ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 176 เปิดเผยเบื้องลึก
แม่เจียงเจรจากับผู้ดูแลโรงเย็บปักเป็นที่เรียบร้อย โดยตกลงกันว่าในวันรุ่งขึ้นจะส่งมอบใบหลักฐานการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์เพื่อแลกกับเงิน ใครจะรู้ว่าวันรุ่งขึ้นเมื่อไปถึงที่ทำการฝ่ายขุนนางเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกลับถูกแจ้งให้ทราบว่าจำเป็นต้องให้เจ้าของมาดำเนินการด้วยตนเองก่อน ผู้ดูแลจ้าวจึงหยิบหนังสือรับมอบอำนาจออกมาแย้งเช่นกัน นายทะเบียนจึงกล่าว “ท่านบัณฑิตหลี่ก็อยู่เมืองหลวงนี่มิใช่หรือ ให้ท่านบัณฑิตหลี่มาดำเนินการด้วยตัวเองสักประเดี๋ยวก็ได้แล้วนี่”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวโดยอาศัยข้ออ้าง “คุณชายตระกูลข้างานการเยอะแยะไปหมด อีกทั้งคุณชายมิเคยดูแลเรื่องเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไร…”
“เช่นนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน หลายเรื่องล้วนต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ มิเช่นนั้นในภายภาคหน้าเกิดความขัดแย้งอันใดขึ้นมา ฝ่ายราชการขุนนางคงรับผิดชอบไม่หวาดไม่ไหวกันพอดี” ท่านนายทะเบียนกล่าวอย่างสบายๆ พลางชำเลืองตามองผู้ดูแลโรงเย็บปักอย่างมีนัย
ผู้ดูแลจ้าวรู้สึกประหลาดใจ มิใช่ว่าเมื่อก่อนแค่มีหนังสือรับมอบอำนาจก็ดำเนินการได้แล้วหรอกหรือ ผู้ดูแลจ้าวพยายามยัดเงินให้แต่กลับถูกปฏิเสธ แม้จะพูดปะเหลาะอย่างดีเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
ผู้ดูแลโรงเย็บปักกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน “ในเมื่อทางฝ่ายราชการมีข้อกำหนดนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติจะเป็นการดีกว่า”
ท้ายที่สุดเรื่องราวก็ไม่สำเร็จ นางฮานเดือดดาลอย่างยิ่ง พอเรื่องราวกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ ความคิดของนางที่จะขายห้องแถวที่ตงจื๋อเหมินก็มิเป็นอันล้มเหลวแล้วหรือ
“พรุ่งนี้เจ้าไปหานายทะเบียนอีกครั้ง พกเงินไปให้มากหน่อย ข้ามิเชื่อหรอกว่าใต้หล้านี้เงินทองจะไม่อาจจัดการเรื่องราวให้สำเร็จได้”
ในวันเดียวกัน หลี่หมิงอวินก็รับรู้ข่าวนางฮานคิดจะถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวแล้ว
เหวินซานกล่าวรายงาน “ท่านนายทะเบียนกล่าวว่า เขาจะจัดการตามความประสงค์ของเส้าเหยียขอรับ”
หลี่หมิงอวินเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาสีน้ำเงินสดใสและกล่าวอย่างใจเย็น “วันนี้อากาศไม่เลวเลยทีเดียว ไปเถอะ พวกเราไปเดินเล่นที่ร้านจวี้เป่าจ่ายกัน”
วันถัดมา ผู้ดูแลจ้าวมาพร้อมสองข่าวร้าย ข่าวแรกคือเจรจากับนายทะเบียนไม่เป็นผลแล้วยังถูกตำหนิมายกใหญ่ ข่าวที่สองคือหินสีเหลืองทองในร้านจวี้เป่าจ่ายก้อนนั้นถูกคนซื้อไปเสียแล้ว
นางฮานได้ยินก็ร้อนใจ “พวกเราจับจองไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุใดร้านจวี้เป่าจ่ายถึงไม่รักษาคำพูด?”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวด้วยท่าทีหวาดเกรง “ฮูหยินขอรับ พวกเราเพียงแค่จับจองไว้ปากเปล่า ไม่ได้จ่ายเงินมัดจำไว้ อีกทั้งตกลงไว้แล้วว่าจะชำระเงินให้เมื่อวานนี้”
นางฮานโกรธจนรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก “แล้วรู้หรือไม่ว่าผู้ใดซื้อไปเสียแล้ว”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวตอบ “บ่าวถามไถ่แล้ว ผู้ดูแลของร้านจวี้เป่าจ่ายเอ่ยว่าพวกเขามีหน้าที่รักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้าด้วยขอรับ”
นางฮานกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ก็แค่หินก้อนเดียวยังต้องเก็บเป็นความลับด้วยหรือ” คำพูดนี้ไร้สาระสิ้นดี ภายในใจของนางฮานรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่สิ่งของอยู่เบื้องหน้าแล้วแท้ๆ เช่นนี้นางจะไปหาหินสีเหลืองทองที่ดีกว่านี้จากแห่งหนใด ท้ายที่สุดคงทำได้เพียงเลือกหินปะการังแดงที่อยู่ในห้องคลังทรัพย์สินไปเป็นของขวัญเสียแล้ว
หลี่จิ้งเสียนมองดูใบรายการของขวัญที่นางฮานตระเตรียม แต่กลับรู้สึกไม่พึงพอใจเท่าใดนัก ด้วยเกรงว่าสิ่งของเหล่านี้จะไม่เข้าตาใต้เท้าเก๋อ ทว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับใต้เท้าเก๋อก็แค่เจอกันทักทาย สนทนาหยอกล้อกันเล็กน้อย ใต้เท้าเก๋อก็คงไม่ถือสาอันใดต่อเขาด้วยเรื่องพวกนี้เช่นกัน จึงนำใบรายการของขวัญส่งคืนนางฮานโดยไม่เอ่ยอันใด
“พรุ่งนี้จะพาหลั้วเหยียนไปด้วยหรือ” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามระหว่างดื่มด่ำน้ำชาด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
นางฮานกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน “หลั้วเหยียนเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหลี่ ภายภาคหน้าบ้านนี้ก็ต้องส่งมอบให้นางจัดการดูแลต่อ อีกทั้งวันข้างหน้า หลังหมิงเจ๋อเป็นขุนนางแล้ว การพบปะเข้าสังคมเช่นนี้ก็คงมากตามไปด้วย น้องเห็นว่าอุปนิสัยใจคอของนางสงบเงียบเกินไป และคบค้าสมาคมกับผู้อื่นมิค่อยเก่งนัก จึงอยากพานางติดตามไปด้วยเพื่อจะได้ชี้แนะนางเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “ติงฮูหยินพูดจา ตลอดจนจัดการเรื่องต่างๆ อย่างฉับไวและบ้าบิ่น อาจเป็นมารดาที่มีความสามารถเกินไป จึงคิดแทนนางอย่างรอบครอบ รวมถึงช่วยวางแผนให้เสร็จสรรพในหลายๆ เรื่อง หลั้วเหยียนจึงดูอ่อนหัดไปหน่อยในด้านนี้”
นางฮานถอนหายใจพลางรำพึงรำพันภายในใจ เกรงก็แต่ว่าหลั้วเหยียนมิใช่ว่าไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เป็นเพราะไม่ใช้ใจทุ่มเทเลยสักนิดเสียมากกว่า!
ทันใดนั้น หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามขึ้นอย่างฉับพลัน “เหตุใดระยะนี้ถึงมิเห็นหน้าค่าตาหมิงจูเลยล่ะ”
นางฮานตกใจสะดุ้งเฮือก รีบกล่าวตอบทันควัน “หมิงจูอายุมิใช่น้อยๆ แล้ว อีกไม่นานก็ต้องหมั้นหมายออกเรือน จึงควรสงบจิตสงบใจหันมาเรียนรู้งานบ้านงานเรือนให้มากเจ้าค่ะ”
ระยะนี้หลี่จิ้งเสียนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ได้อนุภรรยาเพิ่มมาหนึ่งคนแล้วยังได้บุตรเพิ่มมาอีกหนึ่งคน หมิงเจ๋อก็สอบหมิงจิ้งผ่านอย่างราบรื่น เรื่องน่ายินดีที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ความไม่พึงพอใจในตัวหมิงจูเจือจางลงไม่น้อย “เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก หมิงจูร่าเริงสดใสเกินไปจนไม่รู้จักสำรวมกิริยามรรยาท ควรต้องปรับปรุงนิสัยของนางให้ดีๆ เข้าไว้ ส่วนเรื่องหมั้นหมาย เจ้ามีผู้เหมาะสมเลือกไว้บ้างแล้วหรือไม่”
นางฮานกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศกเล็กน้อย “เรื่องนี้มิใช่จัดการง่ายนักเจ้าค่ะ ได้พูดคุยไว้บ้างแล้วสองสามตระกูล ทว่าครอบครัวที่สูงศักดิ์เขาก็ไม่เห็นคนสถานะอย่างหมิงจูในสายตา ส่วนครอบครัวที่ต่ำต้อยลงมาหน่อย น้องเองก็อดทำใจยอมรับมิได้อีกเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนเผยสีหน้าละอายแก่ใจเล็กน้อย “เรื่องนี้คงต้องลำบากหน่อย ตามความเห็นข้า ขอเพียงเป็นตระกูลที่พอประมาณกันก็เป็นพอ ประเด็นสำคัญคือเด็กรุ่นหลังที่กำเนิดมาต้องเข้ามาอยู่ในตระกูลเรา ภายภาคหน้าข้าจะช่วยผลักดันให้มากหน่อย แล้วยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่มีวันโดดเด่นมีหน้ามีตาขึ้นมาอยู่อีกหรือ”
“แม้จะว่าเอ่ยเช่นนี้ ทว่าภายในใจของน้อง…ก็มักทำใจมิได้อยู่ดีเจ้าค่ะ” นางฮานกล่าวระบายความอัดอั้นตันใจ
หลี่จิ้งเสียนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “เช่นนั้นงานฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดมารดาของใต้เท้าเก๋อครั้งนี้เจ้าก็พาหมิงจูไปด้วยสิ เผื่อจะได้อะไรติดไม้ติดมือมาด้วยเช่นกัน”
วันที่สิบเดือนสี่ จวนราชเลขากรมขุนนาง วันฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงชราประจำตระกูล เพราะปีนี้ทางราชสำนักมีเรื่องราวปัญหาเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เดิมทีใต้เท้าเก๋อคิดจะจัดงานอย่างเรียบง่ายสักหน่อย ทว่าคนสมัยโบราณที่จะอยู่จนอายุเจ็ดสิบปีหาได้ยากยิ่ง งานฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุเจ็บสิบปีจึงมิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้แต่ฮ่องเต้ยังส่งคนมาประทานของขวัญให้ ต่อให้อยากจัดอย่างเรียบง่ายก็คงเรียบง่ายได้ไม่เท่าไรนัก ไม่นานหน้าประตูทางเข้าจวนเก๋อก็เต็มไปด้วยรถม้า ภายในจวนยิ่งละลานตาไปด้วยแขกเหรื่อชนชั้นสูง
ทุกคนเริ่มจากไปคารวะนายหญิงชราเก๋อและกล่าวคำอวยพรเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นบรรดาฮูหยินค่อยไปหาที่นั่งพูดคุยจิบน้ำชากัน บรรดาสตรีที่แต่งงานแล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มหนึ่ง ดรุณีแรกรุ่นรวมตัวกันเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้โถงรับรองแขกปีกข้างและบริเวณภายในลานบ้านแต่ละแห่งล้วนเต็มไปด้วยผู้คน
วันนี้นางฮานพาหมิงจูออกมาด้วย กำชับแล้วกำชับอีกว่านางจะต้องสำรวมกายและวาจาเข้าไว้ พูดจาให้น้อยมากที่สุดเพื่อจะได้ไม่หลุดพูดอันใดที่เป็นการเสียมรรยาทออกไป หมิงจูขานรับทุกคำสั่ง การแสดงออกที่ปรากฏระหว่างติดตามอยู่ข้างกายนางฮานจึงเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจเล็กน้อย กอปรกับรูปลักษณ์โดดเด่น จึงดึงดูดฮูหยินจำนวนหนึ่งให้เกิดความสนใจในตัวนาง แต่หลังได้ยินนางฮานกล่าวแนะนำโดยเอ่ยว่าเป็นแม่นางลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในตระกูลหลี่ ทุกคนจึงพากันเผยสีหน้าอาการเสียดายอยู่ไม่น้อย ทว่าอย่างไรก็ตาม การที่หลี่ฮูหยินนำหลานสาวมาร่วมงานสำคัญเช่นนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่าหลานสาวท่านนี้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของตระกูลหลี่อย่างยิ่ง เมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงมีฮูหยินจำนวนหนึ่งเริ่มมีความนึกคิดบางประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฮูหยินของใต้เท้าหวงผู้ดำรงตำแหน่งกงปู้หยวนไว่หลาง[1]เกิดรู้สึกสนอกสนใจมากที่สุด จึงดึงนางฮานไปถามไถ่อะไรต่อมิอะไรเพิ่มเติม
วันนี้หวงฮูหยินพาหวงอิงซึ่งเป็นบุตรสาวมาด้วยเช่นกัน หวงอิงกระตือรือร้นที่จะดึงหมิงจูไปยังโถงรับแขกด้านข้างด้วยกัน เพื่อจะได้ร่วมวงสนทนากับบรรดาหญิงสาวคนอื่นๆ
วันนี้หมิงจูได้รับคำเชยชมว่างดงามมากมาย จึงรู้สึกได้ใจเล็กน้อย อีกทั้งเวลานี้ยังมีคนให้ความสนใจในตัวนางถึงเพียงนี้จึงยิ่งดีอกดีใจขึ้นไปใหญ่ นางมองไปยังมารดาด้วยความคาดหวังว่ามารดาจะอนุญาต
นางฮานกำลังครุ่นคิดว่าตำแหน่งกงปู้หยวนไว่หลางแม้จะเป็นเพียงขุนนางระดับห้า แต่กลับเป็นตำแหน่งที่หาประโยชน์จากงานได้ไม่น้อย หากบุตรชายของตระกูลเขาอายุเหมาะสมกันดีก็น่าเก็บเอามาพิจารณาเช่นกัน นางฮานจึงเกิดความตั้งใจว่าจะสอบถามเพิ่มเติมอีกสักหน่อย และด้วยเห็นว่าหมิงจูในวันนี้นับว่าเชื่อฟังไม่น้อย จึงกล่าว “เจ้าไปเที่ยวเล่นกับบรรดาพี่ๆ น้องๆ เถอะ แต่อย่าลืมคำที่ป้าบอกกล่าวไว้ล่ะ”
หมิงจูพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้นแล้วเดินคล้องแขนหวงอิงมุ่งไปยังโถงรับแขกด้านข้าง
ติงหลั้วเหยียนหลังแต่งงานออกเรือนมาแล้วก็ออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้อื่นน้อยครั้ง วันนี้เมื่อได้ออกมาพบเจอสหายสนิทเก่าแก่ก็ไม่รู้สึกเหงาหงอยเช่นเคย
หมิงจูและหวงอิงมาถึงโถงรับแขก เห็นเพียงหญิงสาววัยเยาว์เจ็ดแปดคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและหัวเราะขึ้นมาเป็นระยะๆ อยู่ด้านใน ทั้งสองจึงไปนั่งลงด้านข้างเพื่อรับฟังเรื่องราวสนุกสนาน
“พี่อี่นั่ว เหตุใดผิวของท่านถึงดูเปล่งปลั่งปานนี้ ท่านดูข้าสิ บนหน้าผากมักมีสิวขึ้นมาอยู่เรื่อย น่าเกลียดจะแย่ จะทำอย่างไรก็ปกปิดมิได้เสียที” สตรีเยาว์วัยคนหนึ่งเปิดผมที่ปกคลุมบริเวณหน้าผากของนางให้ทุกคนดูพลางกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“หากฉิงฟางไม่เอ่ยขึ้นข้าก็มองเห็นจริงๆ พอมองละเอียดเช่นนี้ถึงจะเห็น อี่นั่ว ผิวพรรณของเจ้าช่างดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากจริงๆ รีบบอกทุกคนมาเร็วเข้าว่าเจ้าไปได้ของดีอะไรมา แบ่งปันให้พี่ๆ น้องๆ รู้บ้างสิ…” แม่นางอีกท่านหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม่นางอี่นั่วผู้มีผิวพรรณงดงามประดุจหิมะจนถูกทุกคนอิจฉาตาร้อนท่านนั้นลูบคลำพวงแก้มและกล่าวหน้าตาเฉย “เห็นชัดเจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่น่ะสิ! เจ้าส่องกระจกดูตนเองอยู่ทุกวันไม่สังเกตเห็นเลยหรือไร ตอนนี้ผิวพรรณของเจ้าเรียกว่าชมพูระเรื่อประดุจดอกท้อ แล้วยังเปล่งปลั่งงดงามประดุจหยกขาวเนื้อดีก็ว่าได้” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยความอิจฉา
ทุกคนพร้อมใจกันเร่งเร้าอี่นั่วให้บอกกล่าว
อี่นั่วกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ก็ไม่มีอันใดมากหรอก แค่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านแม่ข้ามีกระฝ้าขึ้นบนใบหน้าและได้รับการแนะนำจากคนผู้หนึ่งให้ไปหุยชุนถางของท่านหมอหลินเพื่อจ่ายยาบำรุงให้สองสามตัว หมอหลินท่านนั้นยังให้ตำรับอาหารแก่ท่านแม่ข้ามาด้วยหนึ่งชุด กล่าวว่าบำรุงความงามได้ ข้าก็เลยลองใช้ไปพร้อมกับท่านแม่ด้วย”
“แล้วรอยกระฝ้าบนใบหน้าของชิวฮูหยินหายไปหมดแล้วหรือไม่” คนผู้หนึ่งกล่าวอย่างสนอกสนใจ
อี่นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จางลงไปมากแล้วละ ตบแป้งเล็กน้อยก็มองไม่ออกแล้ว ท่านหมอหลินกล่าวว่า ทำตามวิธีที่ให้ไว้อีกสักเดือนก็จะหายจนเกลี้ยงเกลาไปได้”
ผู้คนต่างพร้อมใจเอ่ยออกมา…มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
อี่นั่วพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ! ท่านหมอหลินกล่าวว่า หากต้องการให้ผิวพรรณงดงาม จำเป็นต้องบำรุงจากภายใน ขอเพียงปรับสมดุลร่างกายให้แข็งแรงก็จะช่วยให้เห็นผลดียิ่งกว่าประทินสิ่งอื่นใดทั้งนั้น”
ผู้คนยิ่งรู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ พากันถามอี่นั่วว่าตำรับอาหารชุดนั้นเป็นเช่นไร
หมิงจูรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง เหตุใดไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่ชื่อของหลินหลัน นางเก่งกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ
“ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ ไว้กลับไปข้าจะลองดูบ้างเช่นกัน…”
“ข้าได้ยินว่าท่านหมอหลินมีความชำนาญทางด้านการบำรุงด้วยอาหารอย่างยิ่ง…”
“ถึงขั้นได้รับป้ายร้านพระราชทาน ทักษะการรักษาคงมิใช่ธรรมดาๆ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าว่าชื่อหุยชุนถางที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นี่ช่างมีความหมายยอดเยี่ยมนัก…คืนความเยาว์วัย ใครบ้างจะมิอยากหน้าตาสดใสและดูเยาว์วัยตลอดกาล”
“ฮ่าๆ ที่พี่เหมยกล่าวมานี้ช่างถูกต้องยิ่งนัก…ข้าเคยเห็นท่านหมอหลินผู้นั้นเช่นกัน ผิวพรรณของนางเองก็ดูงดงามอย่างยิ่ง ทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด ดูไม่เหมือนผู้ที่เติบโตจากบ้านป่าหลังเขาเลยสักนิด”
เสียงสบถ ฮึ อย่างเย็นชาของใครคนหนึ่งดังขึ้นขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุยสัพเพเหระอย่างสนุกสนาน “พวกเจ้าจะไปรู้อันใด ร้านหลินจี้ได้รับป้ายร้านพระราชทานมิใช่เพราะหมอหลินฝีมือเก่งกาจ แต่เป็นเพราะหมอหลินบริจาคยาให้กองทัพทหารที่มุ่งลงไปตอนใต้ต่างหากล่ะ”
“พี่เว่ย ท่านพูดจริงหรือ คงมิใช่เพียงด้วยเหตุนี้กระมัง! ระยะก่อนหน้านี้ที่ทางส่านซีเกิดโรคฝีดาษแพร่ระบาดก็มีร้านยาจำนวนมากบริจาควัตถุดิบยาให้แก่ทางราชสำนักเช่นกันมิใช่หรือ ท่านหมอฮว๋าแห่งเต๋อเหรินถางก็ไปยังส่านซีโดยมิบ่ายเบี่ยงเลยแม้แต่น้อย หากว่ากันตามเหตุและผลนี้ ทางราชสำนักควรพระราชทานรางวัลให้แก่เขาถึงจะถูกสิ…”
“ก็นั่นน่ะสิๆ ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ทรงพระราชป้ายร้านทองคำให้ เป็นเพราะท่านหมอหลินช่วยรักษาอาการป่วยเรื้อรังของเหนียงเหนียงท่านหนึ่งในพระราชวังจนหายดี” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
เว่ยจือเซวียนแสยะยิ้มแล้วกล่าว “ฉิงฟาง เจ้าไปได้ยินคำหลอกลวงนี่มาจากไหนหรือ”
ฉิงฟางกล่าวโต้เถียงทันควัน “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่ข้าได้ยินมาเป็นคำหลอกลวง”
ตามด้วยเสียงใครคนหนึ่งที่กล่าวขึ้น “ความจริงเป็นเช่นไร ข้าต่างหากที่รู้ดีมากที่สุด”
คนกลุ่มนี้มองไปยังสตรีสาวท่านนั้น หวงอิงซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างจึงกล่าวแนะนำหมิงจู “ท่านนี้คือเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะหมิงจูจากตระกูลท่านราชเลขาหลี่”
ท่านหมอหลินเป็นนายหญิงสะใภ้รองแห่งจวนหลี่ จึงเป็นที่แน่นอนว่าเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะจากตระกูลหลี่ต้องรู้ชัดกระจ่างแจ้งกว่าใครหน้าไหน
หมิงจูเห็นว่าท่าทีหลังตนเองเอ่ยปากออกไปนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนมารวมเป็นจุดเดียวได้ไม่น้อย อีกทั้งในขณะนี้ทุกคนล้วนจ้องมองมาที่นางอย่างรอคอย จึงรู้สึกได้ใจขึ้นมาทันที หลินหลันหนอหลินหลัน ทุกคนนำเจ้ามาพูดเสมือนนางฟ้านางสวรรค์ วันนี้ข้าจะเปิดเผยธาตุแท้เบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้าให้หมดเปลือกไปเลย
[1]กงปู้หยวนไว่หลาง (工部员外郎) รองอธิบดีกรมการก่อสร้าง