ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 178 เข้าใจผิด
นางฮานมองเห็นเพียงริมฝีปากของหวงฮูหยินที่กำลังพะงาบๆ ส่วนที่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่บ้างนั้น นางล้วนฟังไม่ได้ศัพท์เสียแล้ว ยามนี้ในหัวสมองของนางมีเพียงความนึกคิดเดียวที่ผุดขึ้นมา คือนางถูกหลอกแล้ว…เงินทองทรัพย์สมบัติทั้งบ้านของนาง แล้วยังมีเงินกู้จำนวนมากมายถึงเพียงนั้นอีก นางควรทำเช่นไรดี
หมิงจูเดินอย่างเร่งรีบจากห้องโถงรับแขกปีกข้างมาถึงบริเวณที่มารดาอยู่ เดิมทีคิดว่าจะฟ้องเหตุการณ์เมื่อครู่ต่อมารดาแต่กลับเห็นสีหน้าของมารดาซีดเผือดจนน่าตกใจ
“ท่านป้า ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ” หมิงจูเอ่ยถามด้วยความหวั่นใจ
“หลี่ฮูหยิน ข้าว่าสีหน้าท่านดูมิค่อยดีเลย ไม่สบายหรือเจ้าคะ” หวงฮูหยินกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นกัน
ทันใดนั้นสายตาของนางฮานจึงมีท่าทีตอบสนองขึ้นมาอีกครั้ง “อา…ไม่…ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะที่นี่อากาศร้อนอบอ้าวเกินไปน่ะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าประคองท่านป้าไปรับอากาศปลอดโปร่งด้านนอกนะเจ้าคะ” หมิงจูกล่าวเสนอความคิดเห็น
นางฮานพยักหน้าแล้วหันไปเผยรอยยิ้มอ่อนระโหยให้หวงฮูหยิน “ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“เชิญหมอมาตรวจดูอาการสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ” หวงฮูหยินกล่าวด้วยความปรารถนาดี
นางฮานฝืนยิ้มแล้วกล่าว “มิต้องหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนความสำราญใจของท่านหญิงชราไปเปล่าๆ เจ้าค่ะ”
หมิงจูประคองมารดาด้วยความรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นมารดามีท่าทีเสมือนกับวิญญาณออกจากร่างเช่นนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังปกติดีอยู่
“หมิงจู เจ้าไปเรียกพี่สะใภ้มาทีสิ” เมื่อเดินไปถึงด้านนอกในบริเวณผู้คนบางตา นางฮานจึงกล่าวสั่งการต่อหมิงจู นางไม่มีจิตใจจะเดินลอยชายอยู่ที่แห่งนี้อีกต่อไป ยามนี้สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดคือต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ทางด้านซานซีนั่นให้กระจ่างชัดแจ้งโดยเร็วที่สุด
อู่หยางจวิ้นจู่และเผยจื่อชิ่งยืนอยู่บริเวณริมหน้าต่าง มองไปยังหมิงจูและนางฮานที่กำลังเดินจากไป
“คำพูดของเจ้าในวันนี้หากแพร่สะพัดออกไป เกรงว่าคงเป็นการยากเสียแล้วหากหลี่หมิงจูคิดจะหาคู่ครองดีๆ สักคน” เผยจื่อชิ่งกล่าวติดตลก
อู่หยางแสยะยิ้ม “นี่นับว่าข้าได้ทำคุณงามความดีต่างหาก คนประเภทไม้คนสิ่งปฏิกูลเช่นนี้ หากเข้าไปอยู่บ้านผู้ใด บ้านนั้นคงเป็นอันต้องเผชิญความวิบัติ”
เผยจื่อชิ่งหลุดหัวเราะ “อุตส่าห์ไปกินเจที่เมืองซีซานถึงสองปีแล้วแท้ๆ ไยถึงยังพูดจาโผงผางได้ปานนี้อยู่อีก”
“กล่าวว่านางเป็นไม้คนสิ่งปฏิกูลยังถือว่าให้เกียรตินางแล้วต่างหากล่ะ! มิรู้จักดูสถานะของตนเองเสียบ้าง แล้วยังกล้ามาวางมาดบาตรใหญ่ต่อหน้าข้าอีก” อู่หยางกลอกตามองบนอย่างไม่แยแส นางนิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นี่! ท่านหมอหลินผู้นั้นมีความน่าสนใจขนาดที่เจ้าว่าจริงหรือ”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไว้เมื่อใดที่เจ้าได้คลุกคลีอยู่กับนางสักประเดี๋ยวก็เป็นอันรู้แล้ว?”
อู่หยางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นไว้อีกสักระยะแล้วกัน! ข้าเพิ่งกลับมา ไท่โฮ่วทรงเรียกข้าเข้าวังทุกวันเลยน่ะสิ!”
ทันทีที่กลับถึงจวนหลี่ นางฮานสั่งคนให้ไปเรียกนายซุนมาเข้าพบอย่างเร่งด่วน
แม่เจียงเห็นสีหน้าของนายหญิงดูไม่สู้ดีนัก จึงรีบเดินเข้ามาหา “ฮูหยิน ท่าน…”
นางฮานยกมือขึ้นโบกปัดๆ เป็นสัญญาณให้ชุนซิ่งและคนอื่นๆ ออกไปให้หมด
“แม่เจียง เกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว” สองดวงตาของนางฮานเต็มไปด้วยความว่างเปล่า น้ำเสียงของนางฟังดูเลื่อนลอยราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม่เจียงรู้สึกหวั่นใจอย่างยิ่ง “มีอันใดหรือเจ้าคะ”
ชุนซิ่งที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงรายงาน “นายซุนมาแล้วเจ้าค่า”
ไม่ทันที่นายซุนจะได้คารวะ นางฮานก็เอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายใจ “สรุปแล้วนายกู่ผู้นั้นมาจากแห่งหนใดหรือ แล้วเจ้าไปรู้จักเขาได้อย่างไรกัน”
นายซุนตกตะลึงไปชั่วขณะ คำถามนี้ฮูหยินเคยถามตั้งแต่แรกๆ แล้วมิใช่หรือ
“เจ้ารีบพูดมาสิ!” นางฮานกล่าวเร่งเร้าด้วยความร้อนรนใจ
“นายกู่ท่านนั้นเคยเป็นกุนซือที่เมืองเฉาปางขอรับ โดยรู้จักกันเมื่อสองปีก่อนตอนที่ทำกิจการค้าขายเสบียงอาหาร ฮูหยิน มีอันใดผิดปกติหรือขอรับ” นายซุนยังคงบอกกล่าวด้วยคำพูดเดิมๆ
นางฮานเงียบงันไปชั่วขณะ “ตอนนี้เจ้าติดต่อเขาได้หรือไม่”
นางซุนกล่าวตอบ “ตอนเดือนสองที่นายกู่นำเงินปันผลมามอบให้ได้กล่าวไว้ว่าจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนสี่ขอรับ คาดว่าขณะนี้น่าจะกำลังอยู่ระหว่างทางมาเมืองหลวงแล้วขอรับ”
เมื่อเอ่ยถึงเงินปันผลแสนตำลึงนั่น นางฮานยิ่งลนลาน เกิดนายกู่ใช้เงินปันผลแสนตำลึงมาหลอกหกแสนตำลึงของนาง…นางฮานไม่กล้าจินตนาการต่อไปเลยว่านางจะรับมือต่อการสูญเสียแห่งประวัติการณ์นี้ได้อย่างไร
แม่เจียงพอจะฟังออกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก จึงกล่าวถามด้วยความกังวล “ฮูหยินเจ้าคะ หรือว่านายกู่ท่านนั้น…เชื่อถือมิได้เจ้าคะ?”
นายซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ ที่เมืองเฉาปางนายกู่มีชื่อเสียงเรืองนามมากนัก”
“แต่เขากล่าวว่าตระกูลหวงที่ดำรงตำแหน่งกงปู้หยวนไว่หลางกำลังทำกิจการเหมืองถ่านหินนี้เช่นกัน วันนี้ข้าได้พบปะกับหวงฮูหยิน นางกลับเอ่ยว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้” นางฮานเอ่ยถาม
นายซุนกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เป็นไปมิได้กระมัง! คาดว่าหวงฮูหยินท่านนั้นมิอยากให้ท่านรู้เรื่องนี้กระมังขอรับ!”
“นั่นสิเจ้าคะ! ฮูหยิน เรื่องช่องทางทำรวย ปกติแล้วคนเขาไม่ยินยอมบอกให้คนนอกรับรู้กันหรอกเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวเพื่อปลอบใจนาง
นางฮานจึงเกิดความสับสนขึ้นมาอีกครั้ง เป็นไปได้หรือที่หวงฮูหยินจะปิดบังนาง ทว่ามองดูแล้วไม่เหมือนเช่นนั้นเลยสักนิด! หากสิ้นเดือนสี่นายกู่มาพบได้ก็คงไม่น่ามีปัญหาอันใดกระมัง!
นางฮานพยายามทำให้ตนเองสงบจิตสงบใจลง “นายซุน เจ้ารีบไปสืบสาวเกี่ยวกับนายกู่ผู้นี้เพื่อทำความรู้จักมากขึ้นอีกหน่อย รวมถึงแต่ละตระกูลที่เขาเอ่ยว่าร่วมเปิดเหมืองอยู่กับเขาว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
นายซุนกล่าว “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เจ้าระมัดระวังไว้หน่อยล่ะ เรื่องนี้อย่าได้ประมาทไปเชียว เมื่อมีข่าวคราวแล้วรีบกลับมารายงานข้า” นางฮานกล่าวสั่งการอย่างจริงจัง
ภายในใจของแม่เจียงยามนี้กำลังลนลานไม่แพ้กัน ตนเองกล่าวเกลี้ยกล่อมนายหญิงตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องระมัดระวังเอาไว้หน่อย ทว่านายหญิงในตอนนั้นหน้ามืดและใจร้อนเสียยิ่งกระไร พอตอนนี้มากล่าวว่าอย่าได้ประมาทไปเชียว มันไม่สายเกินไปแล้วหรือ คงได้แต่หวังว่าเรื่องราวจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น จะทำเงินได้มากได้น้อยเพียงใดล้วนไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงอย่าได้ขาดทุนย่อยยับจนถูกขูดเลือดขูดเนื้อก็เป็นพอ!
นางฮานกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ซานซีเพียงอย่างเดียวจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าวันนี้หมิงจูก็มีความผิดปกติไปเช่นกัน หลังพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้จิตใจสงบนิ่งเป็นที่เรียบร้อย จึงไปเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวดองกับตระกูลหวงต่อผู้เป็นสามี ผู้เป็นสามีก็คิดว่าไม่เลวเลยทีเดียว เวลานี้จึงรอเพียงตระกูลหวงมาสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น
ทว่าหลังจากรอมาถึงสามวันแล้ว ทางด้านตระกูลหวงยังคงไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ นางฮานจึงรู้สึกร้อนรนใจ แต่จะไปเร่งเร้าถึงที่ก็คงดูไม่ดีนัก ทว่าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ก็มิใช่วิธีที่ถูกต้องเช่นกัน ทันใดนั้นนางนึกขึ้นมาได้ว่าในวันนั้นหวงฮูหยินเคยกล่าวไว้ว่า นางมีกิจการดีๆ อย่างหนึ่งที่ต้องการแนะนำแก่นาง จึงอาศัยข้ออ้างนี้ส่งบัตรเชิญให้หวงฮูหยินมาพบปะถึงบ้านในวันพรุ่งนี้ ทางด้านนี้เพิ่งส่งบัตรเชิญออกไปเมื่อครู่ ผู้ดูแลจ้าวก็มาส่งข่าวรายงานโดยกล่าวว่า หลังจากสืบเสาะแล้วได้ความว่าผู้ที่ซื้อหินสีเหลืองทองไปมิใช่ผู้อื่นใด แต่เป็นคุณชายรองหลี่หมิงอวินนั่นเอง
หลายวันมานี้นางฮานเป็นอันอยู่ไม่สุข เดิมทีจิตใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้ว พอได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที นางไม่พูดพร่ำทำเพลง พาแม่เจียงมุ่งไปยังห้องหนังสือของสามีทันที
“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านต้องจัดการให้สมเหตุสมผลนะเจ้าคะ น้องหมายตาหินสีเหลืองทองก้อนนั้นไว้แล้ว เดิมทีต้องการซื้อเพื่อมอบให้แก่ใต้เท้าเก๋อเพื่อจะได้ให้ใต้เท้าเก๋อช่วยดูแลชี้แนะหมิงเจ๋อให้มากๆ หน่อย ใครจะรู้ว่าจะถูกคนแย่งชิงไปกลางคัน แล้วท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าผู้นั้นเป็นใคร ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหมิงอวินเจ้าค่ะ ท่านว่าเขาทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใดหรือ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังขัดขวางความก้าวหน้าของหมิงเจ๋อนะเจ้าคะ” นางฮานร่ายสถานการณ์ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวทันทีที่พ้นประตูเข้าไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าหมิงเจ๋อและหมิงอวินล้วนอยู่ในห้องหนังสือด้วยเช่นกัน
หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้ว เขาโยนตำราที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วกล่าวด้วยความไม่พึงพอใจ “เจ้าอย่าเอาแต่โวยวายยกใหญ่ทั้งที่ได้ยินมาเพียงเศษเสี้ยวเดียว ยังไม่ทันเข้าใจเรื่องราวกระจ่างชัดเจนก็โวยวายเป็นบ้าเป็นหลังได้ไป”
นางฮานกล่าวด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว “นี่ยังต้องทำความเข้าใจอีกหรือเจ้าคะ เรื่องราวก็มีอยู่ให้เห็นๆ มิใช่หรือ เขาคงไม่อยากเห็นหมิงเจ๋อได้ดี จึงอยากทำให้หมิงเจ๋อลืมตาอ้าปากไม่ขึ้นไปชั่วชีวิต…”
“ท่านแม่…” หมิงเจ๋อไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปจึงลุกขึ้นแล้วกล่าว “ท่านเข้าใจน้องรองผิดไปแล้วขอรับ”
ทันทีที่นางฮานหันกลับไปถึงได้พบว่าหมิงอวินก็อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน หมิงอวินมีท่าทีสงบนิ่งเยือกเย็น ทันใดนั้นนางฮานก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางแทนที่ความอับอายเมื่อครู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว นางอดทนต่อคนผู้นี้มานานมากเกินไปแล้วจริงๆ หากเป็นเรื่องอื่นคงปล่อยเลยตามเลย ทว่าเขาถึงขั้นเล่นงานหมิงเจ๋อ นี่เป็นเรื่องที่นางยอมไม่ได้
“เข้าใจผิดอันใดหรือ เจ้าคิดจะพูดว่าเขามิรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยสักนิดเช่นนั้นหรือ หมิงเจ๋อ เจ้าอย่าไร้เดียงสาให้มากนักเลย…” นางฮานชักสีหน้า ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป
“พอได้แล้ว” หลี่จิ้งเสียนตะคอกภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าว่าคนที่ควรตาสว่างให้มากๆ เข้าไว้เป็นเจ้าต่างหาก คำพูดคำจาเต็มไปด้วยการหลอกลวง ไม่มีคุณสมบัตินายหญิงของบ้านสักนิด หมิงอวินซื้อหินก้อนนั้นแล้วนำไปส่งมอบแด่ใต้เท้าเก๋อด้วยตนเอง โดยหวังว่าใต้เท้าเก๋อจะชี้แนะหมิงเจ๋อให้ได้ดิบได้ดี เรื่องนี้ยังไม่ทันได้บอกเล่าให้เจ้ารับรู้ เจ้าก็เข้ามากล่าวให้ร้ายเขาสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้านี่มันช่างไร้ความละอายใจเสียจริง ดีแต่ใช้ความคิดเห็นเลวทรามไปตัดสินผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง คงมีก็แต่คนอย่างเจ้านี่แหละ” หลี่จิ้งเสียนตำหนิ
หมิงเจ๋อเห็นว่าบิดาเริ่มฉุนเฉียวจึงรีบกล่าวเกลี้ยกล่อมทันที “ท่านพ่อใจเย็นๆ ก่อนนะขอรับ แค่การเข้าใจผิดเท่านั้นเองขอรับ”
หมิงอวินหัวเราะแผ่วก่อนจะคารวะแล้วกล่าวขึ้น “ลูกทำให้ท่านแม่เกิดความเข้าใจผิด ลูกเองก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกันขอรับ ทว่าลูกไม่ทราบจริงๆ ว่าหินก้อนนั้นท่านแม่หมายปองไว้แต่แรกแล้ว เพียงแต่รู้มาว่าท่านใต้เท้าเก๋อชื่นชอบสะสมสิ่งของเหล่านี้ถึงได้ตั้งใจไปตามหามาจนได้ ลูกเองก็อยากช่วยพี่ใหญ่อีกแรงเช่นกันขอรับ ภายภาคหน้าเราสองพี่น้องจะได้ช่วยสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ขอท่านแม่ให้อภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกด้วยขอรับ”
ทั้งๆ ที่นางฮานรู้ดีว่าภายใต้ลักษณะภายนอกซึ่งดูอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นแฝงไว้ซึ่งหัวใจดวงหนึ่งที่เป็นเช่นไร หมิงอวินไม่มีทางประสงค์ดีถึงเพียงนี้ไปได้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นแผนการหนึ่งที่เขาวางไว้ด้วยความชาญฉลาด ทว่าต่อให้รู้ว่านี่เป็นแผนการหนึ่งแล้วอย่างไรหรือ ในเมื่อเขาได้เปรียบในทุกๆ ด้านแล้วนางยังพูดอะไรได้อีกหรือ ขืนพูดต่อไปคงมีแต่ทำให้ผู้เป็นสามีรู้สึกว่านางไม่รู้จักเหตุจักผลและจิตใจคับแคบ เมื่อนางฮานลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว จึงปรับสีหน้าอ่อนลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าเองก็อย่าได้ตำหนิที่แม่โทษเจ้าเลย เรื่องนี้มันประจวบเหมาะกันเกินไปจึงทำให้อดเกิดความสงสัยขึ้นมามิได้ ในเมื่อความเข้าใจผิดได้รับการชี้แจงกระจ่างแจ้งแล้ว เช่นนั้นก็เป็นอันแล้วต่อกันไป วันหน้าวันหลังมีเรื่องอันใดต้องรีบปรึกษาหารือกับท่านพ่อเจ้าแต่เนิ่นๆ จะได้มิเกิดความเข้าใจผิดอันใดขึ้นมาอีก”
“ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของท่านแม่ขอรับ” หลี่หมิงอวินยังคงคารวะอย่างมีมารยาท โดยไม่แสดงท่าทีไม่พึงพอใจออกมาเลยแม้แต่น้อย
นางฮานที่กำลังอึดอัดหัวใจจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก “ท่านพี่ก็อย่าได้อยู่จนดึกเกินไปนะเจ้าคะ รักษาสุขภาพให้มากๆ นอนพักผ่อนแต่หัววันหน่อยเจ้าค่ะ” นางฮานหันหลังให้แล้วเดินออกไปทันทีที่พูดจบ
หมิงเจ๋อตบบ่าของหมิงอวินอย่างเบามือแล้วกล่าวขออภัย “น้องรองอย่าได้ถือสาไปเลย ท่านแม่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าลำบากใจ”
หมิงอวินยิ้มอย่างไม่ถือสาแล้วกล่าวอย่างเศร้าใจเล็กน้อย “ท่านแม่คำนึงถึงพี่ใหญ่ แล้วข้าจะถือสาได้อย่างไรกัน ก็แค่อดรู้สึกอิจฉาพี่ใหญ่มิได้จริงๆ ที่มีมารดารักและเอาใจใส่ถึงเพียงนี้”
เมื่อหลี่จิ้งเสียนนึกถึงนางเยี่ยขึ้นมา ความเกลียดชังที่มีต่อนางฮานก็ทวียิ่งขึ้น “แม่ของเจ้านับวันยิ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวเข้าไปใหญ่จริงๆ” เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา
นางฮานที่กำลังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวจนอัดแน่นเต็มอกเอ่ยปากถามแม่เจียง “แม่เจียง คำพูดของเอ้อร์เส้าเหยีย เจ้าเชื่อหรือไม่”
แม่เจียงกล่าวหลังจากครุ่นคิด “ทว่าเอ้อร์เส้าเหยียซื้อหินก้อนนั้นก็เพื่อต้าเส้าเหยียจริงๆ นะเจ้าคะ…ไม่แน่ว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
“ข้าคิดว่าเรื่องราวมันมิได้ธรรมดาถึงเพียงนั้นหรอก เขามันเป็นประเภทต่อหน้าทำเป็นหวังดีห่วงใย ทว่าใจจริงกลับเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย” นางฮานกล่าวอย่างมั่นใจ
“สรุปแล้วเอ้อร์เส้าเหยียมีประสงค์ใดกันแน่ พวกเราคงมิอาจรู้ได้ในตอนนี้ เอาเป็นว่าบ่าวจะให้คนคอยจับตาดูเอ้อร์เส้าเหยียไว้ให้นะเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าว
เมื่อกลับถึงโถงหนิงเฮ๋อ ผู้ดูแลจ้าวกลับมารายงานอีกครั้งโดยเอ่ยว่าฮูหยินหวงไม่ค่อยสบาย จึงเกรงว่าคงมาตามนัดหมายในวันพรุ่งนี้ไม่ได้เสียแล้ว
“เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่สบายขึ้นมาล่ะ” นางฮานกล่าวด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าได้พบเจอฮูหยินหรือไม่”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวตอบ “บ่าวมิได้เจอหวงฮูหยินขอรับ เป็นผู้ดูแลในจวนหวงออกมาบอกกล่าวขอรับ”
แม่เจียงกล่าวคาดการณ์ “หรือมิได้ป่วยจริงๆ เจ้าคะ? ว่ากันตามหลักแล้ว การที่ฮูหยินส่งบัตรเชิญให้นางนั้น ถือเป็นการให้เกียรตินางอย่างยิ่งเลยนะเจ้าคะ”
นางฮานนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานพอตัวแล้วจึงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ในเมื่อนางล้มป่วย เช่นนั้นข้าก็จะไปเยี่ยมเยียนนางสักหน่อยแล้วกัน”