ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 149 ปล่อยศัตรูให้ได้ใจ
ภายในห้องหนังสือ หลี่จิ้งเสียนเป่าลมลงในถ้วยน้ำชาก่อนจะเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลำพังหญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ไล่ออกแล้วก็เป็นอันสิ้นเรื่องไป หาได้เป็นเรื่องใหญ่โตไม่”
“เดิมทีลูกอยากไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งและเพิ่มบทลงโทษไปสักนิดหน่อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อนางเที่ยวโบ้ยความผิดใส่ผู้อื่นไปทั่วเพื่อให้ตนเองรอดพ้น คนประเภทนี้เอาไว้ก็เป็นภัยร้ายแรงเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องปล่อยไว้ให้นางทำลายชื่อเสียงของบ้านเราเข้าสักวัน…เกรงก็แต่ท่านแม่คงมิอาจเข้าใจความลำบากใจของลูกได้เท่านั้นเองขอรับ” หลี่หมิงอวินก้มหน้าลงเล็กน้อย แสดงท่าทีนอบน้อมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกอย่างที่เคยทำมา
หลี่จิ้งเสียนจรดสายตาอยู่บนรอยแทรกผมของเขาที่ปรากฏขวัญผมลักษณะก้นหอย ทันใดนั้นเขาจึงนึกถึงบนศีรษะของนางเยี่ยซึ่งมีลักษณะเดียวกันนี้ นางมักจะก้มหน้าอย่างเอียงอายและเมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะตามมาด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน ประหนึ่งดอกไห่ถางที่กำลังผลิบาน…หลี่จิ้งเสียนดึงสายตากลับแล้วถอนหายใจออกมาช้าๆ ช่วงสิบกว่าปีที่นางเยี่ยอยู่ในบ้าน ภายในบ้านมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอด หาได้เคยก่อเรื่องประเภทเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ไม่
“เรื่องนี้ก็เป็นความประสงค์ของพ่อด้วยเช่นกัน” หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างใจเย็น
หลี่หมิงอวินเผยทีท่านอบน้อมถ่อมตนมากยิ่งขึ้น “เรื่องนี้ต่อให้พูดอย่างไรก็ยังเกี่ยวข้องกับลูกอยู่ดีและยังเป็นการทำให้ท่านพ่อลำบากไปด้วย”
หลี่จิ้งเสียนจิบชาอย่างละเมียดละไม “เดิมทีการรับป๋ายฮุ่ยสาวใช้ผู้นั้นมาเป็นอนุภรรยาก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่โตไม่ เพียงแต่ด้วยวิธีการของนางนี้จะให้ผู้อื่นเขากล้าตกลงให้ร่วมใช้ชีวิตด้วยได้อย่างไรกัน จึงมิแปลกเลยที่เจ้าจะโกรธเกรี้ยว” เขากล่าวขึ้นอีกระลอกหลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “จะว่าไปแล้วหลินหลันก็เข้ามาอยู่ในบ้านตั้งหลายเดือนแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวดีเสียที”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสุขุม “ช่วงที่หลันเอ๋อร์เป็นเด็กนางเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งร่างกายจึงอ่อนแอเล็กน้อย ดังนั้นนางถึงเลือกที่จะเรียนรู้ทักษะด้านการรักษาอาการป่วย ซึ่งหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ บำรุงและปรับสภาพร่างกายจนค่อยๆ ดีขึ้นมาทีละนิดขอรับ ส่วนเรื่องทายาท ลูกเองก็คาดหวังอยู่เช่นกัน ทว่าด้วยคิดว่าหากมารดาร่างกายอ่อนแอคงมิเป็นผลดีต่อเด็กเท่าใดนัก…อดใจรออีกสักระยะจะดีกว่าขอรับ ไว้รอนางร่างกายแข็งแรงดีแล้วค่อยมีลูกก็ยังมิสาย และจะว่าไปแล้วท่านพี่ใหญ่แต่งงานมาก็เกือบปีแล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีทายาทสักคน ลูกจึงคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าใดนักหากลูกแซงหน้าท่านพี่ไปเสียก่อน…”
หลี่จิ้งเสียนทอดถอนลมหายใจ “ที่เจ้าพูดก็ถูก ข้าว่าพี่สะใภ้เจ้าก็คงร่างกายอ่อนแอไม่แพ้กัน น่าสงสารก็แต่ท่านย่าเจ้าที่วันๆ เอาแต่บ่นถึงหลานๆ ตระกูลหลี่เรามีครบถ้วนทุกอย่าง จะขาดก็แต่ลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลที่บางตาไปหน่อย”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ท่านพ่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก หากมิใช่ว่าหลิวอี๋เหนียงนาง…ท่านย่าก็อาจจะยังได้อุ้มหลานสักคนสองคนนะขอรับ!”
ประโยคดังกล่าวแทงใจดำหลี่จิ้งเสียนอย่างจัง นัยน์ตาของเขาฉายให้เห็นความเศร้าโศกขึ้นมาอย่างเด่นชัด เพื่อเรื่องนี้เขาต้องใช้ชีวิตตลอดทั้งปีอย่างไร้ชีวิตชีวา แต่ยังดีที่ร่างกายของอนุภรรยาหลิวค่อยๆ ขจัดพิษออกมาแล้ว ความชั่วร้ายของนางฮานผู้นี้ต้องมีสักวันหนึ่งในไม่ช้าก็เร็วที่จะได้คิดบัญชีรวบยอดกับนาง ระหว่างนี้คงได้แต่ปล่อยให้นางลอยนวลไปก่อนเพื่อรอคอยเวลาอันเหมาะสม!
การสนทนาของหมิงอวินในครั้งนี้บรรลุเป้าหมายที่ตนวางไว้แล้ว เขาจึงกล่าวพร้อมกับยกสองมือขึ้นคารวะ “นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว ลูกขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะขอรับเดี๋ยวจะได้ไปน้อมทักทายยามเย็นแด่ท่านย่าขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ!”
รอกระทั่งหลี่หมิงอวินเดินออกไปแล้ว หลี่จิ้งเสียนถึงวางถ้วยน้ำชาลงและขานเรียกอาจิน “ไปโถงจาวฮุย”
อาจินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหล่าเหยียไม่กลับไปโถงหนิงเฮ๋อก่อนหรือขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนชักสีหน้าเคร่งขรึม “ปากมาก”
หลี่จิ้งเสียนเข้ามายังโถงจาวฮุย หย่อนตัวลงนั่งไม่ทันไรนางฮานก็ตามเข้ามาติดๆ เช่นกัน เดิมทีหลี่จิ้งเสียนต้องการพูดคุยกับมารดาเรื่องความเลวระยำของลูกสะใภ้ตัวดีสุดที่รัก ทว่าเพิ่งเริ่มเปิดประเด็นไปได้ก็เป็นอันต้องหยุดปากไว้แต่เพียงเท่านั้นเสียก่อน
หญิงชราเห็นพวกเขาสองสามีภรรยามิได้มาโดยพร้อมเพรียงกัน อีกทั้งหลี่จิ้งเสียนยังมีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับต้องการพูดอะไรบางอย่าง ภายในใจของนางจึงพอคาดเดาได้ว่าทั้งสองคงมีปากเสียงกันอีกแล้ว ทันใดนั้นความกังวลใจก็ก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นับวันหลี่จิ้งเสียนยิ่งปฏิบัติต่อนางฮานอย่างเฉยเมยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี้มิใช่เรื่องดีเลย เป็นธรรมดาที่สตรีเรานี้ล้วนมีสักวันที่ต้องแห้งเหี่ยวโรยราและค่อยๆ สูญเสียการเป็นที่เอ็นดูรักใคร่ ทว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยาแล้วก็มิอาจทอดทิ้งกันไปได้ ทว่าหลี่จิ้งเสียนดูเหมือนไม่ได้คำนึงถึงสิ่งนี้เสียแล้ว
“ท่านแม่พักผ่อนช่วงกลางวันสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” นางฮานแสดงท่าคารวะแล้วจึงไปนั่งลงด้านข้างหญิงชรา
“สมกับที่อายุมากแล้ว ขยับนิดขยับหน่อยก็ปวดเมื่อยไปหมด” หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เลยให้แม่จู้มาช่วยบีบๆ นวดๆ ให้ข้าสักพัก หลังจากนั้นจึงค่อยรู้สึกเบาตัวขึ้นมาหน่อย”
แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทักษะการนวดของข้าน้อยนี้ล้วนเป็นการสอนจากเอ้อร์เส้าหน่ายนาย ซึ่งใช้การได้ไม่น้อยทีเดียวเชียวเจ้าค่ะ”
“พอสอนเจ้าจนเป็นงานแล้ว นางก็จะได้เบาแรงไปอีกเรื่องอย่างไรล่ะ” หญิงชรากล่าวตามด้วยรอยยิ้มเฉยเมย
“บ่าวสู้เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้หรอกเจ้าค่ะ บ่าวเป็นผู้ปรนนิบัติเหล่าไท่ไทโดยเฉพาะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังต้องปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียอีกนะเจ้าคะ! นอกจากนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังเป็นห่วงและใส่ใจท่านอย่างยิ่ง คอยถามไถ่ด้วยความห่วงใยทั้งเช้าและเย็น ให้ความใส่ใจเสียยิ่งกว่าบุตรแล้วแท้ๆ ของท่านเองอีกนะเจ้าคะ” แม่จู้กล่าวเชิงติดตลก
หญิงชราเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
นางฮานแทรกบทเพื่อเข้าร่วมวงสนทนาด้วยอีกครั้ง “หลั้วเหยียนและหลินหลันต่างก็ดีเยี่ยมทั้งนั้น ทว่าหากทำให้ท่านย่าได้อุ้มหลานๆ ในเร็วไวขึ้นหน่อยก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวหัวใจของหญิงชราก็ดำดิ่งลง หญิงชรากล่าวโดยเผยความรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเด่นชัด “นั่นสิ! หลั้วเหยียนแต่งเข้ามาก็เกือบปีแล้ว ยังไม่มีข่าวดีเสียที”
“วันนี้พวกเราพากันไปขอพรมาแล้ว บ่าวเชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องมีข่าวดีแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางฮานกล่าว “นอกจากพึ่งพระแม่กวนอิมแล้ว คงต้องขึ้นอยู่กับใจพวกนางเองด้วย เกรงก็แต่ว่าพวกนางยังเป็นสาวเป็นแส้จึงมิอาจเข้าใจความนึกคิดผู้อาวุโสอย่างพวกเราได้”
หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจ “ลูกๆ หลานๆ ต่างมีบุญวาสนาเป็นของตนเอง เหตุใดต้องกังวลใจเสียปานนี้”
นางฮานเผยรอยยิ้มอ่อน นางพอจะฟังออกว่าผู้เป็นสามีกำลังตำหนินางที่ปากมากไม่เข้าเรื่อง
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องเกี่ยวข้องกับทายาทผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลนี่สิถึงเป็นเรื่องใหญ่โตที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แล้วจะมิให้กังวลใจไปได้อย่างไรหรือ พวกเจ้าอายุยังน้อยจึงไม่ร้อนใจ ทว่าข้าแก่เฒ่าจนอายุล่วงเลยมาค่อนคนแล้ว จึงมิอยากนอนตายตาไม่หลับ”
เมื่อได้ยินผู้เป็นมารดากล่าวอย่างใส่อารมณ์ หลี่จิ้งเสียนจึงกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านแม่ยังสุขภาพร่างกายแข็งแรงประหนึ่งวัยแรกแย้ม จะต้องอายุยืนยาวได้อยู่เคียงคู่กับลูกๆ หลานๆ แน่นอน อย่าได้เป็นกังวลไปเลยนะขอรับ”
นางฮานรีบกล่าวเสริมทันควัน “เหล่าเหยียพูดถูกเจ้าค่ะ ท่านแม่ยังสุขภาพแข็งแรงแล้วยังจิตใจเบิกบานถึงเพียงนี้! อย่าว่าแต่อุ้มหลานๆ เลยเจ้าค่ะ ต่อให้เป็นหลานๆ ตัวจ้ำม่ำก็อุ้มไหวแน่นอนเจ้าค่ะ ไว้กลับไปข้าจะพูดคุยกับหลินหลันให้ดีๆ จะมัวกินยาป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ทำไมกัน มิสู้ถือโอกาสที่ยังเยาว์วัยรีบมีลูกหลายๆ คนหน่อยถึงจะเป็นการดีเจ้าค่ะ”
หญิงชราขมวดคิ้วทันทีทันใดแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่าอันใดนะ หลินหลันกินยาป้องกันการตั้งครรภ์หรือ”
นางฮานแสร้งทำทีปิดปากเสมือนนางไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดออกมา “เปล่าเจ้าค่ะ ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ”
หญิงชราชักสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าอย่าได้ปิดบังข้า ข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจ หลั้วเหยียนร่างกายอ่อนแอจึงไม่ตั้งครรภ์นั่นมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ทว่าหลินหลันนั้น ข้าเห็นนางแข็งแรงดี แต่เหตุใดถึงไม่มีวี่แววบ้างเลย ที่แท้เป็นเพราะกินยาป้องกันการตั้งครรภ์นี่เองหรือ ช่างเหลวไหลสิ้นดี หากนางไม่ต้องการให้กำเนิดบุตรแล้วจะแต่งเขามาทำอันใดหรือ”
“คู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวคงมีความนึกคิดเป็นของพวกเขาเองแหละเจ้าค่ะ” นางฮานกล่าวเสียงอ่อน
“มีความนึกคิดอันใดหรือ ยังมีเรื่องอันใดที่สำคัญกว่าการมีบุตรอีก มิได้การ เรื่องนี้ต้องจัดการเสียหน่อยจะปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจไปมิได้ ข้าละมิเคยเห็นสะใภ้คนไหนไม่ยินยอมมีลูกแล้วยังกล้าดีกินยาป้องกันการตั้งครรภ์อันใดนั่นอีก” หญิงชรากล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองใจ
หลี่จิ้งเสียนจ้องเขม็งใส่นางฮานและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามิรู้เรื่องราวภายในก็อย่าได้เที่ยวปากมากพูดจาเพ้อเจ้อ พานให้ท่านแม่เป็นทุกข์ใจอยู่เรื่อย”
หลังจากนั้นหลี่จิ้งเสียนจึงหันไปพูดกับผู้เป็นมารดา “เรื่องนี้ลูกรู้ดีขอรับ ถึงจะเห็นว่าหลินหลันดูแข็งแรงดีทว่าตามจริงแล้วร่างกายของนางก็อ่อนแอเช่นกัน เมื่อช่วงวัยเด็ก ด้วยนางมีร่างกายอ่อนแอจึงเลือกที่จะเรียนรู้ศาสตร์ทางด้านการรักษาอาการป่วย หลายปีมานี้จึงได้บำรุงและดูแลร่างกายมาโดยตลอด หมิงอวินนั้นคำนึงว่าหากร่างกายมารดาอ่อนแอคงเป็นการส่งผลกระทบต่อลูกเช่นกัน ซึ่งก็คงไม่ต่างจากภรรยาของจิ้งปั๋วโหว์ แม้ว่าหลินหลันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาเด็กจนคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ทว่าเด็กผู้นั้นก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง มิได้แข็งแรงเฉกเช่นผู้อื่นเขา หลินหลันเป็นหมอนางจึงเข้าใจตนเองเป็นอย่างดีว่าช่วงใดถึงเหมาะสมแก่การมีบุตรนะขอรับ ”
หญิงชราสบถ ฮึ อย่างอึดอัดใจ “ข้ากลับมองไม่ออกเลยว่านางเป็นคนร่างกายอ่อนแอกับเขาด้วย”
แม่จู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งอายุเท่านี้เองเจ้าค่ะ ท่านอดใจรออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ”
“มิใช่อายุน้อยๆ แล้ว นี่ก็ล่วงเลยวัยสิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ยามที่ข้าอายุสิบเจ็ดก็มีจิ้งเหวินแล้วด้วยซ้ำ” ถึงอย่างไรหญิงชราก็ยังคงรู้สึกไม่พึงพอใจอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวและถอนหายใจออกมา
เดิมทีนางฮานคิดว่าเรื่องที่หลินหลันกินยาป้องกันการตั้งครรภ์ ผู้เป็นสามีและแม่สามีของนางไม่เคยรับรู้มาก่อน คาดไม่ถึงว่าผู้เป็นสามีไม่เพียงแต่รับรู้เรื่องราวแต่ยังช่วยออกปากปกป้องหลินหลัน จึงส่งผลให้แผนการของนางกลับตาลปัตรอีกครั้ง นางถึงกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดต่อไปดี
แม่เจียงเห็นสถานการณ์ดังกล่าวจึงส่งเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายยังเยาว์วัย ทว่ามิอาจแบกรับภาระการให้กำเนิดทายาทเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล มิสู้รับนางบำเรอให้เอ้อร์เส้าเหยียสักห้องล่ะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียอายุมิใช่น้อยๆ แล้วเช่นกัน ช่วงวัยนี้คนอื่นเขาต่างก็เป็นพ่อคนกันแล้วเจ้าค่ะ”
แม่จู้แอบยิ้มเยาะอยู่ลึกๆ ภายในใจ ทำมาพูดเป็นเช่นนี้ คุณชายใหญ่อายุมากกว่าคุณชายรองถึงสองปี! เหตุใดถึงไม่ร้อนใจแทนคุณชายใหญ่หรือ
หลี่จิ้งเสียนส่งเสียงตะคอกทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหวอันใด หลานของตระกูลหลี่เราต้องถือกำเนิดจากภรรยาอย่างชอบธรรมเท่านั้น อย่าเอานางบำเรอมาสร้างความไม่สงบสุขโดยไม่จำเป็นอีก”
แม่เจียงถูกผู้เป็นนายใหญ่ตะคอกใส่อย่างดุดัน นางจึงสะดุ้งเฮือกด้วยความเกรงกลัวและได้แต่สงบปากสงบคำเอาไว้
อย่างไรก็ตามแม่เจียงยังคงได้ยินเสียงก่นด่าของผู้เป็นนายอีกระลอก “ก็เพราะมีคนอย่างพวกเจ้าที่วันๆ กลัวว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายจึงพยายามเป็นตัวตั้งตัวตีก่อเรื่องเลวทรามสารพัด ทำให้ภายในบ้านปั่นป่วนไม่สงบสุข ข้าว่าเจ้าเองก็ควรไสหัวตามแม่เติ้งออกไปจากจวนเสีย ปัญหาในบ้านจะได้น้อยๆ ลงไป”
แม่เจียงสะดุ้งเฮือกอีกครั้งตามด้วยคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “เหล่าเหยียอย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยนะเจ้าคะ เป็นบ่าวเองที่มิได้คิดให้รอบคอบชั่วขณะจึงพูดจาเหลวไหลออกไป บ่าวมิกล้าแล้วเจ้าค่ะ”
นางฮานได้ยินดังกล่าวถึงกับรู้สึกตึงเครียดอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าผู้เป็นสามีของนางจะเอนเอียงไปทางคู่สามีภรรยาหลี่หมิงอวินและหลินหลันนั่นอย่างเต็มตัวเสียแล้ว
หญิงชราตวัดสายตามองไปที่บุตรชายของตน “เจ้าจะโมโหอะไรเพียงนั้นหรือ แม่เจียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยประโยคเดียวเท่านั้นเอง”
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้มสะใจ “ความหมายของแม่เจียงที่ให้หมิงอวินรับนางบำเรอสักคนก็เพื่อจะได้ทำให้หลินหลันเร่งรีบขึ้นมาน้อย มิเช่นนั้นก็คงได้เอ้อระเหยลอยชายกันไปเรื่อย แล้วพวกเราต้องรอไปถึงเมื่อใดกันหรือ”
หลี่จิ้งเสียนไม่กล้าพูดด้วยน้ำเสียงเอะอะอีก ทำได้เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเอาเวลาไปสนใจหมิงเจ๋อเถอะ! เดือนหน้าหมิงเจ๋อก็ต้องเข้าร่วมการสอบแล้ว ช่วยทำเรื่องยุ่งเหยิงให้มันน้อยๆ ลงหน่อย ทำให้บ้านนี้ใสสะอาดสงบสุขเสียบ้าง เรื่องของหมิงอวินวันหน้าวันหลังเจ้ามิจำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจไป หากก่อเรื่องเหลวไหลสกปรกๆ ขึ้นมาอีก เจ้าก็เตรียมตัวไสหัวกลับบ้านเก่าไปได้เลย”
หญิงชราพอจะฟังออกถึงเนื้อความที่ดูไม่ปกติในนั้น จึงเอ่ยถามนางฮาน “แม่เติ้งทำความผิดอันใดแล้วหรือ”
ขณะที่นางฮานเตรียมกล่าวตอบ หลี่จิ้งเสียนกลับกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “แม่เติ้งดูแลจัดการเรื่องฝ่ายห้องครัวไม่ดีพอขอรับ นางมักจะอาศัยนามของนายหญิงใหญ่ออกคำสั่งโดยพลการ เพื่อก่อเรื่องเลวทรามต่ำช้า ลูกจึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะปล่อยให้บ่าวรับใช้มาทำร้ายชื่อเสียงของผู้เป็นนาย จึงขับไล่นางออกไปขอรับ” แล้วหันไปกล่าวกับนางฮาน “วันหน้าวันหลังเจ้าจะเลือกใช้คนก็ช่วยละเอียดรอบคอบหน่อย อย่าได้เลือกประเภทที่สักแต่จะก่อปัญหาเช่นนี้อีก” เขาจ้องตาเขม็งใส่แม่เจียงที่อยู่ข้างกายนางฮานโดยถือว่าเป็นการแจ้งเตือน
นางฮานเข้าใจถึงความนัยที่ผู้เป็นสามีต้องการสื่อออกมา ที่ผู้เป็นสามีเอ่ยว่าแม่เติ้งออกคำสั่งตามอำเภอใจโดยอาศัยชื่อของนาง นั่นเท่ากับว่าไม่อยากซักไซ้ไล่ความเพื่อเอาผิดนาง นางฮานจึงกล่าวอย่างอ่อนน้อมขึ้นในทันที “จริงอย่างที่ท่านพี่ตักเตือนเจ้าค่ะ เป็นน้องเองที่หละหลวมเกินไป น้องก็คิดจะจัดการนางตั้งนานแล้ว เพียงแต่นึกถึงยามที่นางเคยขยันขันแข็งใช้งานได้…เฮ้อ! สุดท้ายก็เป็นตัวนางเองที่ไม่รู้จักประพฤติในทางที่ถูกต้องเหมาะสม”
แม้ว่าหญิงชราไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทว่าในเมื่อบุตรชายได้สั่งสอนลูกสะใภ้ของตนแล้ว นางก็ควรเห็นแก่หน้าบุตรชายของตนเองเสียหน่อย อีกอย่างนางฮานเองก็รับผิดแต่โดยดี นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องซักไซ้ไล่เรียงใดๆ ให้มากความ จะได้ไม่เป็นการจุดชนวนปัญหาขึ้นมาอีกระลอก นางจึงเลือกหันเหหัวข้อสนทนา “เหตุใดหมิงเจ๋อกับหมิงอวินยังไม่มาเสียที”