ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 142 เป็นคนดีมันไม่ง่ายเลย
เมื่อถึงจวนจิ้งปั๋วโหว์ หลินหลันตรวจสอบเรือนร่างของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่ใจแล้วจึงลงรถม้า หลี่หมิงอวินต้องการประคองนางทว่านางกลับหลบหลีก นางพาตนเองลงมาโดยอาศัยจับตัวรถ ทันทีที่เท้าของนางแตะพื้นกลับรู้สึกขาอ่อนขึ้นมาเสียดื้อๆ เลยอดไม่ได้ที่จะมองค้อนใส่ตัวต้นเหตุ
หลี่หมิงอวินรู้ดีว่านางกำลังรำคาญจึงทำได้เพียงฉีกยิ้มใส่เท่านั้น
เมื่อเข้าไปในจวน ทั้งสองแยกย้ายกันโดยหลี่หมิงอวินไปทางด้านจิ้งปั๋วโหว์ ส่วนหลินหลันเข้าไปในส่วนลานบ้านชั้นใน
วันนี้เฉียวอวิ๋นซีเรียนเชิญแขกมาจำนวนไม่มากซึ่งมีเพียงห้าหกคนเท่านั้น เฝิงซูหมิ่นก็อยู่ด้วยเช่นกัน แล้วยังมีฮูหยินสองสามท่านที่เคยพบเจอกันมาก่อนซึ่งนับว่าค่อนข้างคุ้นเคยกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทุกคนกล่าวอวยพรซึ่งกันและกันแล้วพูดคุยแลกเปลี่ยนสองสามประโยคก่อนไปนั่งจิบน้ำชา
เฝิงซูหมิ่นบ่นโอดครวญด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าก็มิมาหากันบ้างเลย ซานเอ๋อร์คิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว”
ซานเอ๋อร์เป็นบุตรชายของเฝิงซูหมิ่นซึ่งปีนี้มีอายุหกปี เป็นเด็กน้อยที่มีท่าทางจั้มมั้มน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
หลินหลันยิ้มเจื่อน “ข้ามีอิสระปานท่านที่ไหนกันที่ไม่มีพ่อตาแม่ยายและผู้อาวุโสคอยผูกมัด ดังนั้นจักทำเรื่องอันใดล้วนตัดสินใจได้ด้วยตนเองสบายๆ น่ะเจ้าค่ะ”
“ที่พูดก็ถูก ทว่าแม้ข้าจะมีอิสระเป็นของตนเองแต่กลับรู้สึกวันเวลาช่างยาวนานจนน่าเบื่อหน่าย หากมิใช่เพราะมีซานเอ๋อร์ ข้าคงมิรู้จริงๆ ว่าควรทำอันใดดี” เฝิงซูหมิ่นฉีกยิ้มขื่นขม แต่ละบ้านต่างก็มีความนึกคิดที่ถือว่าเป็นปัญหาและความยากลำบากนานาประการซึ่งแตกต่างกันออกไป
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนคุยอันใดกันหรือ ปีใหม่ทั้งทียังมัวถอดถอนหายใจกันอยู่ได้”
หลินหลันเผยรอยยิ้มแสนหวาน “พวกเรากำลังพูดกันว่าฮูหยินโหว์เหยียพอเป็นแม่คนแล้ว นับวันยิ่งดูผุดผ่องดึงดูดสายตาผู้คนขึ้นเรื่อยๆ ข้ากับหลินฮูหยินจึงพากันถอนหายใจให้ตัวเราเองเจ้าค่ะ”
เฉียวอวิ๋นซีกล่าวติดตลก “หากพวกเจ้าอิจฉาก็รีบมีบุตรสักคนให้เร็วๆ เข้าสิ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวติดตลกขึ้นมาบ้างเช่นกัน “เป็นข้ามากกว่าที่ต้องถอนหายใจให้ตนเอง เจ้ามีอันใดให้น่าถอนหายใจหรือ ดูผิวพรรณเปล่งปลั่งของเจ้านั่นสิ แทบจะบีบเค้นน้ำออกมาได้แล้วกระมัง”
ฮูหยินอีกท่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็นั่นน่ะสิ ข้าได้ยินฮูหยินโหว์เหยียเอ่ยว่านางอาศัยวิธีการรับประทานอาหารตามตำหรับที่เจ้าแนะนำ ผิวพรรณถึงได้นับวันยิ่งมีน้ำมีนวล หลี่ฮูหยิน หากเจ้ามีเวลาว่างก็ช่วยเขียนตำหรับให้พวกเราด้วยสิ พวกเราจะได้ผิวพรรณงามๆ กับเขาบ้าง”
หลินหลันถือโอกาสนี้กล่าวถึงเรื่องร้ายยาของตน “สภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน ตำหรับอาหารบำรุงจึงแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน รอร้านยาของข้าเปิดแล้ว ถึงตอนนั้นพวกท่านมาถึงที่ ข้าจักช่วยปรับตำหรับอาหารบำรุงให้เหมาะสำหรับร่างกายของพวกท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฉียวอวิ๋นซีกล่าว “ร้านยาของเจ้าจะเปิดทำการเมื่อใดหรือ”
“มีบางเรื่องที่ยังจัดเตรียมมิเรียบร้อย คงต้องอีกประมาณสามเดือนเห็นจะได้เจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
“ถึงยามนั้นต้องบอกกล่าวข้าด้วยล่ะ ข้าจักเตรียมของขวัญสักชุดไปมอบเป็นขวัญกำลังใจในช่วงเปิดร้าน” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนเจ้าค่ะ ทว่าท่านมิต้องมอบของขวัญถึงที่หรอก ข้าจะเป็นฝ่ายมารับที่นี่เอง” หลินหลันเอ่ยเชิงล้อเล่น
เฉียวอวิ๋นซีหลุดหัวเราะร่า “พวกเจ้าดูสิ นางกลับเป็นฝ่ายมัดมือชกข้าเสียแล้ว”
ฮูหยินท่านก่อนหน้าหัวเราะแล้วกล่าวขึ้น “หลี่ฮูหยินอุตส่าห์ช่วยปรับปรุงสูตรอาหารบำรุงให้ท่านจนผิวพรรณเสมือนน้ำถึงเพียงนี้ ของขวัญนี่คงจะให้ขาดตกบกพร่องไปมิได้แล้วกระมังเจ้าคะ หากเป็นพวกเราที่ได้เห็นผลดีอย่างนี้ด้วยเช่นกัน ต่อให้ต้องเป็นของขวัญชิ้นใหญ่เพียงใดพวกเราก็ยินดีมอบให้ได้”
ทุกคนพร้อมกันใจส่งเสียงหัวเราะร่า
“มอบไม่มอบของขวัญอันใดกันเจ้าคะ ข้าเพียงพูดเล่นเท่านั้น แม้เอ่ยว่าเป็นร้านยา ทว่าร้านยามิใช่ว่าจะเพื่อการรักษาอาการป่วยเท่านั้น ทางด้านข้านี้มีตำหรับวิธีการบำรุงความงามมิน้อยทีเดียว ภายภาคหน้าอย่างไรก็ขอเรียนเชิญทุกท่านช่วยให้การสนับสนุนด้วยเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นสตรีจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ มีเงินทองมากมายเหลือเฟือ จะมีก็แต่ความงดงามและความอ่อนเยาว์เท่านั้นที่เงินทองมิอาจแลกมาได้โดยง่ายดายและไร้ซึ่งสถานที่ให้ร้องขอ เมื่อได้ยินหลินหลันพูดเช่นนี้จึงรู้สึกตื่นเต้นและพากันแสดงออกว่าเมื่อถึงยามนั้นพวกนางจะต้องมาเยือนอย่างแน่นอน
หลินหลันมีทักษะความสามารถทางด้านนี้จนได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่สตรีผู้สูงศักดิ์จำนวนมาก และยังเป็นที่ดึงดูดความสนใจเสียยิ่งกว่าสถานะของนางในฐานะนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ หลังจากการรวมตัวกันหลายครั้ง นางได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่สตรีชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวง
การฉลองเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป
ในที่สุดก็ได้มีเวลาว่างเพื่อหลินหลันจะได้ลงมือจัดการเรื่องของป๋ายฮุ่ยให้เรียบร้อยเสียที
“เจ้าปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียมาเป็นเวลาหลายปี ทุ่มเทแรงกายแรงกายมาโดยตลอด ปัจจุบันนี้ถึงวัยที่เจ้าควรแต่งงานมีคู่ครองได้แล้ว ข้าเองมิสามารถปล่อยให้เจ้ารู้สึกไม่รับความยุติธรรมได้ จึงช่วยมองหาบุคคลผู้เหมาะสมให้เจ้าอยู่ตลอด…ณ ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งที่เหมาะสม เป็นบุตรชายคนโตของผู้ดูแลสวี๋แห่งตระกูลหลี่ นามว่าฝูอาน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า ข้าและเอ้อร์เส้าเหยียได้พบเจอฝูอานแล้ว นับว่าเป็นพ่อหนุ่มที่ไม่เลวคนหนึ่งเลยล่ะ คู่สามีภรรยาผู้ดูแลสวี๋ก็มีจิตใจดีอย่างมากเช่นกัน หากเจ้าแต่งออกไปจักต้องปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีแน่นอน…” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็นพลางสังเกตสีหน้าอาการของป๋ายฮุ่ย
สีหน้าของป๋ายฮุ่ยซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งได้ฟังจนถึงประโยคท้ายสุดก็ถึงกับสติล่องลอยประดุจใบไม้แห้งที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางสายลม และเกือบจะยืนไม่อยู่ขึ้นมาเล็กน้อย
หลินหลันกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เอ้อร์เส้าเหยียก็คิดว่าคู่ครองผู้นี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”
นัยน์ตาของป๋ายฮุ่ยเริ่มพร่ามัวพร้อมกับหยาดน้ำสีใสที่กำลังเออคลอ นางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยมิอยากแต่งงานเจ้าค่ะ ข้าน้อยยินดีอยู่ปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายและเอ้อร์เส้าเหยียไปชั่วชีวิตเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “พูดอันใดไร้สาระเช่นนั้นล่ะ! มีสตรีที่ไหนมิอยากแต่งงานหรือ”
ป๋ายฮุ่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าเด็ดเดี่ยว “หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายรังเกียจข้าน้อย ท่านออกคำสั่งให้ข้าน้อยไปเก็บกวาดลานบ้านหรือไปตัดฟืนเผาถ่านก็ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ ขอเพียงเอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่าให้ข้าน้อยแต่งงานเลยนะเจ้าคะ”
หลินหลันตกตะลึงด้วยไม่คิดว่านางจะกล้าพูดเช่นนี้
สายตามองสำรวจอยู่บนใบหน้าซีดเผือดอันเศร้าโศกของนาง หลินหลันเอ่ยถามอย่างใจเย็น “เจ้ามีคนที่ชอบพอแล้วหรือ หากพวกเจ้ามีความรักใคร่ต่อกัน ข้าก็มิขัดขวางที่เจ้าจะตัดสินใจด้วยตนเอง”
ป๋ายฮุ่ยขยับรอยยิ้มมุมปากโดยยังคงไร้เสียงใดๆ เอ่ยออกมา แม้ว่าบนใบหน้าของนายหญิงน้อยจะแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม ทว่านัยน์ตาที่กำลังเปล่งประกายความเข้มงวดนั่น นางจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไร
“เจ้าลองไตร่ตรองดูอีกหน่อยแล้วกัน คู่ครองของเจ้าผู้นี้ข้าและเอ้อร์เส้าเหยียต่างเห็นดีด้วย เพื่อเห็นแก่สัมพันธ์ที่เจ้ารับใช้มาเนิ่นนานหลายปี พวกเราคงปล่อยให้เจ้าขาดทุนมิได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อาจทำร้ายเจ้าได้ คิดว่าเจ้าก็คงพอได้ยินมาบ้างแล้วว่าหลังผ่านพ้นเดือนแรกของปี ฮูหยินจะปรับระเบียบข้ารับใช้ในจวน ผู้ที่ถึงวัยแล้ว หากมิใช่ส่งออกไปก็เป็นการจัดหาคู่ครองให้ ซึ่งฮูหยินคงไม่คำนึงเพื่อเจ้าถึงปานนี้” หลินหลันเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลแต่กลับแฝงไว้ซึ่งสัญญาณเตือน
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ป๋ายฮุ่ยจะฟังไม่ออกในความหมายของนายหญิงที่ต้องการสื่อ ทว่านางไม่อาจทำใจยอมรับได้อยู่ดี นายน้อยเป็นผู้ที่อ่อนโยนถึงเพียงนั้น จะตัดสินใจอย่างใจร้ายถึงเช่นนี้ได้อย่างไร นางคิดมาโดยตลอดเช่นกันว่านายหญิงน้อยจะยอมรับในตัวนาง ทว่าตอนนี้เพิ่งได้เข้าใจว่านายหญิงก็เป็นเพียงคนหน้าเนื้อใจเสื้อ ภายนอกดูอ่อนโยนจิตใจดี ทว่าลึกๆ แล้วกลับคิดไว้แล้วว่าต้องการจะส่งนางออกไปให้พ้น นายน้อยด้วยจนปัญญาจึงไม่อาจขัดขวางความประสงค์ของนางได้ ท้ายที่สุดถึงต้องคล้อยตามจับนางแต่งออกไปกับผู้อื่น
ป๋ายฮุ่ยพยักหน้าทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยการต่อต้าน “ให้ข้าน้อยไตร่ตรองดูอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวานและไม่บีบบังคับนางเช่นกัน ทำพูดทุกอย่างล้วนเอ่ยออกไปอย่างชัดเจนแล้ว นางเองก็พยายามอย่างที่สุดแล้วเช่นกัน หากป๋ายฮุ่ยยังคงดื้อรั้นไม่ยินยอม เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงปล่อยให้แม่มดชรามาจัดการส่งออกไปแล้วล่ะ
ป๋ายฮุ่ยสติเลื่อนลอยไม่เป็นสุขตลอดทั้งวัน กระทั่งช่วงประมาณสี่โมงเย็น นางเอ่ยกับแม่โจวว่าจะไปหาหงซางเพื่อยืมแบบดอกไม้แล้วจึงออกไป
หลี่หมิงอวินเลิกงานกลับเข้ามา เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากโขดหินรูปทรงภูเขาขนาดใหญ่พร้อมกับเอ่ยเรียกเขาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ…”
หลี่หมิงอวินหันไปมองจึงพบว่าเป็นป๋ายฮุ่ยนั่นเอง เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ทำไมกันหรือ”
ป๋ายฮุ่ยมองไปยังตงจึที่ติดตามอยู่ด้านหลังนายน้อยและเผยท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ
ตงจึเอ่ยขึ้นอย่างรู้งาน “ข้าน้อยรู้สึกหิวแล้ว ขอตัวไปหาของกินก่อนนะขอรับ” เขาออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วทางด้านหลัง
ขณะที่หลี่หมิงอวินกำลังจะเรียกเขาไว้ ทว่าเขาก็ได้วิ่งออกไปไกลเสียแล้วจึงอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ เจ้าข้ารับใช้ที่พึ่งพามิได้ผู้นี้ ไว้กลับไปต้องลงโทษเขาสถานหนักให้รู้จักเข็ดราบ
ระหว่างนั้นป๋ายฮุ่ยค่อยๆ คุกเข่าลง
หลี่หมิงอวินรีบกล่าวขึ้นทันที “นี่เจ้ากำลังทำอันใด มีอันใดก็พูดออกมาเถอะ”
ป๋ายฮุ่ยดื้อรั้นไม่ยินยอมลุกขึ้น ปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย
หลี่หมิงอวินเริ่มร้อนรนใจ “เจ้ารีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ หากผู้อื่นมาเห็นเข้าจะนำไปพูดกันอย่างไร”
“เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านรังเกียจข้าน้อยแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” ป๋ายฮุ่ยกล่าวด้วยโศกเศร้า
“เจ้าลุกขึ้นยืนแล้วค่อยพูด มิเช่นนั้นข้าจะไปแล้ว” หลี่หมิงอวินอย่างไม่พึงพอใจ
ขณะนี้เองป๋ายฮุ่ยถึงลุกขึ้นยืนสะอึกสะอื้น “ข้าน้อยไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียถึงต้องขับไสไล่ส่งข้าน้อยออกไป หากเอ้อร์เส้าเหยียมิชอบข้าน้อยตรงไหน ข้าน้อยพร้อมปรับปรุงแก้ไขนะเจ้าคะ ขอเพียงเอ้อร์เส้าเหยียอย่าได้ไล่ข้าน้อยออกไปเลย ฮูหยินเป็นผู้ให้ชีวิตของข้าน้อย ตอนนั้นฮูหยินเคยเอ่ยว่าให้ข้าน้อยและจื่อโม่คอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียไปชั่วชีวิตนะเจ้าคะ…ยามนี้พี่จื่อโม่ไม่อยู่แล้วจึงเหลือเพียงข้าน้อยผู้เดียวเท่านั้น เหตุใดเอ้อร์เส้าเหยียถึงได้ใจร้ายเพียงนี้เจ้าคะ…”
หลี่หมิงอวินไม่รู้จะสรรหาคำใดมาสาธยาย เขามองดูสีหน้าเศร้าโศกของป๋ายฮุ่ยแล้วแอบถอนหายใจ “ป๋ายฮุ่ย มิใช่เรารังเกียจเจ้า…”
“เอ้อร์เส้าเหยียเกรงว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไม่พึงพอใจใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยมิต่อกรอันใดกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอเพียงชั่วชีวิตนี้ได้อยู่ข้างกายของเอ้อร์เส้าเหยียตลอดไป คอยช่วยจัดหาน้ำชาให้ ต่อให้เป็นได้เพียงหญิงสาวที่ต่ำต้อยผู้หนึ่งก็ตามเจ้าค่ะ” ป๋ายฮุ่ยกล่าวอย่างกระวนกระวาย
หลี่หมิงอวินรู้สึกตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง เหตุใดนางจึงคิดเช่นนี้ไปได้ หลี่หมิงอวินส่งเสียงกระแอมสองครั้งแล้วเอ่ย “ป๋ายฮุ่ย…นี่มิใช่ปัญหาว่ารังเกียจหรือไม่ ข้าและเอ้อร์เส้าหน่ายนายของเจ้ามีความรักลึกซึ้งต่อกันอย่างหาที่เปรียบมิได้ ชั่วชีวิตนี้ข้าคิดเพียงต้องการใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีวันคิดเป็นอื่นไปได้อีก เจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่งจึงควรได้มีความสุขเป็นของตนเอง เอ้อร์เส้าหน่ายนายได้จัดหาคู่ครองที่ดีไว้เพื่อเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะมิทำร้ายความหวังดีของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย”
ป๋ายฮุ่ยร้องไห้ระงมและกล่าวโอดครวญ “หากเอ้อร์เส้าเหยียไม่ชอบข้าน้อย เช่นนั้นช่วยส่งข้าน้อยไปเป็นแม่ชีเถอะนะเจ้าคะ ชั่วชีวิตนี้ข้าน้อยมิอาจแต่งงานกับผู้ใดได้อีกจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าลองพินิจพิจารณาให้ละเอียดอีกทีเถอะ การทำลายน้ำใจของคนข้างกายนั่นถือเป็นเรื่องเล็ก ทว่าการทำลายความสุขทั้งชีวิตของตนเองถือเป็นเรื่องใหญ่” เขาสาวฝีก้าวยาวเดินจากไปทันทีที่จบประโยค
ป๋ายฮุ่ยจ้องมองไปยังแผ่นหลังของนายน้อยอย่างสิ้นหวัง รู้สึกได้เพียงหัวใจทั้งด้วยที่กำลังเต็มไปด้วยน้ำแข็ง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ หรือว่านายน้อยไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อนางเลยแม้แต่น้อย? หลายปีมานี้ภายในหัวใจของนางมีเพียงผู้เดียว เต็มไปด้วยเขาผู้นี้ผู้ด้วย ทว่าวันนี้ จู่ๆ ก็ให้นางแต่งงานกับผู้อื่น นี่มิใช่การควักหัวใจของนางทั้งเป็นหรอกหรือ
หลินหลันกำลังนั่งคำนวณบัญชีอยู่ภายในห้อง วัตถุดิบยาชุดแรกถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออย่างช้าสุดก็คงมาถึงประมาณช่วยกลางเดือนสอง
หยินหลิ่วเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินเข้ามา นางตรงมากระซิบกระซาบข้างหูของนายหญิงสองสามประโยค
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม “นางยังคงไม่ตายใจสินะ ถึงต้องทำเรื่องน่าอัปยศอดสูเช่นนั้น”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ วันนี้นางแอบร้องไห้อยู่ในห้องตลอดทั้งวัน จิ่นซิ่วและหรูอี้ต่างเกลี้ยกล่อมนางก็แล้วทว่านางก็ไม่ยอมฟัง ยามนี้กลับกล้าดีวิ่งไปหาเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วรู้สึกโมโหอย่างมาก
“รอดูเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วกันว่าเขาจะว่าอย่างไร!” หลินหลันกล่าวอย่างอึดอัดใจ ป๋ายฮุ่ยผู้นี้ช่างทำให้คนอื่นเขาวางใจไม่ได้เลยจริงๆ
“ข้าน้อยเกรงก็แต่ว่าเมื่อนางไม่สมดั่งปรารถนาแล้วจะคิดกลอุบายอันใดขึ้นมาสิเจ้าคะ” หยินหลิ่วกล่าวด้วยความกังวลใจ
“เรื่องนี้ก็พูดยากเช่นกัน ข้าประสงค์ดีต่อนางแท้ๆ นางกลับคิดไม่ได้ ดีไม่ดียังกล่าวว่าข้าจงใจทำให้นางทุกข์ใจไปเสียอีก” หลินหลันกล่าวอย่างสมเพศตนเองพลางปิดสมุดรายการบัญชีลง การวางตนเป็นคนดีนี่มันช่างทำยากเหลือเกิน “ระยะนี้เจ้ากับอวี้หลงช่วยข้าจับตามองไว้หน่อยแล้วกัน อย่าให้นางก่อเรื่องโง่ๆ อันใดขึ้นมา”
หยินหลิ่วพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นด้วยความอดไม่ได้ “มิเคยพบเห็นผู้ใดไร้ยางอายถึงเพียงนี้มาก่อน ช่างเกินไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
ระหว่างสนทนา เหวินลี่ซึ่งอยู่ด้านนอกกล่าวขึ้น “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า”
ทันทีที่สิ้นเสียง เห็นเพียงหลี่หมิงอวินเลิกผ้าม่านแล้วเดินเข้าทะลุเข้ามาภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมแสดงให้เห็นถึงอารมณ์หงุดหงิด
หลินหลันส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หยินหลิ่ว นางจึงรีบออกไปเพื่อนำน้ำร้อนมาให้
หลินหลันเข้าไปช่วยปลดผ้าคลุมกันลมให้เขาด้วยตนเองแล้วกล่าวภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “นี่ไปหงุดหงิดจากผู้ใดมาหรือ ถึงได้ทำหน้าตาบึ้งตึงเช่นนี้”