ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 151 ตรวจอาการป่วย
สีหน้าของหลินหลันซีดเซียวภายในช่วงเวลาอันสั้น บนหน้าผากมนปรากฏหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ คิ้วเรียวทั้งสองขมวดเข้าหากันจนเกิดเป็นปมระหว่างกลาง
หยินหลิ่วกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นี่ท่านทำอันใดหรือเจ้าคะ”
หลินหลันถอนเข็มเงินที่อยู่บนหน้าอกก่อนจะยกมือขึ้นโบกปัดอย่างอ่อนแรง “มิเป็นไร ข้าเพียงแค่ฝังเข็มเพื่อปิดกั้นเส้นชีพจรหัวใจของตนเองไว้ชั่วคราว”
“ทว่า…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ริมฝีปากของท่านซีดเผือดไปหมดแล้วนะเจ้าคะ” หยินหลิ่วเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น หยินหลิ่วช่วยไปตักน้ำอุ่นมากะละมังหนึ่งทีสิ ข้าต้องการล้างหน้าล้างตา” หลินหลันคว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างไร้เรี่ยวแรง การใช้เข็มเงินปิดกั้นเส้นชีพจรหัวใจ ทำให้ชีพจรเต้นช้าลงและอ่อนแรง เมื่อก่อนเคยเห็นแต่ในตำราแพทย์ ส่วนการปฏิบัติจริงนี่คงต้องนับว่าเป็นครั้งแรก อาการผิดปกติหลังลงมือเพิ่งเริ่มต้นขึ้นแล้วจะค่อยๆ หายไปทีละนิด ยังดีที่ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้จะอยู่เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ไม่ว่าการคาดเดาของตนเองถูกต้องหรือไม่ ป้องกันไว้ก็ย่อมดีกว่าแก้ จะปล่อยให้แม่มดชราจับผิดนางไม่ได้เป็นอันขาด
ภายในโถงจาวฮุย นางฮานพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ท่านแม่เจ้าคะ ครั้งนี้ท่านคงสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะ! ก็ว่าแล้วระยะนี้หลั้วเหยียนสีหน้าดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนก้มหน้าและเผยรอยยิ้มจางๆ ภายใต้ท่าทางอ่อนโยนและเอียงอาย
หญิงชราเผยรอยยิ้มหน้าชื่นตาบาน “สบายใจๆ ทว่าอย่างไรก็ตามยังดูผอมไปหน่อย จำเป็นต้องบำรุงให้มากๆ เข้าไว้”
“ใช่เลยเจ้าค่ะ ลูกให้หมอจ่ายยาไว้แล้ว พวกเราก็ยึดตามใบจ่ายยาของหมอช่วยปรับสมดุลให้หลั้วเหยียน ต้องบำรุงให้เปล่งปลั่งอวบอิ่มถึงจะดีเจ้าค่ะ จะได้คลายความกังวลของแม่ยายที่เข้าใจไปว่าอยู่บ้านเราแล้วไม่สุขสบาย เมื่อครั้งที่พบเจอกันครั้งก่อนยังเล่นเสียข้าทำตัวไม่ถูกทีเดียวเชียว” นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ของลูกนิสัยตรงไปตรงมา ทว่าทุกคำพูดล้วนมิได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด ขอท่านแม่อย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นิสัยของแม่ยายมีหรือข้าจะไม่รู้ ล้วนมิได้มีเจตนาใดๆ ทั้งนั้น การที่ท่านแม่ของเจ้าจะเป็นห่วงบุตรสาวของตนเองหาใช่เรื่องผิดไม่ แล้วข้าจะถือสาได้อย่างไรกัน เจ้าเองก็ล้มป่วยมาตั้งหลายเดือน ซึ่งข้ามองเห็นอยู่ในสายตาและเป็นกังวลอยู่ภายในใจมาโดยตลอด ในที่สุดยามนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ข้าถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย”
หญิงชราเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “หลั้วเหยียนเด็กคนนี้ อ่อนโยนเรียบร้อย มองดูก็มีแต่จะทำให้คนรักใคร่เอ็นดู”
ขณะพูดคุยอยู่นั้น สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า”
รอยยิ้มของหญิงชราหยุดชะงักไปก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
แม่เจียงกล่าวทันควัน “เกือบหนึ่งทุ่มแล้วเจ้าค่ะ”
“นางคงยุ่งมากสินะ ถึงได้ไม่เห็นแม้แต่เงาตลอดทั้งวันจนมืดค่ำปานนี้” หญิงชรากล่าวห้วนๆ ท้ายที่สุดนางก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการที่หลินหลันเปิดร้านขายยา เป็นสะใภ้บ้านคนอื่นเขาแท้ๆ แต่กลับวิ่งเข้าวิ่งออกทุกวัน ไม่อาจปรนนิบัติพ่อตาแม่ยายและปรนนิบัติสามีให้ดีๆ นี่มันได้เรื่องที่ไหนกัน
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ร้านยาของหลินหลันจะเปิดทำการต้นเดือนสามนี้แล้วเจ้าค่ะ ซึ่งระยะนี้ก็คงยุ่งวุ่นวายหน่อย”
หญิงชรารู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำว่าร้านยาของหลินหลัน ร้านยานี่กลายเป็นของหลินหลันไปได้อย่างไรกันหรือ หากปราศจากการสนับสนุนของตระกูลหลี่ ร้านยานี้นางจะมีปัญญาเปิดได้สำเร็จหรือ
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “น้องสะใภ้มีความสามารถจริงๆ เจ้าค่ะ”
หญิงชราสบถ ฮึ “เป็นสะใภ้บ้านผู้อื่น ต้องกตัญญูต่อพ่อตาแม่ยาย เชื่อฟังสามีและคอยอบรมเลี้ยงดูบุตรถึงจะถูกต้อง ต่อให้มีความสามารถแล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือ”
หลินหลันเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าแล้วทยอยคารวะให้ทีละคน หลังจากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พอลูกกลับมาก็ตรงไปยังโถงหนิงเฮ๋อทันที แต่คาดไม่ถึงว่าท่านแม่จะมาที่ท่านย่าแล้ว ถึงได้รีบร้อนตามมาเจ้าค่ะ”
นางฮานเอ่ยถามอย่างใส่ใจ “เรื่องในร้านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
หลินหลันคารวะอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าค่ะ ทั้งหมดจัดการเรียบร้อยแล้ว โดยเตรียมเปิดทำการในวันที่หกเดือนสามเจ้าค่ะ”
“ต่อให้ยุ่งเท่าใดเจ้าก็ต้องระมัดระวังสุขภาพให้มากๆ ข้าเห็นเจ้าสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก” นางฮานกล่าวอย่างห่วงใย
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “วันนี้ยุ่งวุ่นวายไปหน่อยเจ้าค่ะ”
“เจ้าเองมิจำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายด้วยตนเองไปเสียทุกเรื่องหรอก สั่งการให้ผู้ที่อยู่ใต้คำสั่งไปทำให้ก็ย่อมได้ อย่าทำให้ตนเองเหนื่อยเลย” นางฮานแสดงความเป็นห่วงเป็นใยผ่านทางสีหน้าได้อย่างไร้ที่ติ
หญิงชรากล่าว “เอาละ อย่ามัวยืนอยู่ นั่งลงพูดคุยกันเถอะ!”
สาวใช้หยิบเก้าอี้ตัวกลมไร้พนักพิงมาวางข้างนายหญิงสะใภ้ใหญ่
หลินหลันกล่าวขอบคุณแล้วหย่อนตัวลงนั่ง
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยเสียงบางเบา “สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีเลยจริงๆ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หลินหลันฉีกยิ้มเจื่อน “มิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะ พักผ่อนสักประเดี๋ยวก็หายดีแล้ว”
“วันนี้เชิญหมอมาตรวจดูอาการป่วยของหลั้วเหยียนพอดี ได้ยินหมิงอวินเอ่ยว่าร่างกายเจ้าก็ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก แม้ว่าตัวเจ้าเองก็เป็นหมอ ทว่าลองฟังคำแนะนำของหมอท่านอื่นไว้บ้างก็ดีเช่นกัน ชุนซิ่ง ไปเชิญหมอเข้ามาทีสิ ให้เขาตรวจดูเอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียหน่อย” นางฮานกล่าวสั่งการ
หลินหลันแสยะยิ้มในใจ ที่แท้นางก็คาดเดาไว้ไม่ผิดพลาด แม่มดชราพูดให้ดูเหมือนว่านางอาศัยประโยชน์ของพี่สะใภ้ เลยได้ตรวจดูอาการป่วยไปด้วย ทว่าหากเป็นเช่นนี้จริง เมื่อหมอตรวจดูอาการพี่สะใภ้ใหญ่เรียบร้อยก็น่าจะกลับไปตั้งนานแล้ว เหตุใดต้องรอให้เรียกหาอยู่ที่นี่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นการเรียนเชิญหมอมาเพื่อตรวจดูร่างกายนางว่ายังไม่เหมาะสมที่จะตั้งครรภ์ในยามนี้ตามที่กล่าวอ้างไว้หรือไม่ โชคดีที่นางเตรียมพร้อมมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มิต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ! ลูกเองก็กำลังรับประทานยาปรับสมดุลอยู่ตลอดเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนน้อม
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้ากินยามาโดยตลอด เพียงแต่กินยาผิดประเภทสินะ จะอย่างไรตามให้หมอตรวจดูเสียหน่อย มิใช่ว่ากินยาจนเกิดอาการผิดปกติอันใดขึ้นมาอีก”
หญิงชราค้างคาใจต่อเรื่องการรับประทานยาป้องกันการตั้งครรภ์ของหลินหลัน มีช่วงหนึ่งที่ยังคิดว่าหลินหลันแม้จะมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย นอกจากนั้นยังรู้จักต่อปากต่อคำ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นผู้กตัญญูรู้คุณ ยามนี้พอมาคิดๆ ดู เห็นทีว่าคงมิใช่เสียแล้ว
หลินหลันหาได้แยแสไม่ นางเผยรอยยิ้มจางๆ เห็นทีว่าหญิงชราคงมีอคติต่อนางใหญ่หลวงพอตัว
หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ชุนซิ่งก็พาหมอเข้ามา เป็นหมอวัยชราท่านหนึ่ง
“หมอเจียง เจ้าช่วยตรวจสุขภาพสะใภ้รองของข้าทีสิ” นางฮานกล่าวอย่างใจเย็น
หมอเจียงยกสองมือขึ้นระดับหน้าอกในท่าคารวะ แล้วจึงหยิบแท่นรองสำหรับการตรวจวัดชีพจรออกมา ระหว่างนั้นชุนซิ่งรับหน้าที่เดินเข้ามาเรียนเชิญนายหญิงสะใภ้รองให้ไปรับการตรวจจับชีพจร
หลินหลันไม่บ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด นางเดินเข้าไปภายใต้อากัปกิริยาผ่อนคลายก่อนจะยื่นแขนขวาออกไปหลังหย่อนตัวลงนั่ง
“ท่านหมอเจียง รบกวนท่านด้วยเจ้าค่ะ ตามจริงข้าเองก็เป็นหมอเช่นกัน” หลินหลันเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง
หมอเจียงมองมาที่หลินหลันอย่างหวั่นใจ โดยมีท่าทีระมัดระวังขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
หมอเจียงขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีหลังจับชีพจรของหลินหลัน ระหว่างนี้มือข้างหนึ่งของเขากำลังลูบเคราที่ยาวจนถึงระดับหน้าอก อีกข้างหนึ่งกำลังใช้สองนิ้วกดจับชีพจรโดยออกแรงหนักขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“อาการป่วยของข้าเป็นผลพวงจากครรภ์มารดา และด้วยเหตุนี้จึงเคารพนับถือหมอผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านหนึ่งเป็นอาจารย์” หลินหลันกล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านหมอเจียงรู้สึกว่าชีพจรข้าทั้งเล็กทั้งลื่นและพบว่าชีพจรอยู่ลึกอีกทั้งยังฝืดด้วยใช่หรือไม่”
หมอเจียงชายตามองไปยังนายหญิงใหญ่ประจำบ้านซึ่งนั่งอยู่ด้านบน หลังครุ่นคิดอย่างหนักใจจึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “หลังการสังเกตอาการชีพจรของลูกสะใภ้ท่านจากข้างซ้าย ปรากฏว่ามีอาการของชีพจรพร่อง[1]และชีพจรฝืด[2] เมื่อกดลงไปจึงสัมผัสได้ถึงความอ่อนแรง ซึ่งส่งผลต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอและก่อให้เกิดอาการชีพจรฝืดตามมา หากข้าวินิจฉัยไม่ผิดไป ปกติแล้วลูกสะใภ้ท่านจะมีอาการใจสั่นและแน่นหน้าอกอยู่บ่อยครั้ง”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ทักษะการแพทย์ของท่านหมอเจียงล้ำเลิศยิ่งนัก คำวินิจฉัยของท่านไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
นางฮานรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย “ข้าเห็นลูกสะใภ้ข้าแต่ละวันก็ดูแข็งแรงดี เหตุใดถึงมีอาการเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจไม่พอไปเสียได้”
หมอเจียงแอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ นายหญิงใหญ่บ้านนี้ก็จริงๆ เลย ลูกสะใภ้ของตนเป็นหมอแท้ๆ แล้วยังให้เขามาตรวจจับชีพจรงานง่ายๆ เช่นนี้อีก ซึ่งเรื่องเช่นนี้จะให้หลอกลวงกันไปได้อย่างไรกัน นอกจากนั้นยังเห็นได้ชัดว่าลูกสะใภ้รองของนางท่านนี้เข้าใจอาการป่วยของตนเองเป็นอย่างดี เขาจึงไม่ขอเอาชื่อเสียงของตนเองมาทุบทิ้งต่อให้ประเคนเงินทองมากมายเพียงใดก็ตาม ดังนั้นจึงกล่าวด้วยความเสียดายอยู่ลึกๆ “เกรงว่าคงเป็นอาการที่ติดมาตั้งแต่ในครรภ์มารดา แม้ว่าจะผ่านการบำรุงอย่างสม่ำเสมอ ทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์เสียทีเดียวขอรับ”
ก่อนหน้านี้หญิงชราคิดว่าหลินหลันหลอกลวงพวกเขา จึงคาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะมีอาการป่วยจริงๆ นางอดถามด้วยความกังวลใจไม่ได้ “เช่นนั้น…จะมีผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่”
หมอเจียงกล่าว “เกรงว่าช่วงนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก”
หญิงชราเผยสีหน้ามืดมดลง คำว่าผิดหวังสลักอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน
หลินหลันเห็นดังสถานการณ์ จึงกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ทำให้ท่านย่าและท่านแม่เป็นกังวลเสียแล้ว เป็นลูกเองที่มิได้เรื่องเจ้าค่ะ”
นางฮานเอ่ยถามซักไซ้ “แล้วรักษามิได้หรือ”
หลินหลันรีบกล่าวขึ้นทันควันในขณะที่หมอเจียงกำลังลังเลใจ “ท่านอาจารย์ของลูกเขียนวิธีการรักษาให้ลูกไว้แต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาลูกก็บำรุงร่างกายตามวิธีนั้นมาโดยตลอด ซึ่งหลายปีมานี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ท่านแม่มิต้องเป็นกังวลไปนะเจ้าคะ”
หมอเจียงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อาการป่วยทางชีพจรหัวใจนี้รักษาได้ยากที่สุดก็ว่าได้ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน ในเมื่อลูกสะใภ้รองบ้านนี้มีวิธีการเป็นของตนเองอยู่แล้ว เขาก็ไม่ต้องพลอยลำบากใจไปด้วยเช่นกัน
นางฮานผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นางตวัดสายตามองไปที่หลินหลันอีกครั้ง ที่ผ่านมาเห็นนางมีสีหน้าค่าตาสดใสเปล่งปลั่งมาโดยตลอด เคยมีลักษณะอาการป่วยที่ไหนกัน พอมาวันนี้กลับสีหน้าซีดเซียว นางฮานด้วยไม่ยอมตายใจจึงกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง “สาเหตุเกิดจากเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่ ถึงก่อให้เกิดผลเสียต่อเลือดลม”
หมอเจียงลูบเคราพลางกล่าวขึ้น “น่าจะมิใช่ขอรับ ทว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยนายหญิงน้อยมีอาการป่วยนี้ ก็มิควรเหน็ดเหนื่อยจนเกินไปขอรับ”
นางฮานและหญิงชราต่างตกอยู่ในภาวะเงียบงันไปชั่วขณะ เนิ่นนานพอตัวกว่านางฮานจะกล่าวขึ้น “ขอบใจท่านมาก หมอเจียง ชุนซิ่ง ช่วยไปส่งท่านหมอเจียงที”
หมอเจียงยกสองมือขึ้นคารวะแล้วถอยออกไป
หญิงชรากล่าวอย่างหนักใจ “ในเมื่อเจ้าร่างกายไม่สบายก็รีบไปกลับไปพักผ่อนเถอะ แล้วอีกเดี๋ยวก็มิต้องมาคารวะแล้ว”
หลินหลันกล่าวเชิงปลอบใจ “ท่านย่ามิจำเป็นต้องเป็นห่วงหลานนะเจ้าคะ ท่านอาจารย์ของหลานเคยเอ่ยไว้ว่าหากยืดวิธีการบำรุงรักษาตามที่เขาให้ ก็ไม่มีอันใดร้ายแรงแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชราคลายสีหน้ากังวลบนใบหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังกล่าว “ไปพักผ่อนเถอะ!”
หลินหลันกล่าว “เช่นนั้นหลานขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
หลังหลินหลันเดินจากไป หญิงชราทอดถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น “กลับกลายเป็นข้าปรักปรำนางไปก่อนหน้านี้ ยังดีที่โรคนี้มิใช่ว่ารักษาให้หายมิได้ เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่ายามนี้หมิงอวินยังคงไม่อาจมีลูกได้…เฮ้อ…”
นางฮานทำทีท่าเสียดายเช่นกันแล้วกล่าวเสริม “ก็นั่นสิเจ้าคะ เหล่าเหยียตั้งหน้าตั้งตารอวันจะได้อุ้มหลานๆ อยู่แท้! ร่างกายของหลินหลันก็ดันยังไม่แข็งแรงดี ยามนี้ต้องเปิดร้านขายยาอีก ยุ่งวุ่นวายทั้งภายในภายนอก แล้วนี่จะรักษาให้หายดีเร็วไวได้อย่างไรกันหรือ แล้วนี่จะมิเท่ากับข้างกายหมิงอวินก็จะขาดคนคอยดูแลไปด้วยหรือเจ้าคะ”
แม่เจียงเกิดความนึกคิดดีๆ บางอย่างทันทีที่ได้ยินดังกล่าว “นั่นสิเจ้าคะ! เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะเปิดร้านยาแล้ว คงไม่มีเวลาคอยดูแลเอ้อร์เส้าเหยียแล้วกระมังเจ้าคะ เช่นนี้เอ้อร์เส้าเหยียก็จะขาดคนคอยอยู่เคียงข้างกายสินะเจ้าคะ!”
นางฮานเข้าใจความหมายในประโยคที่แม่เจียงเน้นย้ำ เมื่อเป็นอันเข้าใจได้จึงเอ่ยขึ้น “คงเป็นอย่างที่แม่เจียงพูดไม่มีผิด อย่าว่าแต่ร่างกายหลินหลันไม่แข็งแรงเลย ต่อให้แข็งแรงดี เมื่อเปิดร้านขายยาแล้วก็คงไม่มีดูแลเรื่องภายในบ้านแน่นอน ถ้าหากหมิงอวินมีคนรู้ใจคอยปรนนิบัติข้างกายสักคน เช่นนั้นก็คงสมบูรณ์แบบทั้งสองฝ่าย พวกเราก็จะได้มิต้องเป็นกังวลใจไปด้วยเช่นกัน”
หญิงชราครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม “เจ้าก็ช่วยดูๆ หน่อยแล้วกันว่าพอมีผู้ใดเหมาะสมให้เลือกบ้างหรือไม่”
นางฮานดีอกดีใจ อย่างไรก็ตามนางยังคงกล่าวโดยไม่เผยสีหน้าอาการเกินหน้าเกินตา “พอท่านแม่เอ่ยขึ้นมา ลูกกลับนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้เจ้าค่ะ”
หญิงชราเอ่ยถาม “ใครกันหรือที่เจ้าพูดถึง”
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่เจ้าคะ ในบ้านเราก็มีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ”
หญิงชราฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีทันใด “เจ้าหมายถึงอวี๋เหลียนหรือ”
“ข้าเห็นว่าอวี๋เหลียนเด็กคนนี้รูปลักษณ์งดงามทีเดียว นิสัยใจคอก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยและอ่อนโยน พี่สะใภ้ใหญ่พานางมาเมืองหลวงก็เพราะอยากให้ลูกช่วยอวี๋เหลียนจัดหาคู่ครองดีๆ ให้สักคน ซึ่งว่ากันตามจริง เด็กดีๆ เช่นนี้ส่งไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นเขา ข้าเองก็อดเสียดายมิได้เจ้าค่ะ! มีคำกล่าวที่ว่าสิ่งดีๆ อย่าเที่ยวโยนออกไปให้ผู้อื่นเขา และด้วยภูมิหลังของนาง หากจับไปเป็นอนุภรรยาของหมิงอวินก็มินับว่าไม่ยุติธรรมสำหรับนางแต่อย่างใดเจ้าค่ะ”
หญิงชราพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อได้ฟัง “เจ้าไปถามไถ่ความเห็นของอวี๋เหลียนก่อนแล้วกัน”
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี๋เหลียนเด็กคนนี้รู้ประสีประสามากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ อย่างไรนางก็คงไม่คัดค้านแน่นอน ลูกกลับเป็นกังวลว่าหลินหลันจะไม่พึงพอใจเสียมากกว่าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็บอกให้นางอยู่เฉยๆ เข้าไว้ รีบยุติการเปิดร้านขายยาอะไรนั่นเสีย จะได้หันมาจดจ่ออยู่กับบ้านคอยปรนนิบัติสามี มิฉะนั้นจะเท่ากับว่าปล่อยให้หมิงอวินเป็นฝ่ายได้รับความไม่ยุติธรรมหรอกหรือ” หญิงชรากล่าวอย่างไม่พึงพอใจ
ติงหลั้วเหยียนที่ได้ยินดังกล่าวแอบส่ายศีรษะอย่างหนักใจ แม่สามีวางแผนเช่นนี้ มิเท่ากับเป็นการสร้างความลำบากใจให้หมิงอวินหรอกหรือ มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าความรักที่หมิงอวินมีต่อหลินหลันลึกซึ้งหนักแน่นเพียงใด หากหมิงเจ๋อมีได้สักครึ่งหนึ่งของหมิงอวิน นางก็คงไม่ต้องเป็นภรรยาที่ทนทุกข์ทรมานปานนี้
แม่จู้รู้สึกหนักอกหนักใจ ก็พอเข้าใจได้ว่านายหญิงชรารักและเป็นห่วงหลานชายของตนเอง เพียงแต่ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป มิเท่ากับเป็นการสร้างความทุกข์ให้หลานสะใภ้รองของตนหรอกหรือ มีสตรีที่ไหนกันจะชื่นชอบให้สามีของตนเองรับอนุภรรยาเข้ามาอยู่ด้วย
[1] ชีพจรพร่อง (虚脉)วัดได้จากการสัมผัสทั้งสามระดับ จะรู้สึกว่าไม่มีกำลัง เมื่อสัมผัสเบา รู้สึกไม่มีแรง เล็ก แต่พอกดลึกแล้วหายไป
[2] ชีพจรฝืด (涩脉)การเต้นของชีพจร เมื่อแตะนิ้วมือลงไปที่ชีพจร การเต้นของชีพจรเต้นช้าแบบหนืดๆ คล้ายไม่ไหล แสดงว่าผู้ป่วยนั้นมีโลหิตจาง