ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 137 ส่งมอบเสื้อผ้าชุดใหม่
หลี่จิ้งเสียนถูกหญิงชราเรียกเข้าพบทันทีที่กลับถึงจวน
“เมื่อคืนเจ้าพูดอันใดกับชิวเยว่ไว้หรือ” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าสงบนิ่งซึ่งมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
หลี่จิ้งเสียนรู้ได้ทันทีว่านางฮานคงบอกกล่าวผู้เป็นมารดาของตนแล้วอย่างแน่นอน
“ท่านแม่บ่นกับลูกมาโดยตลอดว่าบ้านนี้สมาชิกบางตานัก ช่วงก่อนหน้าลูกจดจ่ออยู่กับหน้าที่การงานเพียงอย่างเดียว ยามนี้นับว่าประสบความสำเร็จขึ้นมาไม่น้อยแล้ว พอได้ตรึกตรองดู สิ่งที่ท่านแม่กล่าวนั่นถูกต้องยิ่งนัก และหลิวอี๋เหนียงก็อยู่ในวัยอันเหมาะสมแก่การให้กำเนิดบุตร ลูกจึงอยากให้หลิวอี๋เหนียงเพิ่มผู้สืบสานตระกูลหลี่อีกสักคนสองคน ท่านแม่คิดว่าอย่างไรขอรับ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวภายใต้ท่าทีเยือกเย็น
หญิงชราส่งเสียง ‘อ่อ’ ขึ้นมาอย่างบางเบา “การเพิ่มลูกหลานก็นับว่าเป็นเรื่องดี ดูอย่างพี่ใหญ่ของเจ้ามีบุตรชายสามคนบุตรหญิงสามคน ทุกวันนี้จึงมีลูกหลายเต็มบ้าน ช่วยให้ครึกครื้นเสียยิ่งกะไรดี น้องสามของเจ้าถึงร่างกายจะอ่อนแอ แต่ก็มีบุตรชายถึงสี่คนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน จะมีก็แต่เจ้านี่แหละที่มีเพียงบุตรชายสองคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน อีกทั้งบุตรสาวผู้นี้ยังไม่สามารถรับเป็นบุตรอย่างถูกต้อง…” หญิงชราพูดๆ ไปก็ถอนหายใจออกมา “มิใช่ว่าแม่เห็นแก่ตัว ทว่าการที่เจ้าลำบากตรากตรำถึงเพียงนี้ก็มิใช่เพื่อบุตรหลานคนรุ่นหลังหรอกหรือ แม่ก็อยากให้มีบุตรหลานไว้เยอะๆ เช่นกัน วงศตระกูลจะได้มีผู้สืบทอด เพียงแต่ยามนี้เจ้าสนใจเพียงหลิวอี๋เหนียง จนละเลยชิวเยว่ นางเดิมทีก็เสียความรู้สึกอยู่แล้ว หากหลิวอี๋เหนียงให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาอีกคน จึงเกรงว่านับแต่นั้นไปเจ้าคงใยดีแต่หลิวอี๋เหนียงและไม่ใยดีฮานชิวเยว่อีกแล้ว การที่นางจะรู้สึกสะเทือนใจใส่อารมณ์ไปบ้างก็คงหลีกเลี่ยงมิได้ เจ้าต้องคอยปลอบใจนางไว้ถึงจะถูกต้อง”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความนอบน้อม “ลูกเข้าใจขอรับ”
“เจ้ารักใคร่เอ็นดูหลิวอี๋เหนียงก็มิใช่ว่าทำมิได้ ทว่าเจ้าต้องแบ่งใจไว้บ้างเช่นกัน อย่าได้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น ปล่อยให้นางได้ใจว่าตนเองเป็นนายหญิงของบ้าน เจ้าต้องรู้ไว้ว่า หายนะของตระกูลจำนวนมากก็คือการที่ภรรยาและอนุภรรยาไม่ได้รับความเท่าเทียมกัน ทุกวันนี้หน้าที่การงานเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่น หมิงอวินก็เป็นกำลังสำคัญเช่นกัน คงอดมิได้ที่จะมีผู้คนจ้องมองมาด้วยความริษยาและคอยจับผิดเจ้า เจ้าจะทำอันใดตามอำเภอใจไปเรื่อยมิได้ จะได้ไม่เกิดปัญหาอันมิจำเป็นตามมาภายหลัง” หญิงชรากล่าวอย่างเนิบๆ
หลี่จิ้งเสียนน้อมรับคำสั่งสอนอย่างถ่อมตน “คำชี้แนะของท่านแม่ช่างลำเลิศยิ่งนัก ลูกจะจดจำไว้ขอรับ”
หญิงชรากล่าวขึ้นอีกระรอก “เรื่องเพิ่มสมาชิกในครอบครัว ยังไงก็ชะลอไว้ก่อนแล้วกัน อีกไม่นานก็จะฉลองปีใหม่แล้ว จะได้ไม่พาลให้ทุกคนทุกข์ใจแล้วฉลองปีใหม่อย่างไม่เป็นสุข อีกอย่าง ฮานชิวเยว่เป็นผู้ดูแลเรื่องภายในบ้านทั้งหมด หากเจ้าทำให้นางโกรธเคืองจนล้มป่วยไป แล้วผู้ใดจะมาดูแลบ้านนี้หรือ รอให้หมิงเจ๋อสอบได้และมีชื่อเสียง ฮานชิวเยว่คงมีความสุขขึ้นมาได้ ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยพูดเรื่องนี้กับนางอีกทีแล้วกัน!”
หลี่จิ้งเสียนนิ่งเงียบ หากหมิงเจ๋อสอบไม่ผ่าน เรื่องนี้ก็เป็นอันจบไปเช่นนั้นหรือ เข้าต้องการบุตรชายสักคน ยังต้องคอยดูสภาพจิตใจของนางฮานด้วยหรือ
“ขอรับ ลูกจะระมัดระวังไว้ขอรับ” หลี่จิ้งเสียนตอบรับแม้ไม่เต็มใจ รอในท้องของหว่านอวี้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแล้ว ดูสิว่าผู้ใดจะยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก
หลินหลับกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย อวี้หลงเข้ามาบอกกล่าวนาง “เมื่อครู่เจี่ยนชิวที่อยู่ข้างกายหลิวอี๋เหนียงมาพบเจ้าค่ะ ข้าน้อยจึงถามไถ่นางว่ามีเรื่องอันใด แต่เมื่อนางเห็นว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมิอยู่ จึงเอ่ยว่าอีกเดี๋ยวค่อยมาใหม่เจ้าค่ะ”
หลินหลันนึกสงสัย หลิวอี๋เหนียงต้องการพบนางด้วยเหตุอันใด ระหว่างพวกนางหาได้เคยแวะเวียนข้องเกี่ยวกันไม่ จะก็แต่ครานั้นที่เข้าไปมอบของขวัญให้เมื่อนางถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยา
หลินหลันเพิ่งหย่อนตัวลงนั่ง คนทางด้านนอกก็รายงานว่าเจี่ยนชิวมาขอเข้าพบ
หยินหลิ่วกล่าว “สงสัยนางคงคอยเฝ้าดูอยู่จากด้านนอกกระมัง”
“ให้นางเข้ามาเถอะ!” ยามนี้หลิวอนุภรรยาหลิวเป็นที่โปรดปรานของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายอย่างมาก ขนาดที่มอบหน้าที่อันหนักอึ้งด้วยการกำเนิดบุตรให้แก่นาง แน่นอนว่าคงไม่เหมาะสนมนักหากหลินหลันจะปฏิเสธการพบเจอ
หรูอี้พาคนผู้นั้นเข้ามา
เจี่ยนชิวคารวะให้หลินหลันอย่างอ่อนน้อม “คารวะเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ”
หลินหลันกอบกุมโส่วหลูไว้ในมือแล้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
เจี่ยนชิวมองไปยังหยินหลิ่วและหรูอี้ที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเผยสีหน้าไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยปาก
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เจ้าพูดมาเถิด มิเป็นไร”
เจี่ยนชิวกล่าวด้วยท่าทีลังเลใจ “เดือนที่แล้วหลิวอี๋เหนียงรู้สึกปวดแปลบๆ ในช่วงท้องน้อย เดิมคิดว่าคงมิเป็นไรร้ายแรง จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกเหล่าเหยียและฮูหยินด้วยเกรงว่าทุกคนจะกล่าว่านางทำเป็นออเซาะ ทว่าสองวันมานี้อาการปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมิรู้ว่าเป็นด้วยเหตุอันใด จึงอยากเรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายช่วยไปตรวจดูหน่อยเจ้าค่ะว่าอาการร้ายแรงหรือไม่”
หลินหลันขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยออกไป “เจ้ากลับไปบอกหลิวอี๋เหนียงว่าคืนนี้หลังฉิ่งอานแล้วข้าจะไปช่วยตรวจดูให้”
เจี่ยนชิวกล่าวด้วยความดีใจ “ข้าน้อยขอขอบพระคุณเอ้อร์เส้าหน่ายนายแทนหลิวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
หลินหลันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วให้หรูอี้ส่งนางออกไป
หยินหลิ่วกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ! ฮูหยินคงไม่เป็นปลื้มอย่างแน่นอน ระยะนี้ฮูหยินไม่พึงพอใจอย่างมากอยู่แล้วด้วยนะเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “หลิวอี๋เหนียงเรียนเชิญข้า ข้าก็ต้องไป แน่นอนว่าฮูหยินคงไม่พอใจ ทว่าหากเป็นเหล่าเหยียให้ข้าไป ต่อให้ฮูหยินไม่พึงพอใจก็ทำอันใดมิได้อยู่ดี”
ระหว่างสนทนา หมิงอวินที่เพิ่งกลับมาถึง ทันทีที่เข้ามาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลันเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นี่คืออันใด” ในมือของเขากำลังคีบซองจดหมายพร้อมกับส่ายไปมาที่เบื้องหน้าของนาง
หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “เป็นจดหมายที่ท่านอาจาร์ยตอบกลับหรือ”
หลี่หมิงอวินส่งมอบจดหมายให้นางพลางปลดผ้าคลุมกันลม “เจ้าดูเองเถอะ!”
หยินหลิ่วรับผ้าคลุมกันลมไว้แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มระรื่น “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ต้องการสุราข้าวหมากสักถ้วยหรือน้ำชาดีเจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิด “เป็นสุราข้าวหมากแล้วกัน! กำลังอยากกินอะไรรองท้องอยู่พอดีเชียว”
หยินหลิ่วขานรับอย่างเริงร่า “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปตักมาให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นหลี่หมิงอวินจึงเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ
หลินหลันฉีกซองจดหมายเปิดดูด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพบถึงสิ่งเหนือความคาดหมายนั่นก็คือด้านในยังมีจดหมายจากผู้เป็นพี่ชายอีกหนึ่งฉบับ ลายมือของพี่ชายเขียนได้อย่างไม่สวยงามเลยสักนิด แต่กลับให้ความรู้สึกสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มิเคยเปลี่ยนไป ทันใดนั้นดวงตาของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาเสียดื้อๆ
หลี่หมิงอวินออกมาหลังจากล้างหน้าล้างตาก็มองเห็นหลินหลันกำลังร้องไห้กับจดหมายในมือ
“เป็นไรไป ในจดหมายว่าอย่างไรแล้วหรือ”
หลินหลันยื่นจดหมายให้เขาขณะสะอึกสะอื้น “เจ้าอ่านเองแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินรับจดหมายทั้งสองฉบับมาอ่าน หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ห้าของเจ้าแล้วยังมีพี่ชายของเจ้าจะมาเมืองหลวงหลังปีใหม่นี้แล้ว นี่เป็นเรื่องดีหนิ! เจ้าเขียนจดหมายไปก็เพื่อการนี้มิใช่หรือ”
หลินหลันสูดจมูกฝืดฝัด “ข้าถึงได้รู้สึกดีใจอยู่นี้ไง ข้าคิดถึงพวกเขาจะแย่แล้ว”
หลี่หมิงอวินลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “เด็กบื้อ อีกไม่นานก็ได้พบเจอกันแล้ว รีบเช็ดหน้าตาเสีย อีกเดี๋ยวต้องไปฉิ่งอานกันแล้ว ผู้อื่นจะหาว่าข้ารังแกเจ้าเอาได้”
ขณะนี้เองหลินหลันถึงได้ปาดน้ำตาก่อนจะกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่สองและศิษย์พี่ห้ามาแล้ว มีพวกเขารับหน้าที่วินิจฉัย เรื่องทางด้านร้านขายยาก็มิต้องเป็นกังวลแล้ว เพียงแต่ทางด้านพี่ชายของข้า ข้ายังมิได้คิดวางแผนให้เขาเลยว่าจะให้ไปอยู่แห่งหนใดดี แล้วยังมีพี่สะใภ้ของข้านั่นเอง ข้ารำคาญนางอย่างยิ่ง คนอะไรก่อกวนได้ทั้งวี่ทั้งวัน”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มแล้วหยิบจดหมายออกมาอีกฉบับ “นี่เป็นจดหมายที่ท่านยายตอบข้า เจ้าลองอ่านดูสิ”
หลินหลันประหลาดใจ “ส่งมาด้วยกันหรือ”
“อืม ทั้งหมดส่งไปยังจวนของท่านลุง วันนี้พอข้าเลิกงานแล้วก็แวะเข้าไปเอามา ก่อนหน้านี้ข้าส่งจดหมายไปให้ท่านย่าหนึ่งฉบับ ขอให้นางช่วยเรียนเชิญคนเก่าคนแก่ช่วยดูแลพี่สะใภ้และหลานชายของเจ้า โดยยังมิให้นางมายังเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว เรื่องราวของเราทางด้านยังจัดการไม่เรียบร้อย อย่าเพิ่งให้นางมันก่อความวุ่นวายจะเป็นการดีที่สุด ส่วนพี่ชายของเจ้า เดิมทีทางด้านหนิงซิ่งนั่นก็กำลังรวมพลเพื่อขยายกองกำลัง ทว่าหากเกิดการสู้รบขึ้นมา ก็คงต้องเข้าร่วมสนามรบด้วย เจ้าเองก็มีพี่ชายเพียงคนเดียว แน่นอนว่าเขาคงให้เขาไปเสี่ยงมิได้ ปัจจุบันนี้สถานที่ทำการส่วนกลางของเมืองหลวงกำลังรับสมัครผู้สำรวจตรวจสอบหนึ่งกลุ่ม ข้าได้รบกวนพี่สวินพู่เจิ้งไว้แล้วว่าให้เว้นตำแหน่งไว้สำหรับพี่ชายเจ้าสักตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม จะสำเร็จหรือไม่ ถึงตอนนั้นคงต้องดูความสามารถของพี่ชายเจ้าแล้วล่ะ หากสำเร็จนั่นคงเป็นการดีที่สุด ศิลปะการต่อสู้ที่ติดตัวพี่ชายของเจ้ามาก็ได้มีนำมาใช้ถูกที่เสียที หากมิสำเร็จก็คอยเป็นองค์รักษ์คอยดูแลบ้านในตระกูลเยี่ยได้ สรุปคือข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เหมาะสมเอง เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป” หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างสบายๆ
หลินหลันตะลึงงัน นางมิเคยเอ่ยถึงเรื่องของพี่ชายเลยสักครั้ง แล้วยังคิดอยู่ว่าจะเอ่ยปากพูดกับเขาอย่างไรดี คาดไม่ถึงเลยว่าเขากลับวางแผนไว้ให้นางตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หลินหลันจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง “หมิงอวิน ขอบคุณเจ้านะ”
หลี่หมิงอวินบีบสันจมูกน้อยๆ ของนางอย่างเบามือและกล่าวเชิงตำหนิ “พี่ชายเจ้าก็คือพี่ชายข้า เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า ระหว่างสามีภรรยาจะพูดขอบคุณกันทำไม ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”
หลินหลันหัวเราะทั้งน้ำตาแล้วนำจดหมายมาเก็บไว้
“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…” ป๋ายฮุ่ยผู้มิได้รับเชิญ ถือเสื้อผ้าชุดใหม่สีน้ำเงินครามอยู่ในมือและเผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานนุ่มนวล “ข้าน้อยทำชุดใหม่ให้เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียนลองสวมใส่ดูนะเจ้าคะว่าพอเหมาะตัวหรือไม่ หากไม่ ข้าน้อยจะรีบไปแก้ไขให้เจ้าค่ะ”
เมื่อป๋ายฮุ่ยพูดจบถึงได้พบว่านายหญิงกำลังดวงตาแดงระเรื่อ สภาพดั่งเช่นเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “หรือไม่…ข้าน้อยค่อยมาภายหลังแล้วกันเจ้าค่ะ”
อารมณ์ดีๆ ของหลินหลันถูกนางพังทลายลงในชั่วพริบตา นางทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ผู้เป็นนายแล้วรีบร้อนมาประเคนน้ำใจดวงนี้มอบให้ถึงหน้านายท่านขนาดนี้ นางมิรู้หรือว่าหากปราศจากคำสั่งของนายหญิง สาวใช้ไม่สามารถทำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นายท่านได้ตามอำเภอใจ นางเห็นนายหญิงน้อยผู้นี้เป็นหัวหลักหัวตอไปแล้วหรือ
หยินหลิ่วที่เพิ่งถือสุราข้าวหมากเข้ามา เห็นสถานการณ์ดังกล่าวจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายสั่งตัดชุดให้เอ้อร์เส้าเหยียไว้ตั้งนานแล้ว วันนี้นายท่านลุงก็เพิ่งส่งชุดใหม่มาให้ทั้งหมดหกชุด เอ่ยว่าเป็นจำนวนตัวเลขที่หมายถึงทำการอันใดจะได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด แต่นี่หากเพิ่มเข้ามาอีกชุดก็จะกลายเป็นเจ็ดชุดไปแล้ว พี่ป๋ายฮุ่ยรีบไปทำเพิ่มอีกสักสองชุด นำมารวมกันให้เป็นจำนวนเลขเก้าถึงจะเป็นการดี เพื่อให้สอดคล้องกับสำนวนที่ให้ความหมายว่าชั่วฟ้าดินสลาย [1] ยังไงล่ะเจ้าคะ”
ป๋ายฮุ่ยมีสีหน้าเก้ๆ กังๆ นางกล่าวเสียงอ่อน “ข้าน้อยมิทราวว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายได้…”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะให้เอ้อร์เส้าเหยียฉลองปีใหม่ด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมๆ ได้อย่างไรกันล่ะ และต่อให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่มีเสื้อผ้าของตนเองในแบบใหม่ๆ ก็คงมิปล่อยให้เอ้อร์เส้าเหยียน้อยหน้าผู้ใดหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้าได้ยินว่า เสื้อผ้าที่ท่านสั่งตัดล้วนทำจากวัตถุดิบที่ดีเยี่ยมทั้งสิ้น ในนั้นยังมีผ้าไหมทอมืออีกด้วย ข้าน้อยอยากเห็นให้เป็นบุญตาสักครั้งยังมิได้เห็นเลยเจ้าค่ะ! หยินหลิ่วนำถ้วยสุราข้าวหมากวางลงเบื้องหน้าของนายน้อย”
หลินหลันมองไปยังป๋ายฮุ่ยอย่างสงบเงียบ เห็นเพียงมือของนางที่กำลังจับเสื้อผ้าชุดใหม่อย่างไม่เป็นสุข ราวกับต้องการนำเสื้อผ้าไปแอบซ่อนไว้ หลังจากนั้นก็มองไปยังหลี่หมิงอวินที่กำลังดื่มน้ำแกงบัวลอยอย่างสบายอกสบายใจ พร้อมกับนัยน์ตาซึ่งแสดงถึงอารมณ์ที่ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่
เดิมทีก็ไม่อยากสนใจเรื่องเช่นนี้ และอยากดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ทว่าพอได้นึกถึงคำพูดเมื่อครู่อันแสนอบอุ่นที่ออกมาจากใจของเขา…หลินหลันแอบถอนหายใจ ก่อนจะจงใจพูดใส่หยินหลิ่ว “เสื้อผ้าใหม่ก็ยังมิได้มีมากจนเกินไป อีกอย่างนี่เป็นน้ำใจของป๋ายฮุ่ย ใครจะเหมือนพวกเจ้า เย็บปักถักร้อยได้แท้ๆ ก็ดันขี้เกียจจะทำ ระวังอนาคตข้างหน้าจะมิได้ออกเรือนอย่างผู้อื่นเขา”
หยินหลิ่วหน้าแดงระเรื่อ กล่าวขึ้นด้วยความเคอะเขิน “ผู้ใดบอกว่าต้องการออกเรือนล่ะเจ้าคะ ข้าน้อยมิแต่งงานหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะอยู่ปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายไปชั่วชีวิต”
หลินหลันหันไปพูดกับป๋ายฮุ่ย “เสื้อผ้านั่นก็เอาไว้นี่เถอะ! ไว้รอเอ้อร์เส้าเหยียว่างแล้วค่อยลองแล้วกัน อย่างไรก็ตาม ที่เจ้าทำ คงต้องพอดีตัวแน่นอนอยู่แล้ว”
ขณะนี้เองป๋ายฮุ่ยถึงได้เผยสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมา นางนำชุดวางไว้บนโต๊ะแล้วย่อเข่าลงคารวะ “ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
หลินหลันมองนางเดินจากไปหลังจากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “หยินหลิ่ว เจ้าก็ไปออกไปก่อนเถิด”
หยินหลิ่วมองเห็นสีหน้าของนายหญิงไม่สู้ดีนัก จึงส่งเสียง ‘อ่อ’ เป็นการขานรับแล้วเดินออกไปเช่นกัน
ภายในห้องตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบสงัดชั่วขณะ หลินหลันเอาแต่จ้องมองไปยังหลี่หมิงอวินโดยไม่พูดจา ท้ายที่สุดหลี่หมิงอวินก็ไม่อาจต้านทานได้ เขาวางถ้วยสุราข้าวหมากลงแล้วเตรียมเอ่ยปาก
หลินหลันกลับช่วงชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ข้าช่วยนางหาคู่ครองเรียบร้อยแล้ว เป็นบุตรชายของผู้ดูแลสวี๋ที่ทำงานให้กับตระกูลเยี่ย นามว่าสวี๋ฝูอาน ปีนี้อายุยี่สิบ ได้ยินว่าพ่อหนุ่มนี่ค่อนข้างขยันขันแข่งทีเดียวเชียว”
——
[1] ชั่วฟ้าดินสลาย (天长地久) อ่านว่า เทียนฉางตี้จิ่ว ในเนื้อความประโยคดั่งกล่าวเอ่ยถึงจำนวนเลขเก้า ซึ่งในภาษาจีนอ่านว่า ‘จิ่ว’