ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 153 โรคระบาด
พี่ชายของหลินหลันเลือกไปค่ายทหารอย่างไม่ลังเลใจ ซึ่งนางเองก็พอจะรู้ความปรารถนาตลอดหลายปีที่ผ่านมาของพี่ชายอยู่แล้วเช่นกัน เดิมทีหากไม่ใช่เพราะผู้เป็นมารดาไม่ยินยอมอย่างหัวเด็ดตีนขาด พี่ชายก็คงเข้าร่วมกองทัพไปนานแล้ว ยามนี้พี่สะใภ้และหลานชายมีตระกูลเยี่ยดูแล ซึ่งก็ถือว่านางมีที่พักพิงแล้ว เมื่อพี่ชายไม่มีภาระที่ต้องแบกรับ จิตใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมาดปรารถนาจึงปะทุขึ้นมาอีกครา
ในเมื่อมีหนิงซิ่งรับปากว่าจะช่วยปกปักษ์ดูแลพี่ชายให้ จึงไม่เหมาะสมที่หลินหลันจะเอ่ยปากคัดค้านเท่าใดนัก จึงทำได้เพียงให้พี่ชายได้ทำในสิ่งที่ตนเลือก
ไม่ทันไรก็ถึงเดือนสามวันที่สาม วันแห่งฤดูกาลใบไม้ผลินำมาซึ่งทุ่งหญ้าที่งอกงามสดใส ดอกไม้ใบไม้ผลิบานหลากสีสัน ในเมืองหลวงช่วงวันที่สามเดือนสามมีธรรมเนียมปฏิบัติคือการออกไปเดินเล่นในชนบทเพื่อเที่ยวชมธรรมชาติ เดิมทีหมิงอวินกล่าวไว้ดิบดีแล้วว่าต้องการพาหลินหลันออกไปเดินเล่นข้างนอก ทว่าจู่ๆ เมื่อคืนแม่มดชราก็เอ่ยขึ้นมาว่าให้หลินหลันและหมิงอวินพาอวี๋เหลียนไปด้วย โดยเอ่ยว่าอวี๋เหลียนมาอยู่เมืองหลวงก็หลายเดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปพบเห็นผู้คนและบรรยากาศของเมืองหลวงเลย จึงไม่เคยได้สัมผัสทิวทัศน์ที่แท้จริงของเมืองหลวง
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสุขุม “พรุ่งนี้ลูกนัดพบปะสหายไว้เรียบร้อยแล้ว การพาหลินหลันไปด้วยก็มะรุมมะตุ้มพอแล้ว หากให้พาไปอีกคน ก็คงมีแค่สาวใช้ที่คอยติดตามไปปรนนิบัติเท่านั้นขอรับ”
หลินหลันมองไปยังกล้ามเนื้อบนใบหน้าของแม่มดชราที่กำลังกระตุกเล็กน้อย นางไตร่ตรองความนึกคิดของแม่มดชรา คิดจะยัดเยียดคนเขาเข้ามาในบ้านนางหรือไร
อวี๋เหลียนนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน เดิมทีนางก็ขี้อายอยู่แล้ว ยามนี้ใบหน้าจึงเคลือบไว้ด้วยสีแดงก่ำ เขินอายจนแทบจะขุดรูแล้วพาตนเองมุดลงไปก็ว่าได้
แม่มดชราหัวเราะเจื่อน “เช่นนั้นคงไม่เหมาะสมกระมัง”
หลินหลันรู้สึกอนาถใจแทนอวี๋เหลียนอย่างยิ่ง เมื่ออวี๋เหลียนตกมาอยู่ในเงื้อมมือของแม่มดชราก็คงหนีไม่พ้นชะตาชีวิตการเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยเท่านั้น ทว่านางกลับไร้คุณสมบัติความสามารถของการเป็นบ้านเล็กบ้านน้อย เพราะหน้าบางถึงเพียงนี้จะไปสู้ใครเขาไหวได้อย่างไรกัน
เดิมทีหลี่หมิงอวินแค่เอ่ยเพื่อมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธ แต่คาดไม่ถึงว่าทางพระราชวังกลับส่งสารมาบอกกล่าว โดยสั่งให้ยกเลิกวันหยุดพักผ่อนของขุนนางนับร้อยเพื่อให้เข้าไปปรึกษาหารือราชกิจภายในวัง
เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลังหมิงอวินรับประทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยก็ตรงไปห้องหนังสือเพื่อปรึกษาหารือกับพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายอยู่เนิ่นนานพอตัวถึงกลับมา สีหน้าของเขาดูตึงเครียด เขาเอ่ยว่าเกิดโรคฝีดาษระบาดในมณฑลส่านซีและการแพร่ระบาดนั้นร้ายแรงยิ่งนัก
หลินหลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษเกิดขึ้นได้ง่ายดายและรวดเร็วอย่างมาก ในสมัยโบราณ การติดโรคฝีดาษเท่ากับแขวนคอรอในวัดได้เลย ทุกคนต่างหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวเมื่อเอ่ยถึงมัน ตามความเข้าใจของหลินหลัน ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีทักษะการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรคนี้ ดังนั้นคนเช่นหลี่หมิงอวินซึ่งผ่านการเป็นโรคฝีดาษมาแล้ว และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้โดยไร้ร่องรอยแผลเป็น ช่างเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก
“พวกป่าเถื่อนทางตะวันตกเฉียงใต้เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันพวกทู่เจวี๋ยทางตอนเหนือก็โจมตีไม่เลิกรา ยามนี้ก็ดันมีโรคระบาดในส่านซี จึงเป็นปัญหาทั้งภายนอกและภายใน” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความหนักอกหนักใจ
“เช่นนั้นยามที่เกิดโรคระบาดใหญ่จำพวกนี้ ทางราชสำนักมีรูปแบบการรับมืออย่างไรหรือ” หลินหลันชงชาแล้วถือมาให้
“ปกติแล้วจะส่งขุนนางไปตรวจสอบเขตต้นตอของการระบาด กล่าวปลอบขวัญให้กำลังใจผู้ประสบภัย แล้วรวบรวมหมอขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งผนวกกับหมอพื้นบ้านลงไปยังพื้นที่ประสบภัย ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ที่ราชสำนักก็จะคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง”
หลินหลันนิ่งเงียบก่อนกล่าวขึ้นอย่างลังเล “หมิงอวิน หากเจ้าเสนอตัวไปเขตโรคระบาด ฮ่องเต้จะอนุญาตเจ้าหรือไม่”
หลี่หมิงอวินหรี่ตามองนางคล้ายกับเข้าใจทะลุปรุโปร่งในความนึกคิดของนาง จึงส่ายหน้าทันทีทันใด “เจ้ารีบล้มเลิกความคิดนี้ไปได้เลย การไปเขตโรคระบาดหาได้เป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ ข้าไม่ยินยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด”
หลินหลันขยับเก้าอี้เข้าไปเพื่อนั่งอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคล้องแขนเขาไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนสิ! ข้ามิได้มีความนึกคิดบุ่มบ่ามเสียหน่อย ข้ามีความมั่นใจ ประการแรกคือเจ้าเคยเป็นโรคฝีดาษหรือที่เจ้าเรียกว่าไข้ทรพิษนั่นมาก่อนแล้วจึงมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดการติดโรคได้อีก ประการที่สอง โรคฝีดาษแม้ว่าจะน่ากลัว ทว่าตราบใดที่ระมัดระวังไว้หน่อยก็หลีกเลี่ยงได้ ประการที่สามเป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดซึ่งก็คือข้ามีวิธีการรักษาโรคฝีดาษ เจ้าลองคิดดูสิ! หากเจ้าเสนอตัวไปยังเขตโรคระบาด ฮ่องเต้คงต้องเห็นความสำคัญของเจ้ามากยิ่งขึ้นแน่นอนว่าต้องตามมาด้วยการเลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าหากพวกเราควบคุมโรคระบาดได้อย่างดีเยี่ยม และหากขจัดโรคระบาดไปได้นั่นยิ่งเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง หมิงอวิน ข้าคิดจริงๆ ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากทีเดียวเชียว”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว “หลันเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้เก่งกาจและกล้าหาญ หากเป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวนั่นยังพอรับมือได้ ทว่าทางด้านเขตโรคระบาดเต็มไปด้วยผู้ป่วยโรคฝีดาษจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วเจ้าจะรับมืออย่างไรหรือ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็มิใช่ข้าเป็นหมอเพียงผู้เดียวเสียหน่อย มิใช่ว่าทางราชสำนักจะส่งหมอขุนนางและหมอชาวบ้านไปด้วยหรอกหรือ ทุกคนร่วมมือร่วมแรงใจกันอย่างไรล่ะ!”
“ไม่ได้” หลี่หมิงอวินคัดค้านหัวชนฝา
หลินหลันมุ่ยปาก “หากเจ้าไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าก็จะอาสาไปเอง ทางราชสำนักมิใช่ว่าต้องรวมพลหมอชาวบ้านด้วยมิใช่หรือ…”
หลี่หมิงอวินวางถ้วยน้ำชาลงแล้วจับแขนของนางก่อนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “ข้าไม่ยินยอมให้เจ้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”
“นี่! เจ้าจะเห็นแก่ตัวเช่นนี้มิได้ การเรียนรู้ทักษะการรักษาก็เพื่อช่วยคนหลุดพ้นจากความเจ็บป่วย ยามนี้โรคระบาดรุนแรง ในทุกๆ วันคงมีผู้คนมากมายที่กำลังดิ้นรนให้รอดตายจากโรคภัยไข้เจ็บ ในฐานะหมอ จะให้ข้านั่งมองดูเฉยๆ ได้อย่างไรกัน หมิงอวิน เจ้าเชื่อใจข้าเถิด ข้ามิเพียงแต่รักษาโรคฝีดาษได้ นอกจากนั้นยังป้องการเกิดโรคฝีดาษได้ด้วย เจ้าไปข้าก็ไปด้วย ข้าจักต้องเบาแรงเจ้าได้อย่างแน่นอน” หลินหลันจ้องมองหมิงอวินด้วยใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและรอคอย
นัยน์ตาของนางเปล่งประกายเป็นพิเศษซึ่งแสดงถึงความมั่นใจในตนเองยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หลี่หมิงอวินอดลังเลใจไม่ได้ เขาเคยเป็นโรคฝีดาษหรือที่เรียกอีกอย่างว่าไข้ทรพิษแล้ว จึงไม่กลัวหากต้องไปเขตโรคระบาด ทว่าการพาหลินหลันไปด้วยแล้วเกิดหลินหลันดันติดโรคขึ้นมาคงไม่ดีแน่ เพราะเขาเคยผ่านความทุกข์ทรมานนั้นมาแล้ว กระทั่งในตอนนี้ยังจดจำได้ขึ้นใจด้วยซ้ำ
“เจ้า…มีวิธีการควบคุมโรคระบาดจริงหรือ เจ้าต้องรู้ไว้ว่าโรคฝีดาษนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีหมอผู้ใดกล้าเอ่ยได้เต็มปากว่าตนเองควบคุมมันได้อย่างดีเยี่ยม”
หลินหลันพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง โรคฝีดาษในยุคสมัยนี้ไม่ต่างจากภัยพิบัติน้ำท่วม ทว่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้เรียนรู้เทคนิคการผลิตวัคซีนอย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก แม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์อย่างดีและครบครันถึงเพียงนั้น ทว่านางยังคงมีความมั่นใจว่าจะผลิตวัคซีนออกมาได้
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจำเป็นต้องดึงเหตุผลที่ทำให้ข้าเชื่อมั่นได้ออกมา ทำให้ข้าเชื่อว่าเจ้าควบคุมโรคระบาดได้จริงและรับประกันได้ว่าตัวเจ้าเองจะปลอดภัย มิเช่นนั้น ข้ามีให้ได้แค่สองคำว่า ไม่อนุญาต!”
ดังนั้นหลินหลันจึงอธิบายเรื่องที่เรียกว่าการรับวัคซีน ตลอดจนปัญหาเชิงลึกเกี่ยวกับวัคซีนว่าได้มาอย่างไรให้เขารับฟัง หลี่หมิงอวินพอจะฟังได้อย่างเข้าใจประมาณครึ่งใจความ ทว่าที่หลินหลันพูดล้วนดูมีเหตุผลชวนฟังมากและดูเป็นเรื่องจริงจังอย่างยิ่ง
“เจ้าเคยลองแล้วหรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามปิดท้าย
“แน่นอนสิ ยามที่เด็กต้อนวัวในหมู่บ้านพวกเราเป็นโรคฝีดาษก็เป็นข้านี่แหละช่วยรักษา ซึ่งคนในหมู่บ้านเราก็ไม่มีผู้ใดสักคนติดเชื้อ…” หลินหลันอดไม่ได้ที่จะสร้างคำหลอกลวงขึ้นมา ถึงอย่างไรพี่ชายของนางก็ไปค่ายซีซานแล้ว หมิงอวินคงไม่ถ่อไปถึงค่ายซีซานเพื่อถามหาความจริงหรอกกระมัง
หลี่หมิงอวินลังเลใจอยู่เนิ่นนาน “ไว้พรุ่งนี้ไปราชสำนักจะลองพูดคุยดูอีกทีแล้วกัน”
วันรุ่งขึ้นหมิงอวินไปราชสำนักแต่เช้าตรู่ ส่วนทางด้านหลินหลัน หลังจัดการเรื่องภายในร้านเป็นที่เรียบร้อยก็ได้ปรึกษาหารือกับศิษย์พี่ทั้งสองท่านเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคฝีดาษ ทว่าพวกเขาค่อนข้างเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนปลูกฝีลงไปที่ร่างกายมนุษย์ จึงไม่ขอลงความคิดเห็นอันใดมากนัก หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ในยามนี้หาผู้ซึ่งมีอาการทางผิวหนังและผู้ที่เป็นฝีดาษไม่ได้ มิเช่นนั้นก็คงได้นำมาทดลองเพื่อเป็นเครื่องยืนยันชั้นดี
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย วิธีการที่ท่านว่านั้น ฟังดูแล้วน่ากลัวอยู่เช่นกันนะเจ้าคะ” ในที่สุดหยินหลิ่วก็แสดงความคิดเห็นของตนออกมาระหว่างอยู่บนรถมาเพื่อเดินทางกลับ
“ก็แค่ฟังดูแล้วน่ากลัวเท่านั้นเอง” หลินหลันกล่าว นางตระหนักเป็นอย่างดีว่า การจะอธิบายออกไปให้ทุกคนฟังตามหลักการทางแนวคิดด้วยคำพูดสวยหรูคงเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงพูดออกไปตามความเป็นจริงเท่านั้น
“หยินหลิ่ว ให้ผู้บังคับรถเลี้ยวไปยังเต๋อเหรินถาง” หลินหลันกล่าวสั่งการ
ยามนี้คงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณชายฮว๋าเสียแล้ว เขาคุ้นเคยกับผู้คนและพื้นที่ในเมืองหลวง มีลู่ทางกว้างขวาง ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะหาเชื้อไวรัสมาให้ได้
เมื่อเดินทางไปถึงเต๋อเหรินถาง เด็กในร้านกลับเอ่ยว่านายน้อยไม่อยู่ ให้หลินหลันทิ้งชื่อแซ่เอาไว้แล้วจะช่วยบอกนายน้อยให้อีกที
หลินหลันครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงให้เด็กในร้านช่วยบอกกล่าวนายน้อยว่า หากสะดวก พรุ่งนี้ช่วงเวลาประมาณเก้าโมงเช้าเรียนเชิญไปยังร้านหลินจี้เพื่อปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ
ภายในจวนหลี่ หลี่หมิงจูที่ถูกกักบริเวณมานานหลายเดือนในที่สุดก็ถูกปล่อยออกมาเป็นอิสระเสียที นางกำลังนั่งอยู่ข้างแม่มดชราและยื่นมืออันหยาบกร้านออกไปพลางกล่าวโอดครวญ “ท่านแม่ ท่านดูมือของข้าสิ กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว น่าเกลียดจะตายชัก…”
นางฮานลูบสัมผัสด้วยความสงสารจับใจ “ยังดี ไม่ถือว่าสากกระด้าง ไว้ผ่านไปอีกสักสามสี่วันก็มิเป็นไรแล้ว”
“ท่านพ่อก็ใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว ไม่รักใคร่เอ็นดูข้าเลยสักนิด…” หลี่หมิงจูกล่าวทั้งน้ำตาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด
“เหตุใดท่านพ่อจะไม่รักใคร่เอ็นดูเจ้าหรือ หากมิใช่คู่สามีภรรยาหมิงอวินนั่น ท่านพ่อเจ้ามีหรือจะลงโทษหนักปานนี้”
“ข้าเกลียดพวกเขาทั้งสองคนมากที่สุด หากบ้านนี้ไม่มีพวกเขาก็คงดียิ่งนัก ความแค้นนี้ข้าจะต้องเอาคืนพวกเขาให้ได้ไม่ช้าก็เร็ว” หลี่หมิงจูกล่าวด้วยความเคียดแค้น
นางฮานกล่าว “เจ้าอย่าได้ทำอันใดบุ่มบ่ามไปเชียว แม่จะจัดการให้เอง เจ้ามิใช่คู่ต่อกรของพวกเขา ไว้รออีกสักระยะแล้วกัน! รอให้แม่จัดการเรื่องสำคัญในมือให้เข้าที่เข้าทางแล้ว แม่จะคิดวิธีต่อกรกับพวกเขาเอง”
หลี่หมิงจูพยักหน้าอย่างจำใจ “ท่านแม่ ท่านต้องช่วยลูกจัดการให้สาสมนะเจ้าคะ”
แม่เจียงเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นคุณหนูเล็กจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะรีบไปคารวะเหล่าไท่ไทเถิดเจ้าค่ะ! เหล่าไท่ไทกำลังบ่นถึงเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ! ”
นางฮานหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาช่วยซับน้ำตาให้หมิงจูแล้วกล่าวด้วยความเอ็นดู “รีบไปล้างหน้าล้างตาจะได้ไปพบท่านย่าของเจ้า ครานี้ต้องขอบคุณที่ท่านย่าเจ้าช่วยพูดไว้ไม่น้อย ท่านย่าก็รักใคร่เอ็นดูเจ้าอย่างมากเช่นกัน”
หลี่หมิงจูลุกขึ้นคารวะแล้วกล่าวลา
รอจนกระทั่งหมิงจูเดินจากไปแล้ว นางฮานจึงเอ่ยถาม “อวี๋เสี่ยวเจี่ยะเป็นอย่างไรบ้าง”
แม่เจียงกล่าวตอบอย่างหน้าชื่นตาบาน “เหล่าไท่ไทถามไถ่ความคิดเห็นของอวี๋เสี่ยวเจี่ยะแล้วเจ้าค่ะ อวี๋เสี่ยวเจี่ยะเอ่ยเพียงว่า แล้วแต่ความประสงค์ของเหล่าไท่ไทและฮูหยินเลยเจ้าค่ะ”
นางฮานแสยะยิ้มแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องดีงามถึงเพียงนี้ นางจะไม่ยินยอมได้หรือ ดีไม่ดีภายในใจคงแอบมีความสุขเสียยิ่งกระไรดี! ในเมื่อนางตอบตกลงแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าให้นางมาห้องข้าสักหน่อย มีบางเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องกำชับนางด้วยตนเอง”
แม่เจียงเกิดความรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นิสัยของอวี๋เสี่ยวเจี่ยะอ่อนโยนเกินไปหน่อย เกรงว่าจะต่อกรเอ้อร์เส้าหน่ายนายมิได้น่ะสิเจ้าคะ”
นางฮานกล่าวเชิงเหยียดหยัน “นางไม่มีความสามารถก็ช่างปะไร ขอเพียงทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จก็เป็นพอ…เชื่อฟังข้า เชื่อฟังคำพูดของข้า ซึ่งจะว่าไปแล้ว นางก็ไม่ต่างไปจากหมากตัวหนึ่ง ข้ามิต้องการให้นางเก่งกาจมากมาย ขอเพียงนางได้เป็นอนุภรรยาของหมิงอวิน หลินหลันคงต้องหึงหวงอย่างแน่นอน เมื่อใดที่สตรีรู้สึกหึงหวงก็สามารถทำเรื่องอันใดได้ทั้งสิ้น ถึงครานั้นข้าจะคอยดูว่าพวกเขายังจะรักใคร่กลมเกลียวสมานฉันท์กันไปได้อีกสักกี่น้ำเชียว”
“ฮูหยินพูดถูกอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินตั้งใจจะพูดกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายไปตามตรงเลยหรือไม่เจ้าคะ”
นางฮานครุ่นคิด “หลินหลันเองก็สุขภาพมิค่อยดีอยู่แล้ว การรับอนุภรรยาให้หมิงอวินสักคนจะได้มีคนช่วยดูแลสามีเพิ่มอีกหนึ่งคน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเสียยิ่งกระไรดี แล้วนางยังมีเหตุผลใดให้เอ่ยปฏิเสธได้อีกหรือ หากนางปฏิเสธก็เตรียมขึ้นชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูได้เลย แล้วทางด้านเหล่าไท่ไทนั่นจะยังมองหน้ากันติดได้อีกหรือ ดังนั้น กับหลินหลันมิใช่เรื่องยากที่จะต่อกรแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญคือท่าทีของหมิงอวินต่างหาก เขามีความคิดเป็นของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไปกว่านั้นก็มิเคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แม้ว่าเหล่าไท่ไทจะออกโรงด้วยตนเองก็ยังเกรงว่าเขาจะบ่ายเบี่ยงอยู่ดี…เรื่องนี้คงต้องให้เหล่าเหยียออกโรง ระยะนี้หมิงอวินให้ความเคารพเหล่าเหยียอย่างยิ่งและเชื่อฟังคำพูดของเหล่าเหยียมากที่สุดมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้เขาได้ทำตัวเป็นลูกผู้กตัญญูเสียหน่อยแล้วกัน! ”
แม่เจียงเผยรอยยิ้มจนปรากฏรอยย่นที่หางตาแล้วกล่าวขึ้น “ฮูหยินช่างไตร่ตรองได้รอบคอบเสียจริงเจ้าค่ะ”
นางฮานนึกไปถึงท่าทีของหลินหลันยามหึงหวงจนแทบคลั่ง นึกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาคู่สามีภรรยาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองและขัดแย้ง แล้วนึกไปถึงเงินทองที่จะไหลมาเทมาในอีกไม่นานนี้ จึงรู้สึกอารมณ์เบิกบานเสมือนท้องฟ้าที่สดใสในวันนี้ “แม่เจียง วันคืนดีๆ ของพวกเราอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”