ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 144 เปิดโปง
การป่วยครานี้ของป๋ายฮุ่ยกินระยะเวลาหลายวันทีเดียว ยังดีที่ทางด้านครอบครัวสวีค่อนข้างมีความอดทนจึงมิได้มาเร่งเร้าแต่อย่างใด มิเช่นนั้น หลินหลันคงลำบากใจไม่น้อย เพราะเรื่องนี้นางเป็นผู้ริเริ่ม หากจู่ๆ ดันบอกกล่าวว่ามิสำเร็จ หลังจากนั้นคงไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเช่นกัน
ทางด้านอนุภรรยาหลิว ได้ยินมาว่ายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด ใบสั่งยามีการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่านี่ก็เป็นเพียงเรื่องที่ได้ยินมาเท่านั้น ยามนี้คนในจวนจึงเริ่มถกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเอ่ยกันว่าชื่อเสียงของนายหญิงสะใภ้รองเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง ทักษะการรักษามิได้ดีเด่แต่อย่างใด โชคร้ายที่นายท่านยังคงเชื่อในคำพูดของนางอยู่ได้ ประโยคดังกล่าวถูกแพร่งพรายเข้ามาถึงหูของหลินหลัน หลินหลันทำเพียงฉีกยิ้มอ่อน พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายสะกดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้อย่างหนักแน่นทีเดียวเชียว!
เพียงชั่วพริบตา วันที่สิบเก้าเดือนสองก็มาถึง ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันประสูติของพระโพธิสัตว์กวนอิม ด้วยพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายและหมิงอวินต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนัก ดังนั้นหลี่หมิงเจ๋อจึงรับหน้าที่พาสตรีไปสักการะธูปเทียนที่วัดเซียงซาน
ทุกคนถือศีลกินเจเป็นระยะเวลาสามวันอย่างเคร่งครัด
หลินหลันกำลังคิดว่าจะอยู่ที่นั่นเพียงหนึ่งวันแล้วเดินทางกลับ จึงพาหยินหลิ่วและหรูอี้นำไปก่อน ใครจะรู้ว่าช่วงบ่ายนางฮานกลับไม่สบายขึ้นมากะทันหัน โดยเอ่ยว่ามึนหัวเป็นอย่างมาก
หลินหลันช่วยตรวจจับชีพจรให้นาง ซึ่งจังหวะชีพจรของนางดูผิดปกติไปเล็กน้อยจริงๆ หลินหลันรู้ดีว่าระยะที่ผ่านมานี้แม่มดชราใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก นำของนางเยี่ยออกไปขายก็ถูกคนเขากดราคา สิ่งของบำรุงให้ทางด้านหลิวอี๋เหนียงก็ต้องส่งไปไม่ขาดสาย ส่วนทางด้านไร่สวนที่ดินแปลงชานเมือง เพราะมีการจุดประทัดกันจนก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้จึงนำมาซึ่งความเสียหายไม่น้อยทีเดียว…เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะกู้ยืมเงินเพียงห้าหมื่นเท่านั้น ทว่าทำไปทำมาจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนเป็นเจ็ดหมื่น ดอกเบี้ยก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้แม่มดชราถึงกับปวดสมองจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ท่านแม่เพียงแค่อ่อนเพลียเกินไปเท่านั้นเจ้าค่ะ จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากๆ” หลินหลันกล่าวรายงานหญิงชราที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ากังวล
หญิงชราจับมือของนางฮานและกล่าวด้วยความสงสาร “เจ้าลำบากเกินไปแล้วจริงๆ”
นางฮานพยายามพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ลูกมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ขืนยังไม่ลงเขายามนี้จะมืดค่ำกันพอดีนะเจ้าคะ”
แม่เจียงกล่าวทันที “ฮูหยินท่านเป็นเช่นนี้จะลงเขาได้อย่างไรกันเจ้าคะ จะนั่งแคร่ลงไปก็เป็นอันตรายเช่นกัน”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ให้แม่จู้ไปถามไถ่ดูเสียหน่อยสิว่าในวัดพอมีห้องว่างเหลืออยู่หรือไม่ หากมีก็ค้างแรมที่วัดนี้สักคืน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับไปก็ยังมิสาย”
แม่จู้ขานรับแล้วออกไป ไม่นานนักก็กลับมารายงาน “ยังพอมีเหลืออยู่สองสามห้องเจ้าค่ะ บ่าวบอกกับเจ้าวัดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าคืนนี้จะขอค้างแรมในวัดสักคืนเจ้าค่ะ”
หญิงชราพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับนางฮาน “เจ้าก็พักผ่อนให้สบายใจ เดี๋ยวให้ผู้ดูแลจ้าวกลับไปส่งข่าวให้ทางจวนรับทราบไว้”
ทุกคนจึงจำต้องค้างแรมในวัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
หยินหลิ่วรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ พวกเรามิอยู่แล้วเอ้อร์เส้าเหยีย…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “มีอันใดให้ต้องกังวลไป มิใช่ยังมีอวี้หลงกับแม่โจวอยู่หรอกหรือ”
หรูอี้อ้ำอึ้ง หลินหลันจึงกล่าวขึ้นภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าอยากพูดอันใดหรือ”
หรูอี้ลังเลใจ “มีเรื่องหนึ่ง ทว่าข้าน้อยมิรู้ว่าสมควรพูดหรือไม่เจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วด้วยนิสัยใจร้อนจึงกล่าวขึ้นทันควัน “เจ้าพูดมาขนาดนี้แล้ว ยังจะเอ่ยว่าควรหรือไม่ควรอีกหรือ”
“สองวันก่อนที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายสั่งให้ข้าน้อยนำชาดอกไม้ไปส่งให้ต้าเส้าหน่ายนาย ข้าน้อยแอบเห็นพี่ป๋ายฮุ่ยพูดคุยกับชุนซิ่งอยู่ในตรอกทางเดิน แล้วยังมอบสิ่งของห่อหนึ่งให้แก่ชุนซิ่ง ข้าน้อยรีบแอบหลบ มิกล้าให้พวกนางเห็นเข้าแล้วตื่นตกใจไป เดิมทีคิดจะฟังว่าพวกนางพูดคุยอันใดกันบ้าง ทว่าด้วยระยะที่ห่างเกินไปจึงฟังไม่ชัดเจนเจ้าค่ะ ข้าน้อยลังเลใจมาโดยตลอดว่าควรนำเรื่องนี้มารายงานเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรือไม่ ด้วยเกรงว่าจากเรื่องที่ไม่มีอันใด แต่เมื่อข้าน้อยพูดออกมาเช่นนี้จะกลายเป็นเรื่องไปเสียอีก และทำให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายไม่สบายใจไปเปล่าๆ เจ้าค่ะ…” หรูอี้มองดูสีหน้าของนายหญิงที่ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา น้ำเสียงของนางจึงค่อยๆ อ่อนลงโดยไม่รู้ตัวขณะเดียวกันก็มองดูนายหญิงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
หลินหลันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายฮุ่ยและชุนซิ่งที่ผ่านมาเป็นเช่นไรหรือ”
“มิค่อยไปมาหาสู่กันเท่าใดนักนะเจ้าคะ ยามใดที่เจอหน้ากันก็แค่ทักทายตามมรรยาทเท่านั้นเจ้าค่ะ” หรูอี้กล่าวตอบ
หลินหลันรู้สึกหนักใจมากยิ่งขึ้น นางมองไปที่หรูอี้อย่างสงบนิ่ง “แล้วไยวันนี้เจ้าถึงคิดว่าควรนำเรื่องนี้บอกเล่าสู่ข้าหรือ”
หรูอี้เผยสีหน้ากระวนกระวาย “ข้าน้อยมิรู้จะพูดอย่างไรเช่นกันเจ้าค่ะ เพียงแค่คิดว่าวันนี้ไม่อาจกลับจวนได้ ภายในใจก็รู้สึกไม่สงบสุขขึ้นมาเจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วรู้สึกร้อนรนใจ “หรือป๋ายฮุ่ยคิดแผนการเล่ห์กลอันใดขึ้นมาเจ้าคะ เหตุใดฮูหยินที่เดิมทีดีๆ อยู่ก็ดันป่วยขึ้นมาเสียแล้ว”
หลินหลันครุ่นคิด สองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่นางยังคงไม่ทราบแน่ชัด ทว่าการที่จู่ๆ ป๋ายฮุ่ยไปหาชุนซิ่งนั้น เป็นเรื่องผิดปกติอย่างมิต้องสงสัย เพียงแต่ยามนี้ดันมาติดอยู่บนภูเขานี่ เหวินซานและตงจึก็ไม่อยู่เสียด้วย จะให้นางชวนหยินหลิ่วและหรูอี้เดินลงเขาไปกลางดึกกลางดื่นคงมิได้ ทว่าหากป๋ายฮุ่ยคิดเล่ห์กลอันใดขึ้นมาจริง เกรงว่าคงลงมือในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน ไม่ จะใจร้อนมิได้ ในบ้านยังมีอวี้หลงและแม่โจวอยู่ทั้งคน ทั้งสองคนนี้ล้วนละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง และก่อนออกมานางก็ได้กำชับอวี้หลงเป็นพิเศษแล้ว อีกอย่างหลี่หมิงอวินมิใช่เด็กน้อยสามขวบเสียหน่อย ดังนั้นตัวเขาเองก็น่าจะรับมือได้มิใช่หรือ
เมื่อคิดเช่นนี้หลินหลันจึงพอสงบสติอารมณ์ลงได้ ก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “มิเป็นไรหรอก พวกเราอย่าได้ตีตนไปก่อนไข้เลย ”
อวี้หลงอยู่ภายในห้องเพื่อรอนายน้อยกลับมาหลังจากเลิกงาน ระหว่างนั้นจู่ๆ จิ่นซิ่วก็มาบอกกล่าวว่าเหวินลี่และสาวใช้ที่ห้องครัวทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาเสียดื้อๆ
อวี้หลงตระหนกตกใจก่อนจะเอ่ยถามออกไป “เหตุใดเหวินลี่ถึงทะเลาะกับพวกนางขึ้นมาได้”
“ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน อวิ๋นอิงรีบไปทางด้านนั้นแล้ว เพียงแต่พวกนางล้วนเพิ่งมาใหม่ สาวใช้ในห้องครัวของจวนพวกนั้นก็ดุเสียยิ่งกระไรดี ข้าเกรงว่าพวกนางจะเสียเปรียบเอาได้”
อวี้หลงเริ่มกังวลใจ “แล้วแม่โจวล่ะ”
“ทางด้านห้องบัญชีส่งคนมาเรียกแม่โจวไปพบ ยามนี้แม่โจวจึงไม่อยู่ในเรือนน่ะสิ”
อวี้หลงกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด “แล้วทีนี้จะเอาอย่างไรดีหรือ จะว่าไปแล้วคนในจวนนี่ข้าเองก็มิค่อยรู้จักมักจี่เท่าใดนักด้วย”
จิ่นซิ่วกล่าว “เช่นนั้นคงทำได้เพียงเรียกคนมาพาตัวเหวินลี่และอวิ๋นอิงกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน หรือไม่ เจ้าไปหาเหวินซานทีสิ ข้าคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียน่าจะใกล้กลับมาแล้วด้วย ข้าไปยับยั้งทางห้องครัวนั่นก่อนแล้วกัน”
อวี้หลงคิดๆ ดูแล้วก็คงทำได้เพียงเท่านี้ไปก่อน สองคนแบ่งหน้าที่กันแล้วแยกไปคนละทิศคนละทาง อวี้หลงเดินไปด้วยฝีก้าวเร่งรีบ ทันใดนั้น มีคนส่งเสียงเรียกนางกะทันหัน ขณะที่นางกำลังหันหลังกลับก็รู้สึกเจ็บปวดที่ท้ายทอยและเบื้องหน้าก็มืดสนิทลง ไม่รับรู้อันใดได้อีก
จิ่นซิ่วมาถึงห้องครัว เห็นหญิงชราวัยกลางคนสองสามคนที่อยู่ในครัวกำลังจิกศีรษะและตบตีไปที่ใบหน้าของเหวินลี่และอวิ๋นอิง ขณะเดียวกันก็พ่นคำด่าทอต่างๆ นานาออกมาไม่หยุดหย่อน “ข้าจะตบเจ้าให้ตายไปเสียนังสารเลว…อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนของเอ้อร์เส้าเหยียแล้วพวกเข้าก็จะมิกล้าตบเจ้า…”
“เอ้! หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่พวกเจ้าทำอันใด มีเรื่องอันใดก็ค่อยๆ พูดกันดีๆ มิได้หรือ” จิ่นซิ่วพุ่งเข้าไปด้วยคิดจะดึงตัวเหวินลี่กับอวิ๋นอิงออกมา แต่คาดไม่ถึงว่าป้าๆ เหล่านั้นจะไร้เหตุผลสิ้นดี ถึงขั้นลากนางเข้าไปตบตีด้วย ขณะนั้น ทั้งถ้วยชามหม้อไหภายในห้องครัวล้วนหล่นแตกกระจายทั่วพื้น กลายเป็นสถานการณ์อันอลหม่านอย่างยิ่ง
หลี่หมิงอวินกลับมาถึงจวนตามเวลาปกติ เขาถามไถ่ผู้เฝ้าประตูว่าผู้เป็นย่าและคนอื่นๆ กลับมาจากวัดแล้วหรือยัง ผู้เฝ้าประตูให้คำตอบว่ายังไม่กลับมา หลี่หมิงอวินจึงกลับไปยังเรือนจื่ออวิ๋นก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่เข้าไปในเรือนจื่ออวิ๋น หลี่หมิงอวินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที เหตุใดภายในลานบ้านจึงเงียบสงัดถึงเพียงนี้ เสียงแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีให้ได้ยิน
หลี่หมิงอวินเข้าไปในห้องทั้งๆ ที่ยังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ภายในห้องกลับยังคงอบอุ่น นอกจากนั้นยังมีธูปหอมยังที่ถูกจุดเอาไว้ด้วย
“อวี้หลง…” หลี่หมิงอวินปลดผ้าคลุมกันลมและเอ่ยเรียกอวี้หลง
ม่านใยไผ่ถูกเลิกขึ้นตามด้วยคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงอันอ่อนโยน “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยขณะมองไปยังผู้มาเยือน “อวี้หลงล่ะ”
ป๋ายฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้างุนงง “ก่อนหน้านี้ยังอยู่นะเจ้าคะ หรือไม่ข้าน้อยไปหาดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “มิต้อง ในเมื่อนางไม่อยู่ก็คงมีธุระอันใดกระมัง เจ้าก็ออกไปเถอะ! มิต้องคอยปรนนิบัติอยู่ในนี้หรอก”
ป๋ายฮุ่ยเผยสีหน้าเศร้าสลด “เช่นนั้น…ข้าน้อยไปชงชาให้เอ้อร์เส้าเหยียแล้วกันเจ้าค่ะ!”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วครู่ “ก็ดีเหมือนกัน” สิ้นประโยคเขาก็เดินตรงเข้าสู่ห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
กระทั่งเขาออกมา ป๋ายฮุ่ยได้ชงชาปี้หลัวชุนไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว
นางยังคงยืนมองอยู่เช่นนั้น หลี่หมิงอวินจึงกล่าวขึ้น “เจ้ามิค่อยสบาย ไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”
ป๋ายฮุ่ยหลุบตาลงเล็กน้อยและแสดงอากัปกิริยาอ่อนโยน “ข้าน้อยดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินถือถ้วยน้ำชาขึ้นมา แต่ด้วยความที่มันร้อนเกินไปจึงวางลงไปดังเดิม “ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังคงรู้สึกติดค้างอยู่ภายในใจ แต่เมื่อใดที่เข้าใจได้ก็จะดีขึ้นเอง”
ป๋ายฮุ่ยเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวด้วยเสียงบางเบา “ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายหวังดีต่อข้าน้อย”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าน้อยคิดได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ควรทำลายน้ำใจของเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
เมื่อหลี่หมิงอวินได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกราวกับก้อนหินใหญ่ที่แบกไว้ในใจได้ร่วงสู่ลงพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว เอ้อร์เส้าหน่ายนายของเจ้าเอ่ยไว้ว่า รอเจ้าแต่งออกไปแล้ว จะลองถามไถ่ทางตระกูลเยี่ยเพื่อขอตัวสวีฝูอานมาทางด้านนี้ พวกเจ้าจะได้ช่วยกันดูแลธุระทางด้านร้านขายยาหรือเรื่องอื่นๆ ทุกคนก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันดังเดิม”
ป๋ายฮุ่ยย่อเข่าลงคารวะ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพื่อข้าน้อยถึงเพียงนี้ ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ “ลุกขึ้นเถิด! มิต้องมากพิธีรีตองไป”
ป๋ายฮุ่ยยืดตัวขึ้นตรงและกล่าวภายใต้สีหน้าละอายใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่างมีน้ำใจต่อผู้อื่น อีกทั้งยังจิตใจกว้างขวาง ช่างเป็นความโชคดีของข้าน้อยและเป็นความโชคดีของเอ้อร์เส้าเหยียจริงๆ เจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียมีเอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นศรีภรรยาที่ดีงามถึงเพียงนี้ วิญญาณของฮูหยินที่อยู่บนฟากฟ้าจะต้องดีใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เพียงแต่เอ้อร์เส้าเหยียควรจะเกลี้ยกล่อมเอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียหน่อยนะเจ้าคะ ว่าต้องรักสุขภาพของตนเองให้มากๆ ถึงจะถูกนะเจ้าคะ…”
หลี่หมิงอวินตะลึงงันไปชั่วขณะ เขามองไปยังป๋ายฮุ่ยด้วยความสงสัย หลินหลันไม่รักสุขภาพของตนเองอย่างไรหรือ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายทำอันใดเช่นนั้นหรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
ป๋ายฮุ่ยหน้าแดงขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนจะกล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้าน้อยได้ยินว่า…ยาที่ป้องกันการตั้งครรภ์นั่นรับประทานมากเกินไปจะทำลายสุขภาพเจ้าค่ะ ข้าน้อยเห็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายรับประทานยาประเภทนั้นอยู่บ่อยครั้ง จึงอดเป็นห่วงมิได้เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกมึนเบลอไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อถือเท่าใดนัก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายกินยาป้องกันการตั้งครรภ์เช่นนั้นหรือ”
ป๋ายฮุ่ยเผยสีหน้างุนงงหนักกว่าเดิม “ใช่เจ้าค่ะ! หรือว่าเอ้อร์เส้าเหยียมิทราบ ข้าน้อย…ข้าน้อยคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยียรับทราบแล้วเสียอีกเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนายน้อยมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด ป๋ายฮุ่ยจึงแอบแสยะยิ้มด้วยความสะใจ มิใช่บอกว่าเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนายรักกันปานจะกลืนกินหรือ แล้วเหตุใดเอ้อร์เส้าหน่ายนายจึงไม่ยินยอมตั้งครรภ์เพื่อให้กำเนิดบุตรแก่เอ้อร์เส้าเหยียล่ะ ถึงขึ้นแอบเอ้อร์เส้าเหยียรับประทานยาป้องกันการตั้งครรภ์เช่นนี้
ป๋ายฮุ่ยรีบคุกเข่าลงบนพื้นและกล่าวด้วยอาการลนลาน “เอ้อร์เส้าเหยีย เป็นข้าน้อยเองที่ปากมากเกินไปแล้ว เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิอยากมีบุตร คงต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินมองไปยังป๋ายฮุ่ยอย่างไม่วางตา “ที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายกินยานั่น เจ้าเห็นกับตาเจ้าเองหรือ”
ป๋ายฮุ่ยมีท่าทีลังเลก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วไปหยิบขวดขวดหนึ่งออกมาจากตู้ที่อยู่บริเวณขอบเตียง “คือสิ่งนี้เจ้าค่ะ”
“นี่มิใช่ยาบำรุงความงามของเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอกหรือ”
“มิใช่กระมังเจ้าคะ! ข้าน้อยได้ยินกับหูตนเองว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายพูดว่ายาป้องกันการตั้งครรภ์นี่รสขมจะตายชัก จึงทำเป็นยาเม็ดไว้ค่อยดีขึ้นหน่อย ซึ่งก็คือขวดนี้แหละเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินคว้าขวดยาเอาไว้พร้อมกับความรู้สึกภายในใจที่เต็มไปด้วยความสับสน มิน่าล่ะ เขาพยายามถึงเพียงนี้ หลันเอ๋อร์กลับไม่ตั้งครรภ์เสียที ที่แท้หลันเอ๋อร์กินเจ้านี่มาโดยตลอดสินะ
หลันเอ๋อร์เคยเอ่ยไว้ว่ายามนี่ยังมิใช่ช่วงเวลาที่จะมีลูกได้ เพราะนางฮานยังไม่ถูกขจัดออกไป ทว่าเขาอยากมี โดยเฉพาะหลังพบเจอฮว๋าเหวินไป่ผู้นั้น เขายิ่งอยากมีลูกสักคนมากขึ้นเป็นพิเศษ เขาหลี่หมิงอวินผู้นี้อาจมิได้มีความสามารถในด้านอื่นๆ ทว่าเรื่องปกป้องภรรยาของตนเองอย่างไรก็ทำได้อย่างแน่นอน จะว่าไป สรุปแล้วหลันเอ๋อร์ยังคงไม่เชื่อมั่นในตัวเขาสินะ ทันใดนั้นภายในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างยิ่ง
“เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ ชาใกล้จะเย็นหมดแล้ว หรือไม่ข้าน้อยชงให้ท่านใหม่อีกสักถ้วย”
หลี่หมิงอวินถอนหายใจก่อนจะส่งขวดยาให้นาง “เอากลับไปเก็บที่เดิมเถอะ!”
ป๋ายฮุ่ยตกตะลึง เมื่อครู่นายน้อยยังมีท่าเหมือนไม่พอใจอยู่เลย แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นท่าทีหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ไปเสียแล้ว ระหว่างครุ่นคิดด้วยความสงสัย ป๋ายฮุ่ยยื่นมือออกไปรับขวดยาแล้วนำมันกลับไปวางที่เดิม เมื่อกลับมาก็เห็นว่านายน้อยดื่มน้ำชาในถ้วยจนหมดเกลี้ยงแล้ว ทันใดนั้นรอยยิ้มอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของป๋ายฮุ่ยด้วยความพึงพอใจ