้างๆ นางแล้วกอดนางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลูบหน้าท้องให้แก่นาง
หลินหลันรู้สึกรำคาญตัวเองอย่างมาก นางได้แต่คุดคู้อยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก
ด้วยฝ่ามือของเขาอบอุ่นอย่างมาก ยิ่งลูบคล่ำก็ยิ่งให้ความรู้สึกสบายมากขึ้นและหน้าท้องที่เคยบวมเปล่งก็ค่อยๆ ลดลง
เขาไม่ได้เอ่ยถามว่านางดีขึ้นแล้วหรือไม่แต่อย่างใด ทำเพียงช่วยลูบท้องให้นางอย่างจดจ่อ ซึ่งนั่นทำให้หลินหลันยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก นางจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ข้าไม่ได้จงใจนะ”
ไม่ได้จงใจแล้วยังตะบี้ตะบันกินเข้าไปน่ะหรือ ผัดหมี่ใส่ไก่ชามใหญ่ทั้งชามแล้วยังเพิ่มไข่ดาวอีกสองฟอง ขนาดเขายังกินเข้าไปไม่ไหวเลย แต่นางกลับสามารถกินจนเกลี้ยงเกลา กระทั่งน้ำแกงยังไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว อย่างไรตาม หลี่หมิงอวินไม่มีอารมณ์จะไปสักไสร้ไล่เรียงว่าเป็นความจงใจของนางหรือไม่ เขาเพียงแค่กังวลว่าวันนี้ตนเองถูกขัดจังหวะไปถึงสองครา แล้วเขาจะยังสามารถรักษาความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้ได้ต่อไปหรือไม่ก็เท่านั้น
เมื่อเห็นเขาไม่พูดไม่จา หลินหลันจึงเอ่ยขึ้นมาครั้ง “ข้าเพียงแค่รู้สึกกลัวเล็กน้อย…”
มือของเขาหยุดชะงัก และเอ่ยถามด้วยเสียงนิ่งเรียบ “กลัว?”
หลินหลันเขยิบตัวเข้าแนบชิดภายใต้อ้อมอกของเขาอย่างเอาใจ หลังจากเงียบงันไปพักใหญ่ถึงกลั้นใจเอ่ยออกมา “กลัวเจ็บ…กลัวเจ้าไม่พึงพอใจ”
เมื่อหลี่หมิงอวินได้ฟังดังกล่าวจึงทั้งรู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกตลก โดยปกตินางไม่เคยหวาดกลัวเรื่องอันใด มีแต่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัว ทว่าตอนนี้กลับกังวลใจด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาไม่รู้สึกเติมเต็มและผิดหวัง ทันใดนั้นเขาก็เริ่มใจอ่อนลงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
หลินหลันพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
หลังจากนั้นเขาจึงปล่อยให้นางเป็นอิสระแล้วช่วยกระชับผ้าห่มให้แก่หลินหลัน ก่อนจะลูบศีรษะของนาง “ดึกมากแล้ว นอนกันเถอะ” นางไม่ได้พูดโกหก นางไวต่อความรู้สึกขนาดนั้น พอสัมผัสก็เป็นอันต้องสั่นสะท้าน เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป ทีละขั้นทีละตอน เพื่อให้นางค่อยๆ ทำความเคยชินแล้วกัน
บทจะนอนก็นอนง่ายๆ เลยจริงๆ หรือ หลินหลันรู้สึกประหลาดใจ แล้วเงยหน้ามองเขา
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดศีรษะของนางลง “นอนซะ”
ขนตายาวคู่นั้นราวกับขนแปรงสองด้ามที่กำลังปัดป่ายอยู่บนใบหน้าเขาซึ่งให้ความรู้สึกจักกะจี้ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่อาจทนได้กับสิ่งยั่วยวนแม้เพียงเล็กน้อย
เรือนร่างของเขาที่อุ่นๆ เสมือนกำลังกอดถุงร้อนขนาดใหญ่ ที่แท้ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บการนอนโดยมีใครอีกคนเคียงข้างนี่มันก็อบอุ่นไม่น้อยเลยทีเดียวแฮะ หลินหลันรำพึงรำพันในใจ
เมื่อบอกให้หลินหลันนอนนางก็นอนหลับสบายอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน ทว่าใครบางคนที่ว่านี้กลับมีจิตใจที่ร้อนรุ่ม และทั่วทั้งร่างคล้ายกำลังถูกเพลิงแผดเผา อารมณ์ที่ถูกจุดชนวนขึ้น ความต้องการซึ่งปราศจาที่ปลดปล่อย ไม่สิ มีที่ให้ปลดปล่อยแต่กลับไม่สามารถปลดปล่อยได้ต่างหากล่ะ ทั้งได้เห็น ได้สัมผัสแต่กลับมิได้ลิ้มรสอย่างสมอุรา มันทำให้เขาแทบคลั่ง
วันรุ่งขึ้น หลินหลันตื่นนอนพร้อมกับอารมณ์ที่สดชื่น สองแขนเรียวเล็กยืดออกจากผ้าห่มนวมก่อนจะทำท่าทางบิดขี้เกียจ ขณะที่หลี่หมิงอวินกลับมีสีหน้าอ่อนเพลีย และเห็นได้ชัดว่าขอบตาของเขามีสีคล้ำเล็กน้อย
“หมิงอวิน เจ้าไม่คงไม่คุ้นเคยกับการนอนด้วยกันสองคนแบบนี้ใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความใส่ใจ
หลี่หมิงอวินจ้องมองนาง “มิใช่ไม่คุ้นเคยการนอนด้วยกันสองคน แต่ไม่คุ้นเคยที่นอนด้วยกันสองคนทว่ากลับไม่ได้ทำอะไรกันต่างหาก”
ใบหน้าของหลินหลันเศร้าสร้อยลงเล็กน้อย “อ่อ…”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มซึ่งปะปนอารมณ์ขุนเคืองเล็กน้อย “เจ้าแค่อ่องั้นหรอ”
“เปล่า เอ่อ…ก็ใช่แหละ” หลินหลันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วลุกขึ้นนั่งคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส
หลี่หมิงอวินยิ่งคิดก็ยิ่งยอมไม่ได้ เขาใช้เพียงมือเดียวรั้งนางแล้วตราตรึงร่างบอบบางไว้ใต้เรือนร่างของเขา นี่คงจะเป็นมื้อเช้าที่ดีเหมือนกัน จะต้องเร่งทำให้นางคุ้นเคยกับการมีตัวตนของเขาให้ไวที่สุด
“เฮ้ เจ้าราศีหมูมิใช่เหรอ อย่าเที่ยวเอะอะก็มาคร่อมกันแบบนี้ได้ไหม” หลินหลันปัดป่ายมือเพื่อต่อต้าน
หลี่หมิงอวินหาได้สนใจท่าทีขัดขืนของนางไม่ ทั้งริมฝีปากและร้อนอุ่นโจมตีเข้าไปที่จุดไวต่อความรู้สึกบนหน้าอดของนาง
ทันใดนั้นหลินหลันได้แต่แสดงท่าทางยอมสิโรราบและบีบน้ำตา ตามด้วยการอ้อนวอน “หยุดเถิดนะ…ถ้ายังไม่ลุกล่ะก็ได้ไปกันสายแน่ๆ …”
หลี่หมิงอวินกลั้นเสียงหัวเราะ ซึ่งในขณะนี้เองที่นางกำลังว่านอนสอนง่าย เขาจึงจงใจแกล้งนางอีกครั้งด้วยการส่งมือซุกซนไปเรื่อย
นั่นทำให้หลินหลันตกใจขึ้นมาทันทีด้วยคิดว่าเขาต้องการจะเผด็จศึกนางแล้วจริงๆ ทว่านางต้องรีบตื่นนอนเพื่อไปฉิ่งอานหญิงชรานั่นนะ
“หมิงอวิน ไม่ได้จริงๆ …หรือไม่…ตอนกลางคืนล่ะกันนะ…” หลินหลันกล่าวทั้งใบหน้าที่แดงระเรื่อ
หลี่หมิงอวินใช้ปลายนิ้วสะกิดสันจมูกนาง ขณะเดียวกันก็พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิตเพื่อจงใจปั้นหน้าเย็นชาแล้วกล่าวออกไป “มิใช่ว่าเจ้ากลัวหรอกหรือ”
หลินหลันบ่นงึมงำ “กลัวไปก็เท่านั้นนี่…”
หลี่หมิงอวินลูบไล้ดวงหน้าเล็กๆ ของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย นี่มันเป็นเรื่องพึงปฏิบัติของคู่สามีภรรยา มิใช่การผูกมัดเจ้าลากเข้าสู่แดนประหารเสียหน่อย จะกลัวอะไรไป อีกอย่างข้ามิใช่เสือร้ายที่จะเขมือบคนทั้งคนเสียหน่อย ข้าเป็นสามีของเจ้า เอาล่ะ ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ”
การฉิ่งอานในช่วงเช้ากำหนดเวลาไว้ที่ตีห้าถึงเจ็ดโมง ซึ่งในช่วงเวลานี้ ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและหมิงอวินต้องออกไปทำงานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องเข้าร่วมธรรมเนียมฉิ่งอานในช่วงเช้าแต่อย่างใด
หลินหลันไปทางด้านแม่มดชราเป็นอันดับแรก และบังเอิญแอบได้ยินบทสนทาที่กำลังพูดคุยอยู่ด้านใน “เหล่าเหยียเอ็นดูเจ้า เจ้าก็ควรวางตัวให้พอดีเข้าไว้เช่นกัน อย่าไปเชื่อฟังอะไรเขาสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างวันนี้ก็เกือบจะไปทำงานสายเสียแล้ว หากให้เหล่าไท่ไทรับรู้เข้า จะมีแต่ลงโทษเจ้า…หาได้ตำหนิเหล่าเหยียไม่”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ…” น้ำเสียงของหลิวอี๋เหนียงไพเราะน่าฟังอย่างมาก
“ข้าก็แค่หวังดีต่อเจ้า ไม่ง่ายนักที่เหล่าเหยียจะถูกชะตาใครสักคน…นับตั้งแต่เดือนนี้ไป เหล่าเหยียจะไปหาเจ้าในช่วงครึ่งเดือนหลัง…ส่วนยานั่นอย่าลืมกินด้วยล่ะ…”
ชุนซิ่งที่เพิ่งออกมาและเห็นว่านายหญิงสะใภ้รองของบ้านกำลังยืนอยู่ด้านหน้าประตู นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเป็นอันดับแรกก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม “เหตุใดเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงไม่เข้าไปล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันมองดูมู่ลี่สีแดงสดที่ห้อยลงมาภายใต้สีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความลังเลใจ บ้านใหญ่กำลังสั่งสอนอนุภรรยา ซึ่งนางจึงต้องเตรียมใจสำหรับการรับลูกหลงของสภาพอารมณ์หงุดหงิดไปด้วย และการเข้าไปในช่วงเวลาแบบนี้ มิเท่ากับเป็นการหาเรื่องน่าเบื่อใส่ตัวหรอกหรือ อีกทั้งพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านก็ยังมาไม่ถึง
ชุนซิ่งเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าน้อยจะเข้าไปบอกกล่าวแทนเอ้อร์เส้าหน่ายนายให้นะเจ้าคะ”
ชุนซิ่งหายเข้าไปไม่ทันไร หลิวอี๋เหนียงก็เดินสวนออกมา วันนี้หลิวอี๋เหนียงสวมใส่ชุดกระโปรงสีนวลผ้าพิมพ์ลายดอกชบางดงาม ด้วยทรงชุดที่กระชับพอดีกับเรือนร่างจึงเผยให้เห็นรวดทรงองเอวของนางที่อวบอิ่มสมบูรณ์ การมีอายุที่เยาว์วัยนี่มันได้เปรียบอย่างมากเสียจริงเชียว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหน้าตาที่งดงามในระดับหนึ่ง ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่นจะหลงใหลได้ปลื้มนางถึงปานนั้น
เมื่อเห็นหลินหลัน หลิวอี๋เหนียงจึงโน้มตัวเคารพอย่างอ่อนน้อม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย”
หลินหลันส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้แก่นาง จะอย่างไรก็ช่าง คนที่สามารถทำให้แม่มดชราไม่สุขอุราได้ล้วนเป็นพันธมิตรทั้งสิ้น
หลิวอี๋เหนียงเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะเดินนวยนาดออกไป
ขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของหลิวอี๋เหนียง หลินหลันอดรู้สึกไม่ได้ว่าการเป็นอนุภรรยาที่ไม่ต่างจากนางบำเรอนี่มันน่าสงสารใช่ย่อย ระเบียบใดๆ ที่ควรยึดถือปฏิบัติก็ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด และอาจจะต้องเคร่งครัดมากกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำไป สวัสดิการจะมากจะน้อยก็ต้องขึ้นอยู่กับความรักใครเอ็นดูของนายท่าน แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะได้รับความรักจากนายท่านแต่ในใจของผู้เป็นนายหญิงก็ไม่สุขใจอย่างแน่นอน ความลำบากจึงรายล้อมอยู่ทุกหนแห่ง และเมื่อใดที่ไม่ได้ความรักใคร่จากนายท่าน นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นี่มันช่างเป็นบทบาที่น่าเศร้าเสียจริง