ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 146 ค้นหาตัวการ
ป้าฉีเบะปากและทำจมูกฟุดฟิดสูดดมแล้วกล่าวขึ้น “เหม็นสาบหัวขโมย ว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องปฏิเสธเช่นนี้”
เหวินลี่กล่าวอย่างร้อนรนใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย ข้าน้อยมิได้พูดปด…”
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดพูด ก่อนจะกล่าวออกไปภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นกระเป๋าเงินล่ะ”
ทันใดนั้นมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนำกระเป๋าเงินยื่นออกมา “เอ้อร์เส้าเหยีย นี่ก็คือเงินที่เหวินลี่คิดขโมยเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินคว้าเอามาไว้ในมือแล้วบีบมันพลางกล่าวอย่างใจเย็น “ป้าหวัง เจ้าว่าเงินนี้เป็นของเจ้าหรือ”
ป้าหวังรีบเขยิบขึ้นหน้ามาทันที “ของข้าน้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ใช้ภายในบ้านยามฉุกเฉิน เป็นเงินสำหรับให้บรรดาพี่ๆ น้องๆ ภายในห้องครัวหยิบยืมเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย “อ้อ? เช่นนั้นในนี้มีจำนวนเงินทั้งหมดเท่าใดหรือ”
ป้าหวังกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ทั้งหมดคือสิบตำลึงทองห้าตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
“อ้อ! แล้วเป็นเงินที่บรรดาพี่ๆ น้องๆ ในห้องครัวหยิบยืมเจ้าไปเท่านั้นใช่หรือไม่” หลี่หมิงอวินถามไถ่ขึ้นอีกประโยค
“ใช่เจ้าค่ะ! ปกติแล้วบรรดาพี่น้องที่มีความสนิทสนมล้วนหยิบยืมเงินที่ข้าน้อยนี่แหละเจ้าค่ะ” ป้าหวังกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
หลี่หมิงอวินอมยิ้มเล็กน้อย “อืม! ขณะที่บนโลกนี้ความมีน้ำจิตน้ำใจของคนเรานับวันยิ่งถดถอยลง คนส่วนมากยิ่งร่ำรวยมากขึ้น มีอำนาจเพิ่มพูนขึ้น แต่กลับทำให้คนยากจนยิ่งอ่อนแอลงและไร้ซึ่งผู้เหลียวแล ทว่าพวกเจ้าคนในห้องครัวกลับรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก ดีเยี่ยม ดีเยี่ยมจริงๆ”
บรรดาป้าๆ เหล่านี้ไม่รู้ว่าประโยคดังกล่าวที่นายน้อยพูดมีความเกี่ยวข้องกับที่เหวินลี่ขโมยเงินไปอย่างไร พวกนางจึงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเจื่อนๆ “ล้วนเป็นคำสั่งสอนจากฮูหยินทั้งสิ้นเจ้าค่ะ พวกเราข้าน้อยช่วยเหลือเกื้อกูลกันจึงเป็นเรื่องที่พึงกระทำเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้จะว่าไปแล้ว ผู้ใดยืมเงินเจ้าไปบ้าง เจ้าคงรู้ดีแก่ใจทั้งหมดสินะ…” หลี่หมิงอวินมองไปยังป้าหวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ป้าหวังถึงกับใจหายวูบ นางเผยรอยยิ้มเจื่อนและกล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “เรื่องนี้…ข้าน้อยจำได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเบนสายตามองไปยังจิ่นซิ่ว “จิ่นซิ่ว เจ้ากับเหวินซานพาป้าหวังไปห้องข้างๆ ให้นางเขียนจำนวนเงินที่ใครต่อใครยืมไป แล้วอย่าลืมให้นางประทับตรานิ้วมือด้วยล่ะ”
ป้าหวังหน้าเปลี่ยนสีขึ้นทันทีทันใด หลี่หมิงอวินชายตามองนางพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปาก “เป็นอะไรไป ป้าหวังคงมิได้ลืมเลือนไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้กระมัง”
ป้าหวังแอบโอดครวญอยู่ลึกๆ แม่เติ้งหาได้สั่งการประเด็นนี้ไว้ไม่ แล้วนี่จะให้นางสร้างเรื่องหลอกลวงต่อไปอย่างไรดีหรือ ป้าหวังมิกล้าเอ่ยว่าจำมิได้ ดวงตาของนางเริ่มฉายให้เห็นถึงอาการลนลาน ทว่าท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงกล่าวออกไปด้วยเสียงบางเบา “ข้าน้อย…จำได้เจ้าค่ะ”
จิ่นซิ่วก้าวเดินไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว “ป้าหวัง เชิญทางนี้!”
ป้าหวังเดินตามจิ่นซิ่วไปห้องข้างๆ ด้วยความกระวนกระวาย โดยระหว่างนั้นมีเหวินซานที่คอยจับจ้องนางอย่างไม่วางตา
หลี่หมิงอวินกวาดสายตามองดูกลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่อีกครั้ง “ในบรรดาพวกเจ้าผู้ใดยืมเงินป้าหวังไปบ้างหรือ แสดงตัวออกมาพร้อมชื่อและจำนวนเงิน”
ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั้งกระทุ้งศอก ทั้งดึงกันไปดึงกันมา ทว่าหาได้มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นยืนไม่
หลี่หมิงอวินหาเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งอย่างผ่อนคลาย ราวกับกำลังรอชมละครสนุกๆ
ขณะนั้นเอง เหวินลี่เริ่มเข้าใจในความนึกคิดของนายน้อยขึ้นมาบ้างแล้ว หากเงินนี้กระทั่งตัวป้าหวังเองยังบอกที่มาที่ไปให้ชัดเจนมิได้ แล้วจะใส่ร้ายว่านางขโมยเงินไปได้อย่างไรกัน
ทันใดนั้น อวิ๋นอิงกล่าวกระแหนะกระแหนขึ้น “เมื่อครู่นี้มิใช่เอ่ยว่าพวกเจ้าช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันหรอกหรือ แล้วเหตุใดยามนี้พวกเจ้าถึงจำมิได้ว่าเคยยืมเงินไปหรือไม่เสียแล้วล่ะ การเป็นคนดีขนาดพวกเจ้านี่มิได้หากันง่ายๆ จริงๆ”
สีหน้าที่เผยขึ้นบนใบหน้าของทุกคนยิ่งเห็นถึงความอับอายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดเริ่มแรกเดิมทีถึงไม่คิดถึงสถานการณ์เช่นนี้ แม่เติ้งคำนวณผิดพลาดไปเสียแล้ว สถานการณ์ยามนี้ผู้ใดจะกล้าเสนอตัวออกมายอมรับล่ะ! เกิดนำมาเทียบกันแล้วไม่พอเหมาะพอเจาะ มิเท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
หลี่หมิงอวินมองดูอยู่สักพักก่อนจะเผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนขึ้นมา “เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับพวกเจ้ากำลังบอกว่ามิเคยยืมเงินป้าหวังไปใช่หรือไม่”
ยังคงไม่มีใครปริปากพูดคำใดๆ ออกมา ระหว่างนั้นมีสองสามคนที่คอยหันมองบานประตูด้านหลังอยู่เป็นระยะๆ
หลี่หมิงอวินสังเกตเห็นทุกการกระทำของพวกนางอย่างไม่ตกหล่น ทันใดนั้นภายในใจก็เริ่มเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยทวนถามขึ้นอีกประโยค “พวกเจ้าทั้งหมดแน่ใจว่ามิได้ยืมเงินของป้าหวังไปใช่หรือไม่”
ทุกคนทยอยส่ายหน้ากันทีละคนสองคน
“ป้าฉี ไปหยิบกระดาษและปากกามา” หลี่หมิงอวินสั่งการ
ป้าฉีเขยิบตัวแล้วผลักบานประตูที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะหยิบกระดาษและพู่กันออกมา
หลี่หมิงอวินรับกระดาษมาแล้วกล่าวขึ้นพลางเขียนลงบนกระดาษ “เราและคนอื่นๆ มิได้ยืมเงินของป้าหวัง และมิรู้ว่าเงินของป้าหวังได้มาจากแห่งหนใด” หลังจากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามกลุ่มคนเบื้องหน้า “ข้าเขียนเช่นนี้ คงไม่ผิดกระมัง”
กลุ่มคนเบื้องหน้ามิกล้าส่ายหน้าแต่ก็มิกล้าพยักหน้าด้วยเช่นกัน
หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นดวงตาคู่คมก็พลันเปลี่ยนให้เห็นถึงความเย็นชาอันชวนให้หวั่นเกรง ตามด้วยเสียง “หือ?” อันหนักแน่น
ยามนี้เองทุกคนถึงได้รีบพยักหน้ากันพัลวัน หากพวกนางต้องเผชิญหายนะไปด้วย มิสู้ปล่อยให้ป้าหวังเผชิญหายนะไปลำพังจะดีเสียกว่า
หลี่หมิงอวินถอนสายตากลับมารวมจุดเดียวกันแล้วหยิบตลับหมึกในกระเป๋าพกพาออกมาอย่างไม่เร่งรีบ “ยังดีที่ข้าพกสิ่งนี้ติดตัวตลอดเวลา เพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็นได้ทุกเมื่อ อวิ๋นอิง เจ้าหยิบไปให้พวกนางประทับตรานิ้วมือไว้บนนี้ทีสิ”
ทางด้านนี้เพิ่งดำเนินการเสร็จสิ้นกันไป ประจวบเหมาะกับทางด้านจิ่นซิ่วและเหวินซานที่พาตัวป้าหวังกลับเข้ามา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายามนี้ป้าหวังมีสีหน้าย่ำแย่เพียงใด
“เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ นี่คือสิ่งที่ป้าหวังส่งมอบให้เจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วนำกระดาษยื่นให้แด่ผู้เป็นนาย
หลี่หมิงอวินคลี่ออกดู ระหว่างมองดูก็อดหัวเราะขึ้นมามิได้ “ป้าหวัง ความจำของเจ้าไม่เลวเลยนี่! กระทั้งป้าอู๋ยืมเงินเจ้าไปสองตำลึงเงินก็จำได้ด้วย”
ป้าหวังเผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะที่ทั้งตัวกำลังรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาฉับพลัน ด้วยความหมดหนทางและจนปัญญา นางจึงเขียนชื่อของทุกคนในห้องครัวลงไป
“แม่อู๋ เจ้าลองคิดให้ถี่ถ้วนสิว่าเคยยืมเงินป้าหวังไปหรือไม่” เหวินลี่กล่าวเชิงยั่วโมโห
ป๋าอู๋รีบส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าน้อยมิเคยยืมนะเจ้าคะ”
ป้าหวังถึงกับหน้าถอดสี “แม่อู๋ เจ้าแก่ชราจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างเนิบๆ “ป้าหวัง เป็นเจ้าที่จำได้อย่างชัดเจน ทว่าบรรดาพี่ๆ น้องๆ ของเจ้าต่างก็เลอะเลือนกันไปหมดแล้วสินะ! พวกนางล้วนบอกว่ามิเคยยืมเงินของเจ้าทั้งนั้น”
ป้าหวังเริ่มลนลาน คิดจะหาคนช่วยเหลือสักคน ทว่ายามที่นางสบสายตากับผู้ใด ผู้นั้นหากมิใช่เบนสายตาหนีก็พากันก้มหน้าก้มตา นางจึงตกอยู่ในสถานะหัวเดียวกระเทียมลีบไปโดยปริยาย
ดวงตาของหลี่หมิงอวินฉายความเย็นชาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงตะคอกออกไป “ป้าหวัง สรุปแล้วเงินนี้ได้มาจากแห่งหนใด มิสู้รับสารภาพมาเสียดีกว่าหรือ”
ป้าหวังคุกเข่าลงด้วยความตื่นตกใจ “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ เงินนี้เป็นของข้าน้อยจริงๆ เจ้าค่ะ…”
“ป้าหวัง มิได้กล่าวว่าเงินนี้มิใช่ของเจ้า ยามนี้ที่เอ้อร์เส้าเหยียถามคือเงินนี้เจ้าได้มาจากไหน เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่าเป็นเงินที่บรรดาพี่ๆ น้องๆ ในห้องครัวยืมไปมิใช่หรือ ยามนี้เจ้าคิดจะหาข้ออ้างอันใดอีกหรือ” จิ่นซิ่วแสยะยิ้ม
หลี่หมิงอวินกวาดสายตาคู่เย็นชาไปยังข้ารับใช้เบื้องหน้า “พวกเจ้ามิรู้กันเลยหรือ”
ไม่มีผู้ใดกล้าให้คำตอบ
“ป้าหวัง เงินของเจ้าเองแท้ๆ แต่กลับอธิบายที่มาที่ไปมิได้ เจ้าคงมิได้ไปขโมยมาหรอกนะ” เหวินลี่กล่าวเชิงดูถูก
อวิ๋นอิงแสยะยิ้มแล้วกล่าวออกไป “นี่คงต้องเรียกว่าหัวขโมยตะโกนให้จับหัวขโมยเสียแล้วกระมัง”
ป้าหวังด้วยความกระวนกระวายใจจึงโพล่งปากเผยออกไป “เป็นเงินที่ข้ายืมแม่เติ้งมาต่างหาก”
“แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงมิพูดล่ะ ยามนี้บนกระดาษนี่ก็มีลายนิ้วมือของเจ้าประทับไว้แล้วด้วย หากนำไปที่ศาลว่าการก็ถือได้ว่าเป็นคำสารภาพที่มีผลใช้ได้เสียด้วยสิ” จิ่นซิ่วเอ่ยอย่างนุ่มนวล
ป้าหวังในเวลานี้ถึงกับเหงื่อท่วมตัวก็ว่าได้ “เป็นเงินที่แม่เติ้งให้ข้าไว้จริงๆ นะ”
“นางให้เงินเจ้าโดยไม่มีเหตุมีผลไปทำไมกันหรือ ทำเจ้าเพื่อเป็นข้าตอบแทนในการใส่ร้ายป้ายสีเหวินลี่ใช่หรือไม่” หลี่หมิงอวินกล่าวตะคอกด้วยเสียงดุดัน
ป้าหวังก้มหน้าหัวซุกหัวซุนด้วยความตื่นกลัว “ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้ายังมีอันใดที่มิกล้าอีกหรือ ในเมื่อเจ้าลงมือหลอกลวงเหวินลี่มาติดกับดักถึงที่นี่แล้ว หลังจากนั้นยังให้ร้ายนางว่าเป็นหัวขโมย มิเพียงพูดเท็จแล้วยังลงไม้ลงมือตบตี อวิ๋นอิง จิ่นซิ่วและเหวินซานมาเกลี้ยกล่อมก็ถูกพวกเจ้าที่บ้าคลั่งทุบตีไปด้วยเช่นกัน ต่อให้เหวินลี่มีความผิดอันใดจริงก็ควรมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้เป็นนายจัดการตัดสิน ทว่าพวกเจ้ากลับตั้งตนเป็นเจ้าบ้านเสียเอง คิดว่าที่นี่เป็นศาลเตี้ยหรือ พวกเจ้าเห็นคุณชายรองอย่างข้าเป็นโคลนเป็นกรวดไปแล้วหรือไรกัน” หลี่หมิงอวินลำดับเหตุการณ์ภายใต้อารมณ์โกรธเกรี้ยว
ทุกคนพร้อมใจกันคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตกใจ
“แม่เติ้งล่ะ นางเป็นผู้ดูแลเรื่องทางด้านห้องครัว ในห้องครัวมีเรื่องดุเดือดถึงเพียงนี้แล้วนางหายไปอยู่หนใดแล้วหรือ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยเสียงตะคอกรุนแรง
ป้าฉีกล่าวเสียงอ่อน “วันนี้แม่เติ้งมีธุระจึงมิอยู่เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ไม่อยู่? เหวินซาน…” หลี่หมิงอวินส่งสายตาเป็นสัญญาณไปทางเหวินซาน
เหวินซานสาวเท้าก้าวยาวเดินบุกเข้าไปในห้องด้านหลัง ตามด้วยเสียงร้องโวยวาย “ไอ้หยา…เจ้าทำอันใดของเจ้า”
เห็นเพียงแม่เติ้งที่ถูกเหวินซานฉุดกระชากลากถูออกมากองอยู่บนพื้น
ริมฝีปากของหลี่หมิงอวินในยามนี้เคลือบด้วยรอยยิ้มเย็นชาและเหยียดหยัน “แม่เติ้ง เจ้าแอบฟังละครอยู่ด้านในนั้นเต็มอิ่มแล้วหรือไม่”
แม่เติ้งเผยสีหน้าประหม่าด้วยความหวาดกลัว ถูกคนลากออกมาเสียขนาดนี้แล้วยังมีอันใดให้นางพูดได้อีก
“แม่เติ้ง คนใต้การดูแลของเจ้าไม่เพียงแต่ทำเรื่องสกปรกแล้วยังพูดจาหลอกลวงเหลวไหล ยังก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอีก เห็นทีว่าเจ้าจักทำหน้าที่ได้ไม่สมกับที่เรียกว่าผู้ดูแลเสียแล้ว!” หลี่หมิงอวินกล่าว
แม่เติ้งเหงื่อตกท่วมตัว “บ่าวรู้สึกมิค่อยสบาย เมื่อครู่จึงนอนหลับไป เลยมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินเลือกที่จะปล่อยนางไว้เช่นนั้นก่อน แล้วหันไปเอ่ยถามผู้ดูแลความปลอดภัยในบ้านเหล่านั้น “ผู้ใดให้พวกเจ้ามาที่นี่หรือ ลืมกฎระเบียบของจวนไปแล้วหรือไร การทะเลาะวิวาทคือความผิดใหญ่หลวง อย่างน้อยๆ ก็ต้องถูกโบยยี่สิบไม้ และโทษสถานหนักก็คือโบยจนกว่าจะตาย”
ประโยคดังกล่าวเป็นการแสดงถึงนัยที่ว่า หากพวกเจ้าไม่เปิดปากพูดออกมา วันนี้อย่าคิดว่าจะรอดพ้นไปได้
บรรดาผู้ดูแลความปลอดภัยในบ้านกล่าวขึ้นทันควัน “แม่ฉีเรียกพวกเรามาขอรับ นางบอกว่าเป็นคำสั่งของแม่เติ้งว่าจำเป็นต้องเอาชนะพี่เหวินซานให้ได้ขอรับ”
ป้าฉีได้ยินพวกนางเอ่ยว่าตนเองเป็นผู้ชักชวนมาจึงรีบกล่าวขึ้นด้วยความร้อนใจ “เอ้อร์เส้าเหยียโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ ข้าน้อยรับได้คำสั่งจากแม่เติ้งมาอีกทีจริงๆ นะเจ้าคะ”
แม่เติ้งกล่าวด้วยสีหน้าตื่นกลัว “เจ้าพูดจาเพ้อเจ้อ ข้าสั่งให้เจ้าไปเรียกคนพวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เพื่อปกป้องตนเอง ป้าฉีมีหรือจะยังสนใจคำข่มขู่ของแม่เติ้ง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นวิธีการของคุณชายรองที่ค่อยๆ เล่นงานจนกระทั่งยามนี้แม่เติ้งเองก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน จึงรีบชิงบอกกล่าวสิ่งที่ตนกระทำไปอย่างหมดเปลือก “เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ เรื่องวันนี้ล้วนเป็นคำสั่งการของแม่เติ้งให้พวกเรากระทำเจ้าค่ะ โดยให้หลอกล่อเหวินลี่มาที่นี่ ซึ่งก็เป็นความประสงค์ของแม่เติ้งเช่นกัน ลำพังข้าน้อยที่สถานะต่ำต้อยเพียงนี้มิบังอาจกล้าหรอกเจ้าค่ะ! ขอเอ้อร์เส้าเหยียโปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ…”
ป้าหวังเริ่มตาสว่างจึงรีบคลานเข่าขึ้นมาเบื้องหน้าด้วยเช่นกัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เงินเหล่านั้นก็เป็นเงินที่แม่เติ้งให้ข้าน้อย โดยบอกให้ข้าน้อยใส่ร้ายป้ายสีเหวินลี่ว่านางขโมยเงินเจ้าค่ะ”
เพียงชั่วพริบตาบรรดาสาวใช้ภายในห้องครัวก็ทยอยกันชี้ไปที่แม่เติ้ง
แม่เติ้งมีสีหน้าเดือดดาล มองไปยังคนใต้คำสั่งของตนเองอย่างเหลือเชื่อ โดยปกติแล้วแต่ละคนต่างแก่งแย่งกันแสดงออกอย่างจงรักภักดีเสียยิ่งกระไร ทว่ายามนี้แต่ละคนกลับทยอยลุกขึ้นมาตลบหลังและทิ่มแทงนางอย่างโหดเหี้ยมไปเสียได้
ในที่สุดเหวินลี่ก็ได้หายใจหายคออย่างโล่งอก ยังดีที่มีนายน้อยช่วยนางขจัดมลทินที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ มิเช่นนั้นนางคงได้อึดอัดใจตายไปแล้วจริงๆ
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณในทุกคนอยู่ในความสงบ ทันใดนั้นภายในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกระลอก ก่อนที่หลี่หมิงอวินจะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “แม่เติ้ง เจ้ากับเหวินลี่หาได้มีความแค้นเคืองส่วนตัวต่อกันไม่ จึงไร้เหตุผลให้ก่อเรื่องเป็นตุเป็นตะมาต่อกรกับนาง ดังนั้นเจ้าจะเปิดเผยผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยเหลือตนเองให้รอดพ้น หรือตัดสินใจทำลายตนเองเพื่อตัวการผู้นั้นหรือ เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่ายามนี้มีทั้งหลักฐานพยานที่เป็นบุคคลและกระดาษนี่ ซึ่งเจ้าคงมิอาจหลุดพ้นไปได้ ตามกฎระเบียบในจวน เจ้าควรได้รับบทลงโทษอันใด แม่เติ้งมั่นใจใช่หรือไม่ว่าตนเองจะแบกรับผลที่ตามมาไหว…” หลี่หมิงอวินชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าคุ้นชินที่จะต้องนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษให้ได้เสียด้วยสิ ทว่าหากเจ้ามั่นใจว่าสามารถแบกรับความผิดอันใหญ่หลวงนี้ไว้เอง เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้สาสมแก่ใจเจ้า”
แม่เติ้งรู้สึกถึงความสับสนภายในใจ ฮูหยินสั่งการให้นางทำเรื่องเล็กเพียงนี้ แต่ดันทำความแตกจนได้ เกรงว่าฮูหยินคงมิให้ความไว้วางใจนางอีกต่อไปแล้ว ทว่าหากนางยอมรับ ถึงมิถูกโบยจนปางตายก็คงถึงขั้นพิกลพิการเช่นกัน ครั้งก่อนนั้นที่ถูกโบยไปยี่สิบไม้ นางยังต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปถึงสองเดือนเต็มๆ เชียว…เพียงนึกถึงที่ผ่านมา แม่เติ้งก็รู้สึกกลัวขึ้นสมอง พอกันทีๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว คงทำได้เพียงปกป้องรักษาตนเองเอาไว้ก่อน
“เอ้อร์เส้าเหยีย บ่าวยินยอมสารภาพเจ้าค่ะ…”