ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 129 มีจุดมุ่งหมายอื่นแอบแฝง
วันนี้ด้วยนายหญิงน้อยต้องออกไปข้างนอก หยินหลิ่วและหรูอี้จึงติดตามไปคอยปรนนิบัติ ส่วนป๋ายฮุ่ยยังคงปฏิบัติเสมือนทุกๆ วัน โดยหลังจากจัดสรรงานภายในบ้านเสร็จสิ้นก็จะอยู่ในห้องเพื่อทำงานเย็บปักถักร้อย
ภายในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ส่งผ่านช่องไฟบนพื้นโดยความร้อนดังกล่าวมาจากเตาเผาภายนอกนั่นเอง วันนี้เป็นวันว่างของจิ่นซิ่ว นางจึงเข้ามาช่วยป๋ายฮุ่ยม้วนขนอูฐ
ผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มพิมพ์ลวดลายวงกลมนำมาเย็บเข้ากับขนอูฐที่คลี่ออกเป็นชั้นๆ ในระยะเท่าๆ กันอย่างประณีต
“พี่ป๋ายฮุ่ย สาวใช้ในบ้านเรานี้ก็มีเพียงเจ้าที่ฝีมือเยี่ยมยอดที่สุด” จิ่นซิ่วกล่าวปนอิจฉา
ป๋ายฮุ่ยคลี่ยิ้มออกมาแต่กลับเสมือนรอยยิ้มอันขมขื่น ฝีมือยอดเยี่ยมแล้วมีประโยชน์อันใด นางช่วยนายน้อยตัดเย็บเสื้อผ้า ทำรองเท้า ทำถุงเท้า ทุกๆ อย่างที่นายน้อยสวมใส่ สุดท้ายก็เอ่ยว่า…ขอบใจมากฮูหยิน!
แม้ว่านายหญิงน้อยจะเอ่ยว่า “ล้วนเป็นป๋ายฮุ่ยทำขึ้นทั้งนั้น จะขอบคุณข้าทำไมกัน”
ทว่าเอ้อร์เส้าเหยียก็ทำเพียงมองไปที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยรอยยิ้มและนัยน์ตาซึ่งเต็มไปด้วยความรักใคร่ ราวกับบนโลกใบนี้มีเพียงเอ้อร์เส้าหน่ายนายผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควรให้เขารักและทะนุถนอม… นางจึงค่อยๆ ปลีกตัวออกห่างอย่างเงียบๆ ซึ่งเส้าเหยียก็หาได้สนใจไม่
หลายปีก่อนกลับไม่ใช่เช่นนี้ ในตอนนั้นเอ้อร์เส้าเหยียเคยพูดว่า…ในบ้านหลังนี้ขอเพียงมีจื่อโม่และเจ้า ข้าก็วางใจแล้ว หัวใจของป๋ายฮุ่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาชั่วขณะเสมือนกับถูกเข็มทิ่มแทงไม่ยั้ง
“ข้าได้ยินว่า เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิในจวนเตรียมที่จะปล่อยสาวใช้ชุดหนึ่งที่อายุถึงวัยแล้วออกจากจวนหรือไม่ก็หาคู่ครองให้…” ด้วยเอาแต่ม้วนขนอูฐบนหัวเข่าที่ละช่ออย่างจดจ่อจิ่นซิ่วจึงไม่ทันสังเกตเห็นนัยน์ตาที่เคลือบไว้ด้วยความเจ็บปวดของป๋ายฮุ่ย
“จริงหรือ” ป๋ายฮุ่ยกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด นอกจากนั้นยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
“ข้าได้ยินชุ่ยเวยพูดตอนที่ประตูชั้นรองน่ะ ซึ่งชุ่ยเวยก็คงได้ยินมาจากชุ่ยจือพี่สาวของนางจึงน่าจะเป็นความจริง และนางยังพูดอีกว่าจะมีการปลดข้ารับใช้หญิงชราที่ทำงานไม่ดีกลุ่มหนึ่งออกไปด้วย”
ป๋ายฮุ่ยเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย ปีหน้านางก็อายุยี่สิบปีแล้ว อย่างนางซึ่งเป็นสาวใช้ประเภทที่ลงนามสัญญาจนกว่าจะถึงวันตาย คงได้เป็นบ่าวของตระกูลหลี่ไปชั่วชีวิตซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ถูกส่งกลับบ้านไปอย่างแน่นอน และนางเองก็ไร้บ้านให้กลับไปด้วยเช่นกัน เช่นนั้นอย่างมากคงได้ทางจวนช่วยจัดหาคู่ครองให้ ซึ่งคู่ครองที่ว่าก็หนีไม้พ้นข้ารับใช้วัยหนุ่มในบ้านอื่นหรือลูกจ้างในไร่สวน
“เช่นนั้นเท่ากับข้าคงได้อยู่อีกไม่นานแล้วสินะ” ป๋ายฮุ่ยเผยแววตาหดหู่
ขณะนี้เองจิ่นซิ่วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าป๋ายฮุ่ยอายุถึงวัยแล้ว “พี่ป๋ายฮุ่ยจะกังวลอันใดไป เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ทำให้พี่ป๋ายฮุ่ยขาดทุนแน่นอนอยู่แล้ว” นางกล่าวเชิงหยอกล้อ
แล้วอย่างไรถึงเรียกได้ว่าเป็นการไม่ทำให้ขาดทุนหรือ ในเมื่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายและเอ้อร์เส้าเหยียหวานปานน้ำผึ้งใส่กันเช่นนั้น ทั้งในสายตาและในหัวใจหาได้มีผู้อื่นไม่ นางยังเหลือทางเลือกอื่นใดอีกหรือ นับแต่นางเข้ามายังเรือนหลั้วเซี๋ยจายก็ไม่เคยคิดจากไปเลยแม้แต่วันเดียว นางมีความมั่นใจมาโดยตลอด เพราะฮูหยินเยี่ยเคยแอบเผยออกมาว่าในภายภาคหน้าจะให้นางเป็นสาวใช้ข้างห้อง เพราะเอ้อร์เส้าเหยียก็เคยปฏิบัติต่อนางอย่างแตกต่างออกไปจากผู้อื่น ทว่าหลังจากฮูหยินสิ้นชีพไปแล้วและมีเอ้อร์เส้าหน่ายนายเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว
“ข้าว่านะ พอพี่ป๋ายฮุ่ยทำเสื้อตัวนี้ให้เอ้อร์เส้าเหยียเรียบร้อยก็ควรตัดเย็บชุดแต่งงานไว้ให้ตนเองได้แล้วล่ะ” จิ่นซิ่วหัวเราะคิกคัก
ป๋ายฮุ่ยกล่าวเชิงตำหนิ “เจ้านี่มันทะเล้นจริงๆ เห็นข้าไม่ฉีกปากเจ้า ก็เลยกล้าพูดจาเลอะเทอะไปกันใหญ่สินะ”
จิ่นซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พูดจาเลอะเทอะอย่างไรหรือ ต้าเส้าเหยียยังให้พี่หลู่ฉีเป็นสาวใช้ข้างห้องเลย ในเรือนของพวกเรา นอกจากพี่ป๋ายฮุ่ยแล้วจะมีผู้ใดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอีกหรือ”
เรื่องก่อนหน้าไม่นานมานี้ที่หลู่ฉีเป็นสาวใช้ข้างห้อง นั่นเป็นต้าเส้าหน่ายนายที่เอ่ยเสนอออกมา ซึ่งอาจเพื่อมัดหัวใจของต้าเส้าเหยีย ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ภายในหัวใจของเอ้อร์เส้าเหยียก็เต็มไปด้วยเอ้อร์เส้าหน่ายนายอยู่แล้ว อีกอย่างในเมื่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายมีความตั้งใจให้เอ้อร์เส้าเหยียเลือกสาวใช้ข้างห้องสักคนก็คงไม่เลือกนางไปได้ มิใช่อวี้หลงก็คงเป็นหยินหลิ่ว ในเมื่อทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายพามาและได้ใจของเอ้อร์เส้าหน่ายนายมากที่สุด
ป๋ายฮุ่ยมีสีหน้านิ่งเฉยและกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ประโยคเช่นนี้อย่าได้พูดขึ้นมาอีก ระวังเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ยินเข้าแล้วจะไม่พอใจเอาได้ ผู้เป็นนายมีแบบแผนแม่บทเป็นของตนเอง ข้ารับใช้อย่างพวกเราไม่สามารถคิดไปถึงความนึกคิดของผู้เป็นนายได้”
จิ่นซิ่วแล่บลิ้นทะเล้น “ข้าก็แค่ไม่อยากให้พี่ป๋ายฮุ่ยจากไปไหนหนิ!”
ด้านนอกห้อง อวี้หลงที่ตั้งใจมายืมสิ่งของบางอย่างกลับหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบๆ คำพูดของป๋ายฮุ่ยมีน้ำหนักอย่างมาก ทว่าความนึกคิดของป๋ายฮุ่ย ในบ้านหลังนี้ ใครๆ ต่างก็รู้ดีแก่ใจ กระทั่งเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ยังรับรู้เช่นกัน! ปัญหานี้ไม่ใช่เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะรับปากหรือไม่ แต่เป็นเอ้อร์เส้าเหยียที่เดิมทีก็หาได้มีความนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ไม่ เอ้อร์เส้าเหยียไม่เคยเห็นป๋ายฮุ่ยในสายตาเลยด้วยซ้ำ เห็นทีว่าจำเป็นต้องเตือนเอ้อร์เส้าหน่ายนายไว้เสียหน่อย มิใช่สนใจแต่เรื่องทางร้านขายยาลูกเดียว จะอย่างไรคนในบ้านตนเองก็ควรควบคุมให้สงบเรียบร้อยถึงจะเป็นการดี
วันนี้หลี่หมิงอวินตั้งใจกลับมาจวนแต่หัววันด้วยอยากรู้ว่าวันนี้หลินหลันไปเจรจากับผู้จัดหาวัตถุดิบยาเป็นอย่างไรบ้าง ทว่าเมื่อกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย อวิ๋นอิงกลับเอ่ยว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังไม่กลับมา
หลี่หมิงอวินจึงคิดจะไปโรงเตี๊ยมจูอี้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายนัดหมายไว้ในช่วงมื้ออาหารกลางวัน จะมีเรื่องอันใดให้พูดคุยกันถึงเวลานี้ไปได้ขอรับ ข้าน้อยเกรงว่าคงไปจัดการเรื่องอื่นด้วยเสียแล้ว มิสู้เอ้อร์เส้าเหยียรออยู่ที่บ้านจะดีกว่า อีกเดี๋ยวเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็คงกลับมาแล้วล่ะขอรับ” ตงจึกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดและคิดว่าที่ตงจึพูดก็มีเหตุผล จึงกลับเข้าไปรอในบ้าน
ป๋ายฮุ่ยได้ยินว่านายน้อยกลับมาแล้วจึงเข้าไปคอยปรนนิบัติ แต่กลับเห็นอวี้หลงอยู่ปรนนิบัติก่อนหน้าแล้ว โดยนางกำลังช่วยเปลี่ยนชุดให้ ป๋ายฮุ่ยจึงกล่าวขึ้นทันที “อวี้หลง ให้ข้าจัดการเถอะ! เจ้าไปชงชาจะดีกว่า หลายวันมานี้เอ้อร์เส้าเหยียมีอาการร้อนใน เจ้าเปลี่ยนจากชาปี้หลัวชุนเป็นชาดอกเก็กฮวยแล้วกันนะ!” นางแทรกเข้าไปเบียดอวี้หลงออกอย่างแนบเนียนระหว่างเอ่ย นางเข้าไปช่วยปลดเข็มขัดของผู้เป็นนายและช่วยเขาถอดชุดขุนนางออก
อวี้หลงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย นางมองดูมือไม้อันคล่องแคล่วของป๋ายฮุ่ยที่ช่วยคลายชุดของผู้เป็นนาย ซึ่งส่งผลให้ภายในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อใดที่นายหญิงน้อยไม่อยู่ ป๋ายฮุ่ยก็จะวนเวียนมาอยู่ข้างกายนายน้อยเป็นคนแรกอยู่ร่ำไป
“รีบไปสิ!” ป๋ายฮุ่ยเห็นอวี้หลงตะลึงงันอยู่จึงกล่าวเร่งเร้าด้วยเสียงนุ่มนวล
อวี้หลงหลุบสายตาลงแล้วเดินออกไปทันที
ป๋ายฮุ่ยเผยรอยยิ้มอ่อนหวานหลังจากเห็นนางเดินออกไปแล้ว นางมุ่งไปหยิบชุดผ้าฝ่ายแล้วช่วยสวมใส่ให้แก่นายน้อยอย่างคล่องแคล่ว แล้วทาบมือลูบบนร่องรอยยับในทุกตำแหน่งบนเสื้ออย่างเบามือ
“เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ดูเหมือนผมของท่านจะยุ่งเล็กน้อยเจ้าค่ะ! ข้าน้อยช่วยเอ้อร์เส้าเหยียจัดแต่งทรงผมให้ใหม่นะเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ด้วยรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ดูเป็นการไม่เหมาะสม ซึ่งในแต่ละวันป๋ายฮุ่ยก็ละเอียดรอบครอบเช่นนี้อยู่แล้ว
จังหวะที่อวี้หลงยกน้ำชาเข้ามาก็เห็นว่าป๋ายฮุ่ยกำลังหวีผมให้นายน้อย ภายในใจจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง ผมเพร้าของเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็เรียบร้อยดีอยู่แล้ว เหตุใดต้องหวีผมด้วย อาจเพราะก่อนหน้าได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า พออวี้หลงมองดูป๋ายฮุ่ยอีกครา ไม่ว่านางทำอะไรนางก็จะรู้สึกว่าป๋ายฮุ่ยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ด้วย
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายออกไปเมื่อใดหรือ” หลี่หมิงอวินถือถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเข้าไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยถาม
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งออกไปตอนใกล้เที่ยงเจ้าค่ะ เดิมทีเอ่ยว่าต้องออกไปแต่เช้าหน่อย ทว่าดูเหมือนต้าเส้าหน่ายนายไม่ค่อยสบายจึงแวะไปดูหน่อยเจ้าค่ะ” ป๋ายฮุ่ยตอบพลางหวีผมไปด้วย
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว หลั้วเหยียนไม่สบายอีกแล้วหรือ ลำพังเดือนนี้ก็เชิญหลินหลันไปหาตั้งหลายครั้งหลายครา
“ได้บอกหรือไม่ว่าป่วยเป็นอันใด” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามเรื่อยเปื่อย
“เรื่องนี้…ข้าน้อยมิทราบเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่ได้เอ่ยถึงเลยเจ้าค่ะ” ป๋ายฮุ่ยรวบผมมวยสูงใจกลางศีรษะ ไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปแล้วผูกด้วยเชือกไหมสีน้ำเงินก่อนจะปักปิ่นหยกขาวลงไป ขนาดเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังเอ่ยว่าผมของเอ้อร์เส้าเหยียมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นที่มัดรวบได้อย่างงดงามที่สุด หากสามารถรวบผมให้เอ้อร์เส้าเหยียได้ทั่งชีวิตก็คงจะดีไม่น้อย ป๋ายฮุ่ยแอบรำพึงรำพันในใจ
“ข้าขออ่านตำราสักประเดี๋ยว พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ!” หลี่หมิงอวินวางถ้วยน้ำชาลง
ป๋ายฮุ่ยรีบไปหยิบตำราตัวอักษรที่นายน้อยนำติดตัวกลับมาด้วยแล้ววางลงบนโต๊ะหนังสืออย่างเบามือ หลังจากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “วันนี้ทางห้องครัวตุ๋นโจ๊กแปดธัญพืช ท่านต้องการกินรองท้องสักชามหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อถูกนางเอ่ยถามเช่นนี้ หลี่หมิงอวินกลับรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีทันใด วันนี้ตอนอยู่ในพระราชวังถึงจะโชคดีได้รับประทานอาหารร่วมกับฮ่องเต้ และประเภทอาหารก็มากมายหลากหลายอย่างยิ่งแต่นั่นก็เป็นแค่อาหารตาเสียมากกว่า ได้กินเข้าไปจริงๆ เพียงไม่เท่าไหร่
“ก็ดีเหมือนกัน!”
รอยยิ้มแห่งความสุขใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของป๋ายฮุ่ย “ข้าน้อยไปตักมาให้เอ้อร์เส้าเหยียเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
อวี้หลงมองดูนางออกไปอย่างมีความสุข ใบหน้าของนางจึงเคร่งขรึมขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ขณะนี้หลินหลันกำลังนั่งอยู่บนรถม้าเพื่อมุ่งหน้าเข้ากลับบ้าน เรื่องเจรจากับผู้จัดหาวัตถุดิบยาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ราคาที่ยุติธรรม และก็ไม่ได้ร้องขอราคาถูกเป็นพิเศษด้วยเหตุผลเพราะนางเป็นร้านที่เปิดใหม่แต่อย่างใด ประเด็นสำคัญคือนางต้องการวัตถุดิบยาจำพวนนั้นในปริมาณที่เพียงพอและรับประกันว่าจะส่งมาถึงตามระยะเวลาที่กำหนด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว งานชิ้นโตสามารถจัดการได้อย่างเรียบร้อยไปด้วยอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งเดิมทีนางควรกลับจวนไปตั้งนานแล้ว ทว่าตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูดันพบคนผู้หนึ่งเข้า ซึ่งก็คือหมอกระดิ่งวัยหนุ่มท่านนั้นที่พบเจอเมื่อครั้งก่อน และเห็นว่าผู้จัดหาวัตถุดิบยาเหล่านั้นล้วนแสดงทีท่าเกรงใจคนผู้นี้อย่างยิ่ง ได้ยินคนพวกนั้นเอ่ยเรียกออกมาหนึ่งคำพูดที่ว่านายน้อยฮว๋า นางจึงดึงคนผู้หนึ่งเข้ามาแอบถามไถ่แล้วก็ได้ความว่า เขาคือฮว๋าเหวินไป่ชายหนุ่มผู้ร่ำเรียนทักษะการแพทย์และมีพรสวรรค์ยิ่งของต้นตระกูลอันมีชื่อเสียงซึ่งเป็นเจ้าของร้านเต๋อเหรินถางนั่นเอง
ฮว๋าเหวินไป่ปรากฏตัวที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายอันใดนั้นหลินหลันก็พอจะคาดเดาได้ ในเมืองหลวงกำลังมีร้านขายยาเปิดขึ้นแห่งหนึ่งในเร็วๆ นี้ และยังอยู่ใกล้เต๋อเหรินถางอีกต่างหาก ในฐานะผู้สืบทอดแห่งเต๋อเหรินถางคงต้องมาให้ความสนใจสักหน่อย
ฮว๋าเหวินไป่มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง “ที่แท้น้องชายผู้แสนดีก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ลืมเอ่ยไปว่าหลินหลันในวันนี้แต่งตัวภายใต้รูปลักษณ์บุรุษผู้มาเจรจาในฐานะตัวแทนของนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่
“ใช่แล้วๆ ช่างบังเอิญเสียจริง!” หลินหลันหัวเราะก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกวิตกกังวล
ฮว๋าเหวินไป่กล่าว “นัดเจอกันหรือจะสู้บังเอิญเจอกัน เช่นนั้นเราไปดื่มด้วยกันสักหน่อยเถอะ!”
หลินหลันรู้ดีแก่ใจ เป็นเพราะฮว๋าเหวินไป่เห็นนางเดินออกมาพร้อมกับผู้จัดหาวัตถุดิบ จึงคิดจะซักถามข่าวคราวจากนางและนางเองก็มีความสนใจเกี่ยวเต๋อเหรินถางอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงให้เหล่าอู๋กลับไปก่อน แล้วให้หยินหลิ่วและคนอื่นๆ ไปรอนางที่ร้านค้าโดยให้เหลือไว้เพียงเหวินซานที่คอยติดตามนางไปด้วย
ทั้งสองเดินกันมายังร้านน้ำชาบริเวณใกล้เคียง เดิมทีอยากซักถามเกี่ยวกับข้อมูลของเออเจอแต่ก็เกิดเปลี่ยนใจ คาดไม่ถึงว่าทั้งสองยิ่งคุยกันก็ยิ่งรู้สึกถูกคอกันมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ทักษะทางการแพทย์ของนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ไปจนถึงโรคที่ยากต่อการรักษามากที่สุดในปัจจุบัน แต่ละคนเอ่ยเสนอวิธีการรักษาที่แตกต่างกันและกล่าวถึงข้อบกพร่องและข้อดีของมัน มันเนิ่นนานมากแล้วที่หลินหลันไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับคนในแวดวงเดียวกัน และยิ่งพูดคุยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสนใจมากขึ้นเท่านั้น เวลาสองชั่วโมงจึงผ่านไปในชั่วพริบตา และยังมีความสงสัยที่ยังคงไม่จบไม่สิ้น
“นายหญิงของตระกูลข้ายังรอให้ข้ากลับไปให้คำตอบ ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลินหลันเห็นว่าเริ่มเย็นมากแล้วจึงรีบกล่าวลา
วันนี้ฮว๋าเหวินไป่ก็รู้สึกสนุกสนามมากเช่นกัน เดิมทีคิดว่าลองมาเสี่ยงดวงดูสักหน่อยเพื่อจะได้เห็นสะใภ้รองตระกูลหลี่ในคำกล่าวขาน แต่คาดไม่ถึงว่าจะพบเข้ากับน้องชายในวันนั้นเข้าและได้คุยกันอย่างถูกปากถูกคอ เห็นทีว่าจะโชคดีไม่น้อยทีเดียวเชียว “เจ้ากับข้าพึ่งพบกันแต่ให้ความรู้สึกเสมือนกับสหายเก่าที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน หวังว่าไว้คราวหน้าจะได้พบเจอกันอีกและยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขกที่เต๋อเหรินถาง หากต้องการความช่วยเหลืออันใดก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ ในฐานะพี่ชาย พร้อมช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
ครั้งก่อนหลินหลันก็รู้สึกประทับใจในตัวฮว๋าเหวินไป่ไม่น้อย นางรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอย่างยิ่งผู้หนึ่ง และมีจิตใจที่เมตตาอย่างแท้จริง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อร้านยาของนางเปิดทำการแล้วคงต้องส่งผลกระทบต่อกิจการแห่งเต๋อเหรินถางอย่างแน่นอน และนางยังคิดจะแย่งสิทธิ์การส่งเออเจียวเข้าสู่เครื่องราชบรรณาการอีกด้วย ทั้งๆ ที่ว่ากันว่าสหายร่วมสายงานเดียวกันความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากศัตรู แต่เหตุใดเขาถึงดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยสักนิด
เห็นนางมีสีหน้าสับสน ฮว๋าเหวินไป่จึงกล่าวอย่างถึงไปตรงมาภายใต้รอยยิ้มจางๆ และนัยน์ตาซึ่งฉายให้เห็นถึงความสัจจริง “น้องหลินเฟิงเสียนอย่าได้สับสนไปเลย หากเป็นผู้ที่มีเพียงชื่อเสียงจอมปลอมมาเปิดร้านยาเพียงเพื่อหวังผลกำไร ข้าคงไม่สนใจอย่างแน่นอน ทว่าน้องเสียนแตกต่างออกไป เจ้ากับสะใภ้รองของตระกูลเจ้าล้วนมีความสามารถอย่างแท้จริง บนโลกนี้มีหมอดีๆ อย่างพวกเจ้าเพิ่มขึ้นมาคนบนโลกนี้ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีงามยิ่งนัก แล้วข้าจะไม่ยินดีได้อย่างไร”
หลินหลันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย บนโลกนี้ยังคงหลงเหลือผู้ที่เปิดเผยจริงใจและรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม เช่นท่านหมอฮู๋อาจารย์ของนาง เช่นคุณชายฮว๋าที่อยู่เบื้องหน้าท่านผู้นี้…