ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 167 สถานการณ์ที่ยากจะรับมือ
ทันทีที่กลับถึงโถงหนิงเฮ๋อ แม่เจียงก็รีบไล่คนทั้งหมดออกไปยังลานบ้านชั้นในเพราะยามนี้นายหญิงกำลังโกรธเกรี้ยวจนแทบบ้าคลั่ง
นางฮานจ้องมองหมิงจูที่กำลังกระวนกระวายอย่างเดือดดาล หมิงจูถูกมารดาที่กำลังชักสีหน้าประหนึ่งยักษ์มารใส่จนรู้สึกตื่นกลัว นางหวาดกลัวจนชายแขนเสื้อสั่นระริก ขณะเดียวกันก็แอบส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้พี่ชายซึ่งอยู่ข้างๆ หวังว่าพี่ชายจะช่วยเหลือนางในยามคับขัน
หมิงเจ๋อทำเป็นมองไม่เห็นภายใต้ท่าทีเสมือนว่าตนเองช่วยเหลืออันใดมิได้เช่นกัน
“นี่เป็นการจัดฉากที่เจ้าวางแผนเช่นนั้นหรือ” ประโยคเดียวที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความเกรี้ยวกราดเล็ดรอดไรฟันออกมา
หมิงจูมองไปยังมารดาด้วยความรู้สึกเกร็งแล้วกล่าวแก้ต่างเสียงอ่อน “เดิมทีมิใช่เช่นนี้เจ้าค่ะ ลูกคิดว่าภายในห้องคือพี่รอง อาเซียงบอกว่าเห็นท่านพ่อเดินไปแล้ว ดังนั้นเลยให้อวี๋เหลียนเข้าไป…ลูกก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ…”
นางฮานไม่อาจสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวได้ จึงก่นด่าออกไป “ข้าเตือนเจ้าตั้งกี่ครั้งกี่คราวแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องคนสารเลวคู่นั้น เป็นอย่างไรล่ะครานี้ ขโมยไก่มิได้ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ส่งคนเขาไปถึงเตียงท่านพ่อของตนเอง แล้วยังเรียกคนไปร่วมจับการลักลอบเล่นชู้ เจ้า…เจ้า…เจ้ามันน่าโมโหเสียจริง”
นางฮานตำหนิจนหายใจหายคอไม่ทัน แม่เจียงจึงรีบมาช่วยลูบแผ่นหลังระบายเลือดลมให้นาง และอดไม่ได้ที่จะโอดครวญต่อหมิงจูเช่นกัน “เสี่ยวเจี่ยะ เรื่องครานี้เป็นหายนะครั้งใหญ่หลวงของจริงแล้วนะเจ้าคะ”
หมิงจูกล่าวพึมพำ “ข้าก็มิได้ตั้งใจเช่นกัน”
หมิงเจ๋อใช้ข้อศอกกระทุ้งหมิงจูและกล่าวเสียงกระซิบ “เจ้าช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อย”
ระหว่างนี้นางฮานเริ่มคลายความโกรธเกรี้ยวลง มือของนางแตะอยู่ที่หน้าบริเวณหน้าอกขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม “นี่ข้าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้! ถึงได้ให้กำเนิดคนอย่างเจ้าที่ทำเรื่องอันใดก็ไม่สำเร็จ มีแต่ก่อเรื่องก่อราวให้ไม่เว้นว่าง ข้าอดทนตรากตรำมากถึงสิบหกปี จะเพื่ออันใดหรือหากมิใช่เพื่อพวกเจ้าสองคน ทว่าไยพวกเจ้าถึงตอบแทนข้าเยี่ยงนี้ คนหนึ่งไม่ขยันขันแข็งเอาการเอางาน อีกคนวันๆ ก็รู้จักแต่หาเรื่องไปทั่ว ข้าคงไม่ตายจากไปเพราะฝีมือผู้อื่นหรอก แต่กลับเป็นพวกเจ้าที่ทำให้ข้าโกรธเกรี้ยวจนตาย…”
แม่เจียงกล่าวเกลี้ยกล่อม “ฮูหยิน ท่านอย่าเดือดดาลไปเลยนะเจ้าคะ ใจเย็นๆ ไว้เจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านโกรธเกรี้ยวไปก็มิได้ช่วยอันใด มิสู้ไตร่ตรองดูว่าจะกู้สถานการณ์อย่างไรดีจะดีกว่านะเจ้าคะ!”
นางฮานกล่าวด้วยความโกรธ “ยังจะกู้สถานการณ์ได้อย่างไรอีกหรือ มิแน่ว่าเหล่าเหยียจะคิดอีกว่าเป็นข้าที่สร้างกับดักขึ้นมาเพื่อทำลายหน้าตาชื่อเสียงของเขา” ตาแก่ผู้นี้ ปกติแล้ววันๆ เอาแต่แสร้งทำท่าทีซื่อสัตย์จริงจัง แท้จริงแล้วคอยแต่จ้องมองหญิงสาวหน้าตาสะสวย มิเช่นนั้น เพียงชั่วเวลาครู่เดียวจะจับคนเขาขึ้นเตียงได้เชียวหรือ นี่มันช่างน่าสะอิดสะเอียนเสียจริง ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวคงต้องมาคิดบัญชีกับนางอีก นอกจากตนเองจะได้รับผลประโยชน์แล้วยังทำเป็นปากแข็งไม่ยอมรับด้วยการแสดงความไม่พึงพอใจต่อผู้อื่นอีก
ที่หมิงจูเกรงกลัวมากที่สุดก็คือบิดาของนาง ยามนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวี๋เหลียนจะอธิบายอย่างไร หากลากนางออกมาเอี่ยวด้วย บิดาคงต้องถลกหนังนางอย่างแน่นอน
“คาดไม่ถึงเลยจริงๆ เจ้าค่ะว่าอวี๋เสี่ยวเจี่ยะที่มองดูอ่อนโยนนุ่มนวล แท้จริงแล้วจะมีความนึกคิดระดับนี้เช่นกัน” แม่เจียงกล่าวอย่างใจเย็น
ขณะนั้นเอง หมิงจูนึกบางอย่างขึ้นมาได้ภายในสมองจึงรีบกล่าวเสริมเข้าไป “นั่นสิเจ้าคะ ข้าเพียงแค่ให้นางนำน้ำชาเข้าไปให้ มิได้ให้นางทำเรื่องอื่นใด ข้ายังให้นางทำถ้วยน้ำชาหล่นแตกเพื่อเป็นสัญญาณลับ มิน่าล่ะนางไม่ทำถ้วยหล่นแตกเสียที แท้จริงแล้วก็กำลังยั่วยวนท่านพ่อนี่เอง จนกระทั่งลงมือยั่วยวนเป็นผลสำเร็จแล้วถึงได้ส่งสัญญาณลับให้ข้า นางช่างเลวทรามเสียจริง เสียดายที่ข้าอุตส่าห์เชื่อใจนางถึงเพียงนั้น” ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค หมิงจูก็สามารถทำให้ตนเองที่เดิมเป็นผู้ริเริ่มกลับกลายเป็นผู้ได้รับความเสียหายไปเสียได้
นางฮานตำหนิด้วยความโกรธ “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ หากมิใช่เจ้าเป็นผู้ริเริ่ม มีหรือผู้อื่นเขาจะหาช่องโหว่จนได้ ลำพังหลิวอี๋เหนียงผู้เดียวก็ทำให้ข้าปวดกบาลมากพอแล้ว แต่นี่ดันเพิ่มมาอีกคน แล้วนี่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างไรได้อีก”
หมิงจูเบ้ปากแล้วบ่นอุบอิบ “แทนที่จะให้หลิวอี๋เหนียงเป็นที่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียว มิสู้ยกอวี๋เหลียนขึ้นเป็นอนุภรรยาอีกคน จะได้ให้พวกนางทั้งสองไปแย่งชิงความโปรดปราน ไปทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ทางที่ดีที่สุดให้พวกนางทะเลาะกันให้ตายไปข้าง ท่านแม่จะได้เบาแรงกายแรงใจไปด้วยมิใช่หรือเจ้าคะ”
จิตใจนางฮานยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ความคิดของเจ้านี้ช่างดีเยี่ยมเสียจริงนะ ” นางกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
หมิงจูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจยิ่งนักหลังได้รับคำเชยชม นับว่ายังแก้ไขสถานการณ์ไปได้ แต่แล้วในนาทีต่อมา สัมผัสอันหนักหน่วงฟาดลงมาบนใบหน้าจนทำให้ครึ่งใบหน้าของนางรู้สึกถึงอาการชา คนทั้งคนตกอยู่ในอาการอึ้งทึ่ง หมิงจูจับใบหน้าขณะมองไปยังมารดาที่กำลังฉุนเฉียวอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้านี่มันเลวทรามชั่วช้า เจ้าคงกลัวว่าแม่จะอายุยืนยาวเกินไปสินะ ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้แม่โกรธเกรี้ยวใช่หรือไม่” นางฮานชี้นิ้วด่าหมิงจูด้วยสีหน้าดุดัน
หมิงเจ๋อเองก็ตระหนกตกใจไม่แพ้กัน เขารีบก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าและกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ใจเย็นๆ ก่อนนะขอรับ”
แม่เจียงกล่าวเกลี้ยกล่อมขึ้นมาเช่นกัน “ฮูหยิน อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยเจ้าค่ะ…”
ดวงตาของนางฮานแทบจะไหลรินหยาดโลหิตออกมา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “วันนี้ข้าเพิ่งเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าก็เป็นแค่เด็กอกตัญญูผู้หนึ่ง ข้าจะถือเสียว่าความรักและเอ็นดูที่มีให้เจ้าหลายปีมานี้มันเปล่าประโยชน์ แม่เจียง นำตัวเสี่ยวเจี่ยะกลับไปขังไว้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้นางออกมาจากห้องแม้เพียงครึ่งฝีก้าวจนกว่าจะถึงยามที่ต้องออกเรือน”
หมิงจูตื่นตกใจสุดขีด นางคุกเข่าลง ฉุดรั้งชายกระโปรงมารดาขณะกล่าวอ้อนวอนทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ท่านอย่าได้โกรธเกรี้ยวเลยนะเจ้าคะ เป็นลูกเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจึงพูดผิดไป ลูกมิกล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ลูกมิกล้าแล้ว…”
หมิงเจ๋อเห็นว่าครั้งนี้มารดาโมโหอย่างใหญ่หลวง ด้วยนิสัยของหมิงจู การจับนางไปกักบริเวณนั้นถือว่าโหดร้ายสำหรับนางเสียยิ่งกว่าการถูกเฆี่ยนตี หมิงเจ๋อจึงอดมิได้ที่จะคุกเข่าลงและอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยเช่นกัน “ท่านแม่ น้องสาวพลั้งปากไปโดยหามีเจตนาไม่ ท่านเองก็รู้ดีว่านิสัยใจคอของนางก็เป็นเช่นนี้ เรื่องราวในวันนี้เป็นเพราะน้องสาวครุ่นคิดไม่รอบคอบ ทว่านั่นก็เป็นเพราะนางอยากแบ่งเบาความกังวลของท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ท่านอย่าได้โกรธเคืองไปเลยขอรับ ให้อภัยน้องสาวสักครั้งเถิดนะขอรับ!”
นางฮานกล่าวอย่างโมโห “เจ้าช่วยหุบปากไปเสีย พวกเจ้าทั้งสองคน หาได้มีผู้ใดช่วยให้ข้าเบาแรงใจไปได้ไม่ หากข้าไม่จับนางขังไว้ ไม่รู้ว่านางยังจะไปก่อเรื่องสารเลวอันใดขึ้นมาอีก”
“ท่านแม่ ลูกมิกล้าแล้วเจ้าค่ะ มิกล้าอีกแล้วจริงๆ วันหน้าวันหลังลูกจะเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…” หมิงจูร้องห่มร้องไห้จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน
นางฮานหาได้ใจอ่อนไม่ “แม่เจียง เจ้ายังมัวยืนงงอันใดอีก”
แม่เจียงมองดูแม่นางคนเล็กที่กำลังร้องห่มร้องไห้เป็นสายธาร ได้แต่แอบถอนหายใจแล้วเข้าไปลากตัวนาง ทว่าหมิงจูกลับไม่ยอมลุกขึ้นโดยเอาแต่ร้องไห้อ้อนวอนอยู่เช่นเดิม
นางฮานกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ขืนเจ้าเอาแต่ร้องไห้โวยวายอยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวท่านพ่อเจ้ามาและรู้ว่าเรื่องทำเรื่องงามหน้านี้ ดูสิว่าท่านพ่อเจ้าจะลงโทษเจ้าเยี่ยงไร”
หมิงจูถึงกับชะงักไปทันทีทันใดและไม่กล้าร้องไห้ออกมาอีก ต่อให้นางโง่เขลาเพียงใดนางก็ยังรู้ดีว่าหากผู้เป็นพ่อเดือดดาลขึ้นมา คงมิใช่อะไรที่นางจะแบกรับไว้ได้อย่างแน่นอน
หมิงเจ๋อมองดูน้องสาวถูกพาตัวออกไป ภายในใจจึงเกิดความร้อนรนและกระวนกระวาย แต่กลับไม่อาจช่วยอันใดได้แม้แต่น้อย
นางฮานกล่าวด้วยเสียงตะคอก “แล้วเจ้ายังยืนหัวโด่อยู่ที่นี่ทำไมอีก อีกเดี๋ยวพ่อเจ้ามาถึงเจ้าก็ถูกเล่นงานไปด้วยหรอก”
หมิงเจ๋อจึงรีบลุกขึ้นยืนทันทีทันใด “ท่านแม่ ท่านก็อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปมากกว่านี้เลยนะขอรับ ไว้พรุ่งนี้ลูกค่อยมาคารวะท่านแม่อีกครั้งขอรับ”
ทุกคนออกไปจนหมดเกลี้ยง สีหน้าอารมณ์ของนางฮานถึงได้สงบลง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน นางเหนื่อยล้าทั้งใจและกาย บุตรชายและบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องได้ราวทั้งคู่ และสามีที่ไร้เยื่อใยต่อกัน แล้วยังมีขวากหนามที่ยากจะโค่นล้มได้อีกสองคนนั่น นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจริงๆ…
หมิงเจ๋อเดินกลับไปถึงเรือนเว่ยอวี่อย่างเลื่อนลอย ซึ่งขณะนั้นติงหลั้วเหยียนนอนหลับพักผ่อนไปเสียแล้ว หมิงเจ๋อนั่งเหม่อลอยบนขอบเตียงนอนอยู่สักพัก ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แรงกดดันในการสอบเดิมทีก็ทำให้เขาหายใจหายคอไม่สะดวกอยู่แล้ว ตามจริงเขาไม่ชื่นชอบการเรียนหนังสือเลยสักนิดเดียว ทว่ามารดาพร่ำบอกเขาแต่เล็กว่าหากเจ้าตั้งใจร่ำเรียนตำราให้ดีๆ บิดาก็จะรักเจ้า และจะไม่มีวันนำเจ้าไปเปรียบเทียบกับหมิงอวินได้อีก…ซึ่งเขาเองก็เคยขยันขันแข็งมาแล้วเช่นกัน เคยคิดว่าตนเองมิได้ด้อยไปกว่าหมิงอวิน เพียงแต่หมิงอวินโชคดีกว่าเขาที่มีบิดาคอยดูแลก็เท่านั้นเอง ต่อมาภายหลังถึงได้รู้ว่า เขาด้อยกว่าหมิงอวินอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะตั้งใจและขยันอย่างหนักเพียงใด มันก็ยังอยู่ไกลเกินเอื้อม ทว่าด้วยความคาดหวังของมารดาและคำตำหนิของบิดา คอยบีบคั้นให้เขาไม่อาจมองไปยังหมิงอวินได้…มิใช่เขาเกรงกลัวการสอบ ทว่าเขาเกรงว่าทุกคนจะนำเขาไปเปรียบเทียบกับหมิงอวินอีก เขาก็เป็นคนคนหนึ่งเช่นกัน! เหตุใดเขาต้องใช้ชีวิตภายใต้เงาของหมิงอวินด้วย ใครบ้างที่จะช่วยคลายความทุกข์ยากของเขาได้ หมิงเจ๋อมองไปยังหลั้วเหยียนที่กำลังนอนหลับอย่างเงียบๆ ได้แต่แอบระบายความในใจที่ไร้เสียง ท่านพ่อไม่เข้าใจ ท่านแม่ไม่เข้าใจ กระทั่งหลั้วเหยียนก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขาล้วนดูถูกที่เขาไม่โดดเด่น มีเพียงปี้หรู แต่ไหนแต่ไรมาปี้หรูมิเคยดูถูกเขา มีเพียงปี้หรูที่เคารพในตัวเขา ทว่าไม่มีปี้หรูอีกแล้ว…
หมิงเจ๋อลังเลใจอยู่สักพักแล้วจึงเอื้อมมือออกไปผลักหลั้วเหยียนอย่างเบามือ เขารู้สึกแย่มากจริงๆ จึงหวังว่าจะได้รับการปลอบประโลมของหลั้วเหยียน ต่อให้เป็นเพียงรอยยิ้มหนึ่งก็ยังดี
ติงหลั้วเหยียนรู้แต่แรกว่าเขากลับมาแล้ว ทว่านางขี้เกียจจะพูดคุยกับเขา เรื่องราวในวันนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง ท่ามกลางสายตาคนภายนอกล้วนมองว่าตระกลูหลี่ไร้ที่ติ ทว่าความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยเรื่องน่ารังเกียจและต่ำตมมากมาย
“จะทำอันใด” ติงหลั้วเหยียนรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาเมื่อถูกเขาผลัก
หมิงเจ๋อกล่าวอย่างน่าเวทนา “หลั้วเหยียน คุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ! ข้ารู้สึกแย่”
ติงหลั้วเหยียนหาได้พลิกกลับมาหาไม่ นางทำเพียงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าจะให้ข้าคุยอันใดเป็นเพื่อนเจ้าล่ะ ให้พูดคุยว่าเหตุใดพ่อสามีถึงหลงระเริงถึงเพียงนี้ หรือจะให้พูดคุยว่าเหตุใดเปี่ยวเหม่ยถึงคิดว่าตนเองถูกต้องอยู่ตลอดเวลา”
หมิงเจ๋อได้ยินคนพูดดังกล่าวจึงรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดลงมาที่ศีรษะหนึ่งกะละมังเต็มๆ ชโลมให้จิตใจเกิดความเย็นยะเยือก เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนไปอย่างเงียบๆ เขาเดินก้มหน้าไปมาอยู่ปากทางเข้าออกห้องหนังสือโดยไม่รู้ว่าควรไปแห่งหนใดดี
หลี่จิ้งเสียนไม่ได้รีบร้อนไปหานางฮานแต่อย่างใด เขาเรียกอาจินให้ไปเรียกสาวใช้ของอวี๋เหลียนมาและนำเสื้อผ้าตัวใหม่ติดมือมาด้วย เสื้อผ้าที่อยู่บนเรือนร่างของอวี๋เหลียนยามนี้ถูกเขากระชากจนขาดรุ่ย ขืนออกไปทั้งสภาพเช่นนี้ หน้าตาของนายท่านใหญ่ประจำบ้านอย่างเขาคงเป็นต้องไม่เหลือชิ้นดี
เมื่ออวี๋เหลียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย หลี่จิ้งเสียนจึงกล่าวขึ้น “คงรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าต้องทำเช่นไร”
อวี๋เหลียนพยักหน้าทั้งน้ำตา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจึงทำได้เพียงคาดหวังว่าอาเขยจะทำได้ดั่งที่กล่าวไว้ มิเช่นนั้นใต้หล้านี้คงไม่เหลือที่ให้นางยืนหยัดอีก
หลี่จิ้งเสียนโบกมือ “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ!”
หลังอวี๋เหลียนเดินจากไป หลี่จิ้งเสียนจึงเอ่ยถามอาจิน “เจ้ากลับมาเมื่อใด”
อาจินแม้ว่าไม่เห็นสถานการณ์ในตอนนั้น แต่ก็พอจะคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วนจึงอดครุ่นคิดมิได้ คำตอบครั้งนี้ไม่ควรพูดออกไปเรื่อยเปื่อย จะกล่าวว่ากลับมาตั้งนานแล้วหรือกลับมาช้าเกินไปล้วนมิได้ทั้งสิ้น “ข้าน้อยเพิ่งส่งเอ้อร์เส้าเหยียกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายและคอยช่วยเหลือระหว่างเอ้อร์เส้าหน่ายนายช่วยทายาให้เอ้อร์เส้าเหยียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาขอรับ” ตามจริงเขาหาได้คอยช่วยเหลือนายหญิงสะใภ้รองช่วยทายาให้คุณชายรองไม่ แต่เป็นเพราะนายหญิงสะใภ้รองให้รางวัลตอบแทนเขาด้วยน้ำแกงลำไยเม็ดบัวหนึ่งถ้วย หลังเขาดื่มมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงได้กลับมา
หลี่จิ้งเสียนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ยามที่เจ้ากลับมาได้เห็นอันใดบ้างหรือไม่”
อาจินกล่าวขณะก้มหน้า “ยามที่ข้าน้อยเพิ่งกลับมาถึง เห็นคนจำนวนมาก…เดินออกมาจากห้องหนังสือนี่ขอรับ ส่วนเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะกำลังร้องไห้อยู่ด้านนอก และคุณชายใหญ่ดูเหมือนกำลังสั่งสอนนาง เดิมทีข้าน้อยอยากเข้ามาคอยปรนนิบัติ ทว่าคุณชายใหญ่กลับไล่ข้าน้อยออกไป ต่อมาภายหลังฮูหยินถึงได้เรียกข้าน้อยให้คอยเฝ้าหน้าประตูไว้ขอรับ…” อาจินกล่าวตอบโดยต้นจนจบ เรื่องนี้จะได้ไม่อาจกล่าวโทษเขาไปได้ เพราะที่เขาไม่ได้เข้ามาเป็นเพราะคุณชายใหญ่มิให้เขามาและที่เขามาเป็นเพราะฮูหยินให้มา
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลี่จิ้งเสียนกระตุกเล็กน้อยพร้อมกับเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นภายในจิตใจ คนจำนวนมาก…นางฮานนะนางฮาน เจ้าคิดเล่นงานข้าในส่วนที่เป็นจุดอ่อนของข้าสินะ
“เหตุใดเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะถึงต้องร้องไห้ด้วยหรือ” หลี่จิ้งเสียนสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้ภายในใจ แสร้งทำทีท่าสงบนิ่ง
อาจินกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบแน่ชัดขอรับ เพียงแต่แอบได้ยินว่าคุณชายใหญ่กล่าวคำพูดประเภทที่ว่าคิดบัญชีเอาคืนอะไรประเภทนี้ขอรับ”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลี่จิ้งเสียนกระตุกหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นดั่งที่คาดเดาไว้จริงๆ นางฮานต้องการคิดบัญชีเขาจริงๆ แล้วยังไม่วายยืมมือบุตรสาวบุตรชายมาเป็นผู้ช่วย ทำให้หมิงเจ๋อและหมิงจูต้องเห็นบิดาของตนเองทำเรื่องน่าเกลียดเช่นนี้…นางฮานหนอนางฮาน เจ้าคิดว่าเจ้าเล่นวิธีการนี้แล้วจะเหยียบข้าให้จมดิน คิดจะนำเรื่องดังกล่าวมากดขี่ข้าเพื่อยกตัวเจ้าเองให้สูงขึ้นได้เยี่ยงนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!