ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 120 ข่าวดี
หลินหลันเรียกเหวินซานเข้ามาหลังจากแม่โจวออกไป “ได้ความกระจ่างเรื่องร้านค้าทางด้านนั้นบ้างแล้วหรือยัง”
เหวินซานกล่าวตอบ “ข้าน้อยสอบถามจนได้ความกระจ่างมาแล้วขอรับ ในจำนวนร้านค้าสิบแปดห้องมีเจ็ดห้องที่ลงนามสัญญาระยะเวลาห้าปี ซึ่งจะหมดสัญญาในอีกสองปีข้างหน้านี้ขอรับ ส่วนอีกแปดห้องได้ลงนามต่อสัญญาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บ้างก็ต่อหนึ่งปี บ้างก็ต่อสองปี และมากสุดก็ต่ออีกห้าปีขอรับ อย่างเร็วที่สุดจะหมดสัญญาในเดือนห้าของปีหน้าขอรับ”
หลินหลันเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยขณะครุ่นคิด หากเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องรอจนถึงเดือนห้าของปีหน้าถึงสามารถทวงคืนกลับมาได้ การที่จะเปิดร้านขายยาเป็นของตนเอง ซึ่งทางตระกูลของตนก็มีห้องแถวร้านค้าอยู่แล้ว แม่มดชราจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยกให้
ดวงตาของเหวินซานเปล่งประกายโดยแฝงไว้ซึ่งความดีใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ มีเรื่องหนึ่งไม่รู้จะถือได้ว่าเป็นข่าวดีได้หรือไม่”
เจ้าเด็กหนุ่มนี่ เดี๋ยวนี้รู้จักพูดจามีลับลมคมในกับเขาแล้วสินะ หลินหลันทำท่าทีจริงจัง “เจ้าว่ามาสิ”
“ข้าน้อยแสร้งเอ่ยว่าอยากเช่าร้านค้า หลอกให้ผู้ดูแลร้านแห่งหนึ่งหยิบสัญญาเช่าออกมาดู ท่านลองเดาสิขอรับว่าผลเป็นอย่างไร ปรากฏว่าในนั้นแนบใบสัญญาตัวแทนผู้ให้เช่าไว้ด้วยหนึ่งใบ โดยหัวกระดาษระบุว่า หลี่หมิงอวินผู้เป็นเจ้าของมอบอำนาจให้ฮูหยินดูแลการเช่าร้านค้าขอรับ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย บนสัญญาร้านค้าเหล่านั้นเป็นชื่อของเส้าเหยียขอรับ” เหวินซานกล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลินหลันเกือบตบลงไปที่หน้าตักและร้องขึ้นมาว่ายอดเยี่ยมไปเลย นางเยี่ยอ่านางเยี่ย ในที่สุดเจ้าก็ทำเรื่องชาญฉลาดกับเขาบ้างเสียทีถึงได้รู้จักนำชื่อของหมิงอวินเขียนลงไปในห้องแถวพวกนั้น
“ร้านค้านี่เป็นของเอ้อร์เส้าเหยีย แล้วเอ้อร์เส้าเหยียรู้หรือไม่” หลินหลันสะกดอาการแห่งความตื่นเต้นดีใจที่กำลังปะทุ โดยการเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามเหวินซาน
เหวินซานครุ่นคิดชั่วขณะ “เรื่องนี้ข้าน้อยก็มิทราบขอรับ แต่เหมือนไม่เคยได้ยินเอ้อร์เส้าเหยียเอ่ยถึงเลยขอรับ” กระทั่งเอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านยังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน เขาเอ่ยขึ้นในใจ
เดิมทียังคิดจะนอนกลางวันสักประเดี๋ยว แต่เพราะเรื่องนี้ ทำให้สมองของหลินหลันตกอยู่ในอาการตื่นเต้นและดีใจอย่างสูงแล้วจะหลับลงไปได้อย่างไร ในเมื่อแม่มดชราเป็นแค่ผู้รับมอบอำนาจในการทำสัญญาเช่า เช่นนั้นค่าเช่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ต้องทวงคืนจากนางมาด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็อดเหนื่อยใจมิได้ กฎหมายในยุคสมัยนี้ไม่ได้แข็งแรงและครอบคลุมอะไรมากนัก ทันใดนั้นนางก็เด้งตัวลุกขึ้น แล้วเริ่มคำนวณรายรับที่แม่มดชรารับไว้แทนว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ อีกทั้งยังทำกฎระเบียบหลังการเก็บเงินจากร้านค้าทั้งหมดขึ้นมาอย่างครบถ้วนกระบวนการ
ดังนั้น ตอนที่หลี่หมิงอวินกลับมา หลินหลันกำลังเขียนไปคำนวณเงินไปอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ขณะเดียวกันปากของนางก็พร่ำอ่านตัวอักษรไปด้วย
หยินหลิ่วที่ต้องการส่งเสียงบอกกล่าว ทว่าหลี่หมิงอวินกลับโบกมือเป็นสัญญาให้นางออกไป หลังจากนั้นเขาก็เดินไปหยุดที่ด้านหลังของนางและมองดูว่านางกำลังเขียนอะไรกันแน่ถึงได้จดจ่อเสียขนาดนี้
เห็นเพียงกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวเลขยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบซึ่งเขามองดูแล้วไม่เข้าใจเลยสักนิด
“เจ้ากำลังเขียนอะไรหรือ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียงล่วงหน้า ส่งผลให้หลินหลันสะดุ้งโหยง นางจึงหันหน้าไปจ้องเขม็งใส่เขา “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วเหตุใดหยินหลิ่วถึงไม่บอกกล่าวข้าสักคำ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งกลับมา พอเห็นเจ้ากำลังเขียนอย่างใจจดจ่อเลยไม่ได้ให้ส่งเสียงบอกกล่าว”
หลินหลันหยิบโส่วหลู [1] บนหน้าตักของตนหยัดใส่มือเขา “อ่ะนี่ จะได้อุ่นๆ …”
หลี่หมิงอวินรับโส่วหลูมาไว้แต่กลับนำมันวางลงข้างๆ แล้วเอื้อมไปกอบกุมมือของนางเอาไว้
ฝ่ามือของเขาช่างอบอุ่น กลับเป็นนางที่มื้อไม้เย็นเฉียบเพราะนั่งคิดคำนวณมาครึ่งค่อนวัน เมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาห่อหุ้มเอาไว้ จึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสงบอย่างน่าประหลาด
เขาลูบฝ่ามือของนางเบาๆ พลางกล่าวอย่างตำหนิ “อยู่ในบ้านแท้ๆ ยังทำให้มือเย็นเฉียบขนาดนี้ได้อีก”
หลินหลันยิ้มเจื่อน “ข้าไม่หนาวหรอก”
เพราะในใจกำลังอบอุ่นสุดๆ เลยล่ะ!
หลี่หมิงอวินโอบหลินหลันเข้ามาในอ้อมแขนอย่างอ้อยอิ่งแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วันนี้ทำอะไรไปบ้างหรือ”
หลินหลันพิงกายเข้าหาแผงอกของเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงงู้งี้ “จะทำอะไรได้อีกนอกเสียจาก ไปฉิ่งอาน หลังจากนั้นก็ไปรักษาอาการนอนตกหมอนให้ป้าสะใภ้ใหญ่ อ่อ! ท่านลุงส่งบัตรเชิญมาให้ด้วย วันมะรืนนี้ต้าเปี่ยวเหม่ย [2] จะหมั้นหมาย จึงเรียนเชิญให้เราไปร่วมด้วย ข้าให้แม่โจวช่วยจัดเตรียมของขวัญแล้ว อ่อ! ใบรายการของขวัญอยู่นี่ เดี๋ยวเจ้าลองดูทีสิว่าเหมาะสมหรือไม่”
หลินหลันกำลังจะไปหยิบใบรายการของขวัญ ทว่าหลี่หมิงอวินกลับรั้งตัวนางเอาไว้ “ไม่จำเป็นหรอก เรื่องพวกนี้เจ้าตัดสินใจก็พอ”
“เจ้าดูหน่อยเถอะนะ! แม้ว่าข้าจะมีความสามารถมาก แต่เรื่องประเภทนี้ไม่เคยจัดการมาก่อนจึงขาดประสบการณ์ อีกอย่างน้องสาวมีใจให้กับพี่ชายอย่างเจ้าขนาดนี้! เจ้าก็ควรใส่ใจสักหน่อยว่าไหม…” หลินหลันเอ่ยอย่างถ่อมตนและมีดูจิตใจงามอย่างมาก
หลี่หมิงอวินจึงแสร้งทำทีสนอกสนใจขณะจ้องมองนาง “ได้สิ! งั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปถามเปี่ยวเหม่ยด้วยตนเองว่านางชอบอะไร”
หลินหลันขมวดคิ้วโดยมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย “นางชอบอะไรเจ้าก็มอบสิ่งนั้นให้เช่นนั้นหรือ”
เด็กสาวคนนี้ จงใจยั่วอารมณ์เขาชัดๆ! หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
เห็นเพียงดวงตากลมโตของนางกระพริบปริบๆ ซึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างมีนัยยะ “ข้ารับประกันเลยว่านางจะบอกว่านางชอบเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมห่อตัวเองเพื่อส่งไปให้นางแล้วกัน!”
หลี่หมิงอวินถึงได้รู้ว่าตนเองถูกหยอกเข้าอีกแล้ว อดไม่ได้ที่จะกัดฟันแน่นทำท่าทางดุดัน “ไว้คืนนี้ค่อยจัดการเจ้า”
หลินหลันพอจะเข้าใจได้ถึงความหมายอันลึกซึ้งในประโยคของเขา ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อ หลินหลันจึงเลือกเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างฉับไว “หมิงอวิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าบนสัญญาห้องแถวร้านค้าทั้งสิบแปดห้องเป็นชื่อของเจ้า”
หลี่หมิงอวินมีสีหน้างงงวย “ข้าไม่รู้ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือ”
“ข้าให้เหวินซานไปทำความเข้าใจอะไรนิดหน่อย เดิมทีคิดว่าการทวงคืนห้องแถวจำนวนมากขนาดนั้นกลับมาในคราเดียวคงเป็นการยาก แต่อย่างไรก็ต้องทวงคืนกลับมาให้ได้สักสามสี่ห้องก่อนก็ยังดี แต่ผลสุดท้ายกลับพบว่าห้องแถวเหล่านั้นเป็นของเจ้า ส่วนแม่มดชราเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินสัญญาเช่าห้องแถวก็เท่านั้น”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะกล่าวออกไป “พอเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนที่ข้าอายุสิบขวบกว่าๆ ท่านแม่เคยให้ข้าประทับตรานิ้วมือลงบนกระดาษจำนวนหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจว่ามันใช้ทำอะไร พอมาคิดดูแล้วน่าจะเป็นสัญญาเช่าห้องพวกนี้กระมัง ลองๆ คำนวณเวลาดูก็ใกล้เคียงทีเดียว”
แม่ยายตัวจริงนี่นะ! ก่อนจากโลกนี้ไปทำไมท่านไม่สั่งเสียไว้หน่อย! หรือท่านยังหวังว่าตระกูลหลี่ผู้เนรคุณ ตระกูลหลี่จอมหลอกลวงจะนำสัญญาคืนให้บุตรชายของตนเองโดยง่ายได้เช่นนั้นหรือ ท่านมีบุตรชายเพียงคนเดียวแท้ๆ ทว่าท่านพ่อหลี่ผู้หลอกลวงนั่นมิได้มีบุตรชายเพียงคนเดียวสักหน่อย หลินหลันอดตำหนิอยู่ภายในใจมิได้
สีหน้าของหลี่หมิงอวินค่อยๆ หงอยลง จนมองออกว่าสภาพจิตใจของเขามีความหม่นหมองอยู่เล็กน้อย
หลินหลันกล่าวปลอบใจ “อย่าคิดมากเลยนะ ไม่ว่าอย่างไร การได้รู้ว่าห้องแถวเหล่านี้เป็นของเจ้า เช่นนั้นอะไรๆ ก็ง่ายขึ้นแล้ว ข้าขอคิดหาวิธีทวงคืนสัญญาตัวแทนการเช่าของแม่มดชราให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเราค่อยหาวิธีอันเหมาะสมเพื่อทวงคืนห้องแถวกลับมาให้หมด” หลินหลันคิดว่าแม่มดชราเองก็คงกำลังคิดหาวิธีนำชื่อของตนเองลงไปยังทรัพย์สินเหล่านี้ด้วยแน่นอน มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วคงต้องถูกหมิงอวินทวงกลับคืนจนหมด ยิ่งกับแม่มดชราที่มากด้วยเล่ห์กลระดับนี้ จึงจำเป็นต้องรีบชิงลงมือเสียก่อนถึงจะเป็นการดี
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “อย่างไรก็ต้องทวงกลับคืนมาให้ได้” จะเสียเปรียบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่แม่มดชราผู้นี้
“ยังมีอีกเรื่องที่อยากปรึกษาเจ้า” หลินหลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มระรื่น
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้ว “ว่ามาสิ”
“ข้ากำลังคิดว่าเงินสองแสนเหลี่ยงที่ฝากไว้ในธนาคารปีๆ หนึ่งก็ให้เงินงอกเงยมาไม่เท่าไหร่ มิสู้เบิกออกมาส่วนหนึ่งแล้วนำไปลงทุนในส่วนอื่นจะดีกว่า”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความคิดอะไรขึ้นมาอีกแล้วหรือ”
“ก็เรื่องเมืองซานตงเขตตงอาที่ข้าเคยพูดกับเจ้าครั้งก่อน ปีหน้าข้าอยากส่งคนไปดูสักหน่อย หากได้เรื่องก็อยากสร้างแหล่งผลิตเออเจียวที่นั่น จำพวกสถานที่เก็บหนังลาเอย ที่สำหรับกระบวนการเคี่ยวอะไรพวกนี้ เราเริ่มเปิดตลาดในเมืองหลวงก่อน ทำให้มีชื่อเสียง และสามารถแย่งชิงสิทธิ์เข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการจากเต๋อเหรินถางมาได้ยิ่งดี แล้วหลังจากนั้นจะได้นำไปขายยังสถานที่ต่างๆ เท่านี้กิจการก็รุ่งเรืองเฟื่องฟู และถึงอย่างไรเราก็มีห้องแถวที่เมืองซูโจวและหางโจวอยู่แล้วด้วย” หลินหลันเอ่ยแผนการของนางด้วยความกระตือรือร้น
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อย โดยกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในผลสำเร็จของเรื่องนี้
“ทำไมต้องไปถึงเขตตงอาเท่านั้นด้วย ทางแถบเฮ๋อเป่ยก็เก็บหนังลาได้เช่นกันมิใช่หรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย มณฑลซานตงห่างออกไปไม่น้อย จะดูแลจัดการทั้งทีคงไม่สะดวกสบายเท่าไหร่นัก
หลินหลันจะเอ่ยว่าเพราะประสบการณ์จากชีวิตก่อนหน้าก็คงมิได้ จึงแต่งเรื่องขึ้นเพื่ออธิบาย “ข้าก็แค่ได้ยินท่านอาจารย์ของข้าเอ่ยน่ะ ท่านบอกว่าน้ำทางด้านนั้นเหมาะสมที่จะใช้เคี่ยวเออเจียวเป็นพิเศษ เคี่ยวออกมาจะได้ระดับความใสบริสุทธิ์สูงมาก และช่วยให้ประสิทธิผลของยาทำงานได้ดียิ่งขึ้น เต๋อเหรินถางเป็นร้านขายยาซึ่งมีอายุเป็นร้อยปีและมีชื่อเสียงเก่าแก หากสินค้าไม่ดีเลิศไปกว่าของพวกเขา ก็คงเป็นการยากที่จะเอาชนะพวกเขาได้”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก เจ้าชอบงั้นก็ไปทำมันเถอะ! ถึงอย่างไรเงินเหล่านั้นก็เป็นของเจ้าเช่นกัน ข้าแค่เกรงว่าเจ้าจะลำบากและเหนื่อยเกินไปเท่านั้นเอง” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ นับตั้งแต่ผ่านด่านนั้นมาได้ พอได้มองดูนางอีกครั้ง ในใจกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกแห่งการได้ครอบครองอย่างแท้จริง ไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใจใดๆ ภายในใจจึงเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงอย่างมาก
หลินหลันที่กำลังเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ลำบากหน่อยจะเป็นไรไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของชีวิตคนเราคือการไม่มีเป้าหมายต่างหากล่ะ เรามาพยายามไปด้วยกัน ไม่เพียงแค่รบรากับคนจิตใจต่ำทรามเหล่านั้น แต่ยังต้องใช้ชีวิตให้มีสีสันไปด้วย ทำให้พวกอีแอบที่อยู่ในมุมมืดเหล่านั้นน้ำตานองหน้าเป็นสายเลือดไปเลย!”
หลี่หมิงอวินโอบกอดนาง เมื่อได้ฟังน้ำเสียงนุ่มนวลของนางที่กำลังเต็มไปด้วยความมั่นใจและความกล้าหาญก็ทำให้เขาอดยิ้มขึ้นมามิได้ ขอเพียงได้อยู่ร่วมกับนาง ต่อให้ด้านนอกนั่นจะหนาวเหน็บไปถึงกระดูกดำเพียงใด ภายในใจก็ยังคงรู้สึกถึงความอบอุ่น
“ได้ เรามาพยายามไปด้วยกัน แล้วก็พยายามผลิตลูกสักโขยงหนึ่ง วันหน้าจะได้มีลูกหลานเต็มบ้านไว้คอยรายล้อมและเรียกเจ้าว่าท่านย่า พร้อมกับเรียกข้าว่าท่านปู่…” หลี่หมิงอวินโน้มเข้าไปงับใบหูของนาง และพร่ำกล่าวประโยคเหล่านั้นภายใต้รอยยิ้มกรุ่มกริ่มคลอเคลียอยู่ข้างใบหูของนาง
ด้วยความเคอะเขิน หลินหลันรีบขัดขืนจนหลุดออกมาจากอ้อมแขนของเขา “ได้เวลาไปเคารพท่านย่าแล้ว! ต้องปรนนิบัติแม่มดชราอีกแล้วสินะ ฮือๆ …ข้าเดาว่าวันนี้นางคงรู้ทันและตัดรายการอาหารที่นางไม่ชอบออกไปจนหมดเกลี้ยงแล้วล่ะ”
หลี่หมิงอวินลูบศีรษะนางอย่างเห็นใจและกล่าวปลอบประโลม “อดทนไว้หน่อยนะ! คงอีกไม่นานหรอก ไว้กลับมาข้าปรนนิบัติเจ้าระหว่างกินอาหาร ดีหรือไม่”
“ไม่ดี ข้ากลัวว่าข้าจะกินจนอิ่มเกินไปอีก” หลินหลันเอ่ยหน้าสลดพลางปัดมือของเขาออก จะลูบอะไรนักหนา ไม่ชอบเลยสักนิด นางรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ที่เขาชอบลูบๆ คลำๆ อยู่เรื่อย
หลี่หมิงอวินหัวเราะออกมา ก่อนจะมุ่งไปหยิบผ้าคลุมกันลมแล้วผูกไว้บนตัวนาง “ข้างนอกลมเริ่มแรงแล้ว”
ผ้าไหมสีน้ำเงินประดับด้วยขนหางสุนัขจิ้งจอกสีขาวรอบชายผืนผ้า ยิ่งขับให้ผิวของนางขาวผ่องประดุจหิมะ อีกทั้งบนพวงแก้มยังแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูเสมือนดอกท้ออันดูเป็นธรรมชาติ ดึงดูดให้ผู้พบเห็นเป็นอันต้องหลงใหล ท้ายที่สุดหลี่หมิงอวินก็อดประทับจูบลงไปที่พวงแก้มสีชมพูระเรื่อของนางมิได้ หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยเนื้อเสียงอันนุ่มนวล “เวลาเดินรู้สึกเจ็บรู้เปล่า”
หลินหลันชะงักไปชั่วขณะก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ทันใดนั้นใบหน้าที่เป็นสีชมพูระเรื่อก็ถูกแทนที่ด้วยสีแดงกล่ำ นางมองไปที่เขาด้วยความเขินอาย “แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าฉงน เขาจะไปรู้ได้อย่างไรกัน
หลินหลันไม่สนใจเขาอีกต่อไป รีบหันไปเปิดม่านบริเวณประตูแล้วเดินออกไป
หลี่หมิงอวินตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะรีบตามไปติดๆ พลางเอ่ยขึ้นในใจ เดินไวเสียขนาดนี้ คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง
บรรยากาศในโถงจาวฮุยวันนี้ออกจะแปลกประหลาดไปเล็กน้อย หญิงชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ฮานชิวเยว่ก็ดูสงบนิ่งไม่ต่างกัน ส่วนทางด้านป้าสะใภ้ใหญ่เอาแต่นิ่งเงียบ หลี่หมิงเจ๋อกำลังก้มหน้าเศร้าสลดโดยมีสภาพไม่ต่างไปจากมะเขือที่ถูกทุบจนเละ ส่วนติงหลั้วเหยียนกำลังก้มหน้าและเม้มริมฝีปากจนแน่นภายใต้สีหน้าหมองหม่น และพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมีดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
หลินหลันและหลี่หมิงอวินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ คงมิใช่ว่าหลี่หมิงเจ๋อทำอะไรโง่ๆ จนถูกสั่งสอนเข้าแล้วกระมัง
ทั้งสองก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าเพื่อคาราวะผู้อาวุโส หลังจากนั้นหญิงชราก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กำลังรอพวกเจ้าอยู่พอดี”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ด้วยอากาศหนาวเย็น จึงกลับเรือนไปสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นเลยมาช้าไปหน่อยขอรับ ขอท่านย่าโปรดอภัยด้วยขอรับ”
นัยน์ตาของหญิงชราอ่อนลงเล็กน้อย “อากาศหนาวเย็นแล้วก็สวมใส่เสื้อผ้าให้มันหนาๆ เข้าไว้หน่อย อย่าคิดว่าตนเองเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วจะร่างกายแข็งแรงเสมอไป”
หลี่หมิงอวินน้อมรับคำแนะนำด้วยใจจริง
ขณะนี้เองหญิงชราถึงได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ “นำอาหารขึ้นโต๊ะได้!”
——
[1] โส่วหลู (手炉) เตาอุ่นมือ ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าผลส้ม บ้างก็ทำเป็นแบบมีหูหิ้วหรือเป็นทรงธรรมดามีฝาปิด สามารถพกติดตัวได้ โดยบางคนก็ใช้ซุกใส่แขนเสื้อ ในช่วงฤดูหนาว
[2] ต้าเปี่ยวเหม่ย (大表妹) คำเรียกผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง (เพศหญิง) คนโต