ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 180 กลับบ้านเกิด
อาจเป็นเพราะระยะนี้นางฮานถูกมรสุมโจมตีไม่เว้นว่าง จึงค่อนข้างมีแรงต้านทานต่อความกดดันพอตัวทีเดียว แต่อาจเป็นเพราะความรุนแรงของการโจมตีครานี้มากไปหน่อย จึงถึงกับสติหลุดไปชั่วขณะ
เดิมทีติงหลั้วเหยียนตั้งใจว่าจะไม่บอกกล่าวเรื่องนี้ หมิงเจ๋อเองก็มีความนึกคิดเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้เบาความกังวลใจของแม่สามี และพ่อสามีจะได้ไม่ต้องโกรธเกรี้ยวให้เสียอารมณ์ ทว่าหากแม่สามีไปบ้านตระกูลหวง เกรงว่าเรื่องนี้คงปิดบังไว้ไม่ได้อีกต่อไป และไม่แน่ว่ายังจะได้รับคำตำหนิสาดเสียเทเสียจากคนเขาอีก ดังนั้นระหว่างปล่อยให้ผู้อื่นเป็นคนมาพูด ไม่สู้นางพูดเองจะดีเสียกว่า ทว่าตอนนี้หลังพูดจบไปแล้ว แม่สามีกลับเหม่อลอยเสมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเสียแล้ว ติงหลั้วเหยียนจึงกังวลใจอย่างยิ่ง
แม่เจียงกล่าวเสียงกระซิบ “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ หรือไม่ท่านกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวช่วยดูทางนี้ให้เองเจ้าค่ะ!”
ติงหลั้วเหยียนถอนหายใจอย่างเงียบๆ น้องหมิงจูผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียจริง ในสถานที่เช่นนั้น ต่อให้เป็นการพลั้งปากหลุดออกไปเพียงคำเดียวก็ล้วนนำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายได้อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนั้นนางยัง…สิ่งสำคัญมากที่สุดของบุตรสาวตระกูลนี้ก็คือชื่อเสียง ยามนี้เกรงว่าคำพูดดังกล่าวจากปากอู่หยางจวิ้นจู่คงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงเรียบร้อยแล้วกระมัง เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดกล้าสู่ขอนางได้อีก
“แม่เจียง เจ้าช่วยดูแลหน่อยแล้วกัน หากมีเรื่องอันใดก็รีบมาบอกกล่าวข้า” ติงหลั้วเหยียนกล่าวเสียงกระซิบ
“เจ้าค่ะ! บ่าวรับมือได้อยู่เจ้าค่ะ” แม่เจียงส่งนายหญิงสะใภ้ใหญ่ออกพ้นประตูไปด้วยความนอบน้อม
ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงัด แม่เจียงไม่รู้เช่นกันว่าควรปลอบนายหญิงอย่างไรดี นายหญิงยอมหัวใจแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแม่นางน้อยหมิงจู ทว่าแม่นางน้อยหมิงจูกลับไม่รู้ประสีประสาเสียเหลือเกิน ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือทำลายอนาคตของตนเองด้วยเสียแล้ว ครานี้นายหญิงคงเจ็บปวดหัวใจอย่างมากเลยทีเดียว!
เนิ่นนานพอตัว นางฮานถึงได้เอ่ยปากขึ้น “แม่เจียง เจ้าไปเรียกคุณหนูมาที”
แม่เจียงท่าทีลังเลใจ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยนะเจ้าคะ”
นางฮานยกยิ้มเย็นชา เยาะหยันตนเอง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ข้าโกรธจนแทบเป็นแทบตายก็ช่วยอะไรขึ้นมาไม่ได้แล้วละ”
หมิงจูรู้ดีแก่ใจเช่นกันว่าเรื่องนี้คงปิดบังเอาไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน ตอนนั้นรู้สึกเพียงโกรธเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจ ต่อมาภายหลังยิ่งคิดยิ่งเกรงกลัว หากให้บิดารับรู้เข้า นางคงต้องถูกเฆี่ยนตายแน่ๆ
“แม่เจียง ท่านป้ากำลังโกรธอยู่ใช่หรือไม่” หมิงจูเอ่ยถามอย่างหวาดกลัว
แม่เจียงส่ายหน้าขณะมองไปที่นางแล้วกล่าว “เสี่ยวเจี่ยะ อย่าโทษว่าบ่าวพูดมิน่าฟังเลยนะเจ้าคะ ท่านอยู่ภายในบ้านจะก่อความวุ่นวายเพียงใดล้วนได้ทั้งนั้น ทว่าเหตุใดท่านถึงไปก่อความวุ่นวายด้านนอกเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ แล้วท่านจะให้ฮูหยินทำเช่นไร ต่อให้อยากปกป้องท่านก็คงปกป้องมิได้แล้วละเจ้าค่ะ!”
หมิงจูบ่นอุบอิบด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าเพียงแค่ทนฟังมิได้ที่ใครๆ ต่างชื่นชมพี่สะใภ้รอง นางมีอะไรดีที่ไหนกัน!”
แม่เจียงส่ายหน้าพัลวัน “เสี่ยวเจี่ยะ จะว่าท่านเลอะเทอะท่านก็เลอะเทอะจริงๆ นั่นละเจ้าค่ะ เอาเถอะ ไว้ท่านไปอธิบายกับฮูหยินด้วยตนเองเถอะเจ้าค่ะ! บ่าวช่วยอะไรท่านมิได้เช่นกัน”
หมิงจูไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะความหวาดกลัว นางเอ่ยถามด้วยสีหน้าน่าเวทนา “แม่เจียง ข้ามิเข้าไปได้หรือไม่”
แม่เจียงแทบอดกลั้นความรู้สึกอยากตำหนินางเอาไว้มิได้ “เสี่ยวเจี่ยะเจ้าคะ แล้วท่านคิดว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
นางฮานชำเลืองมองบุตรสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอตัว ทว่ายังคงสรรหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายความรู้สึกในนาทีนี้ไม่ได้ หากทั้งหมดเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ตอนที่นางตั้งครรภ์มารผจญผู้นี้ นางจะกำจัดทิ้งอย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด เพื่อหมิงจู นางยอมแบกรับความหายนะเอาไว้ก็แล้ว โทสะมากมายนางก็ล้วนแบกรับเอาไว้ทั้งหมด ด้วยคาดหวังเพียงว่าหมิงจูจะได้คู่ครองดีๆ สักคน เมื่อส่งนางออกไปอย่างสงบสุขเรียบร้อย เพียงเท่านี้หัวใจดวงนี้ก็เป็นอันวางใจแล้ว แต่ใครจะคาดถึงว่า หมิงจูจะทำได้ปานนี้ ทำลายอนาคตของตนเองเสียสิ้นซาก ในยามนี้แม้ว่านางจะมีความสามารถมากมายเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้อีกแล้ว
“หมิงจูเอ๋ย! คราวนี้แม่คงช่วยเหลือเจ้ามิได้แล้ว ถือโอกาสที่ท่านพ่อเจ้ายังไม่รู้เรื่องราว แม่จะช่วยหาเหตุผลให้เจ้าเพื่อส่งเจ้ากลับไปบ้านเกิดก่อนแล้วกัน!” บนใบหน้าของนางฮานเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ฟังดูไร้เรี่ยวแรงไม่แพ้กัน
หมิงจูมองดูมารดาด้วยความเศร้าสลดแล้วกล่าวเสียงอ่อน “เช่นนั้นเมื่อใดลูกถึงจะกลับมาได้หรือเจ้าคะ”
นางฮานตวัดสายตาดุดันขึ้นทันใด พร้อมกับจังหวะลมหายใจที่หนักหน่วงขึ้น “เจ้าคิดว่าเจ้ายังอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้อีกหรือ อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นเพียงหลานสาวของจวนหลี่เลย ต่อให้เจ้าเป็นบุตรสาวอย่างชอบธรรม ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีที่สำหรับเจ้าอีกแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หมิงจูถึงกับเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ความรู้สึกลนลานสับสนประดังประเดเข้ามาอย่างล้นหลาม “ท่านแม่ ลูกก็แค่ต่อปากต่อคำกับอู่หยางจวิ้นจู่ไปไม่กี่ประโยคเท่านั้นเองนะเจ้าคะ…”
นางฮานมองดูมารผจญที่ยังไม่รู้จักสำนึกผู้นี้ด้วยความรู้สึกอยากเฆี่ยนตีนางให้ตายๆ ไปเสียสิ้นเรื่อง “ต่อปากต่อคำไม่กี่ประโยคเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอู่หยางจวิ้นจู่เป็นผู้ใด นางเป็นหลานสาวของจงกั๋วกง เป็นหลานสาวที่ไท่โฮ่วรักและเอ็นดูมากที่สุด เป็นผู้ที่ต่อให้ข้าพบเจอนางก็ต้องประจบประแจงนางเข้าไว้ เขาเป็นผู้ที่หากโมโหสุดขีดก็บีบคอเจ้าจนตายได้ เจ้ากลับกล้าดีไปต่อปากต่อคำกับเขา สรุปแล้วเจ้ามีมันสมองบ้างหรือไม่ ห๊ะ” นางกัดฟันแน่น กล่าวอย่างดุดัน
หมิงจูน้ำตาไหลพราก กล่าวทั้งเสียงสะอึกสะอื้น “ตอนนั้นลูกมิรู้ฐานะตัวตนของนางนี่เจ้าคะ!”
นางฮานโกรธเกรี้ยวจนเนื้อตัวสั่น “ต่อให้อู่หยางจวิ้นจู่มิได้อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วเจ้าคิดว่าจะพูดประโยคไร้สมองเหล่านั้นออกไปต่อหน้าบรรดาคุณหนูพวกนั้นได้หรือ ในที่แห่งนั้นมีใครบ้างที่มิใช่ผู้มีฐานะสูงศักดิ์ หลินหลันจะดีหรือไม่ดีมันใช่เรื่องที่เจ้าต้องไปถกเถียงหรือ เจ้ากระทำเช่นนั้นจนทำลายชื่อเสียงของตนเองเพื่อทำลายคนชั้นต่ำผู้นั้น เจ้านี่มันช่างเหลือเกินจริงๆ”
หมิงจูร้องห่มร้องไห้เสียงดังยิ่งขึ้นด้วยภายในใจรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เหตุใดตอนนั้นถึงไม่รู้จักยับยั้งห้ามใจเสียบ้างนะ?
“ร้องไห้ เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ” นางฮานกล่าวด้วยความเดือดดาล “เจ้ากลับไปอยู่บ้านทำตัวให้ดีๆ เข้าไว้ แม่จะช่วยเจ้าหาคู่ครองจากครอบครัวที่มีหน้ามีตาให้สักคน แล้วเจ้าก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นั่นไปแล้วกัน ขืนยังขาดความระมัดระวังและไร้สมองปานนี้อีก เจ้าก็คงทำได้เพียงออกจากบ้านไปเป็นแม่ชีเสีย”
“แม่เจียง ป่าวประกาศออกไปว่าปีนี้เป็นต้าเหล่าเหยีย[1]อายุครบรอบห้าสิบปี เหล่าเหยียและข้าปลีกตัวไปมิได้เป็นการชั่วคราว จึงให้หมิงจูกลับไปมอบของขวัญให้ก่อน” นางฮานกล่าวหลังจากตัดสินใจเด็ดขาด
แม่เจียงขานรับแล้วหันไปกล่าวเชิงเกลี้ยกล่อมเมื่อมองเห็นหมิงจูที่กำลังร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ “เสี่ยวเจี่ยะ ท่านก็อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ระวังคนที่อยู่ด้านนอกจะได้ยินแล้วไปถึงหูของเหล่าเหยียเข้าจนได้นะเจ้าคะ ถึงตอนนั้นต่อให้อยากไปก็ไปมิได้แล้วละเจ้าค่ะ”
หมิงจูรีบเก็บเสียงทันทีทันใด แต่ด้วยร้องห่มร้องไห้อย่างหนักหน่วงจึงไม่อาจสะกดกลั้นได้ในทันที นางสะอึกสะอื้นจนตัวโยน เห็นแล้วน่าสงสารจับใจ
นางฮานเจ็บปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าปล่อยหมิงจูไว้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ นางจึงได้แต่หลับตาลงแล้วเรียกแม่เจียงให้พาตัวออกไป เมื่อมองไม่เห็นเสียก็คงไม่ต้องวุ่นวายใจอีก
หมิงจูเดินไปพลางหันกลับมามองเป็นระยะ กล่าวทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ท่านจะไม่สนใจไยดีลูกมิได้นะเจ้าคะ ท่านต้องรับลูกกลับมานะเจ้าคะ…”
กลับมา? กลับมาแล้วจะแต่งกับใคร ห๊ะ นางฮานยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าผาก อีกมือหนึ่งทุบบริเวณหน้าอกของตนเอง คลื่นลูกใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นครานี้ส่งผลให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก!
ติงหลั้วเหยียนกลับไปยังเรือนเวยอวี่แล้วนำเรื่องนี้บอกเล่าให้หมิงเจ๋อรับรู้ หมิงเจ๋อถึงกับเหม่อลอยไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ปิดบังไว้มิได้อยู่แล้ว หากไปเข้าหูของท่านพ่อก่อน เกรงว่าคงยิ่งแย่ไปมากกว่านี้ ช่างเถอะ ควรปล่อยนางให้ได้รับบทเรียนจากความผิดบ้างเช่นกัน”
ในคืนเดียวกัน ทุกคนไปน้อมทักทายยามค่ำ ณ โถงจาวฮุย นางฮานจึงเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าจะให้หมิงจูกลับไปอวยพรวันคล้ายวันเกิดพี่เขย
หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าว “พี่ใหญ่อายุครบห้าสิบปีบริบูรณ์ ว่ากันตามหลักแล้วข้าควรกลับไปด้วยตนเอง ต่อให้ข้าไปมิได้ หมิงเจ๋อหรือหมิงอวินก็ควรไปแทนสักคน ทว่าหากหมิงเจ๋อสอบผ่านขุนนางแล้วก็ต้องคอยอยู่ในเมืองหลวงเพื่อรอตำแหน่งงาน ใครจะรู้วันดีคืนดีเพิ่งไปหยกๆ เกิดเรียกเข้ารับตำแหน่งงานโดยด่วนขึ้นมาอีก ส่วนหมิงอวินยิ่งแล้วใหญ่ เพิ่งเลื่อนขั้นในตำแหน่งงาน มีหรือจะปลีกตัวออกไปไหนได้ เฮ้อ…คงทำได้เพียงให้หมิงจูไปเสียแล้วละ”
หญิงชรากล่าว “หรือไม่ ข้ากลับไปพร้อมหมิงจูเลยแล้วกัน! จากที่นั่นมาก็หลายเดือนแล้วด้วย”
นางฮานรู้สึกดีใจเล็กน้อย นี่ช่างเป็นผลพลอยได้อันคาดไม่ถึงซึ่งดีงามเสียจริง
แต่แล้วกลับได้ยินผู้เป็นสามีกล่าวเพียงว่า “นานครั้งท่านแม่ถึงจะมาที อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่สักสองสามปีขึ้นไป หรือมิต้องกลับไปทางนั้นแล้วจะเป็นการดีที่สุด ลูกจะได้ตอบแทนพระคุณท่านแม่ให้ได้เต็มที่ขอรับ ก่อนพี่สะใภ้ใหญ่กลับไปก็บอกไว้แล้วมิใช่หรือขอรับว่าให้ท่านแม่อยู่ที่นี่ วางใจเถอะขอรับ เรื่องวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดของพี่ใหญ่ พี่สะใภ้จะช่วยวางแผนจัดการให้อย่างเหมาะสม อีกอย่าง หลิวอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้วด้วย มิใช่ท่านแม่บ่นอยู่ตลอดว่าอยากอุ้มหลานหรือขอรับ”
หญิงชราจึงเกิดความลังเลใจขึ้นมาครั้ง ซึ่งเหตุผลข้อสุดท้ายนี้ช่างดึงดูดใจนางได้อย่างดีเสียด้วย
หลินหลันและหลี่หมิงอวินสื่อสารกันผ่านสายตา ขณะที่ภายในใจต่างเข้าใจว่าแม่มดชราส่งหมิงจูกลับบ้านเกิดเพื่ออันใด ซึ่งเหตุผลที่นำมาใช้อ้างนี้นับว่าฟังขึ้นเสียด้วยโดยหารู้ไม่ว่าความจริงมิใช่เช่นนั้น เพราะความจริงคือไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้อีก จึงไล่ให้ไสหัวกลับบ้านเกิดไปโดยเร็วต่างหาก
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสริม “ท่านย่าอยู่กับท่านลุงและท่านอาสามมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว จึงควรถึงคราที่ครอบครัวพวกเราจะดูแลท่านบ้างแล้วเช่นกัน ท่านพ่อเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่จะได้ตอบแทนพระคุณท่านย่าเสมอมา ไม่ง่ายเลยกว่าท่านย่าจะมาถึงที่นี่ หากท่านย่าจะอยู่เพียงไม่กี่เดือน ท่านพ่อคงผิดหวังไม่น้อยเลยนะขอรับ! ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเราเองก็เสียดายเช่นกัน อีกอย่าง ผู้คนภายนอกที่มิรู้สถานการณ์ภายในจะพากันกล่าวว่าท่านพ่อไม่กตัญญูรู้คุณ ทำให้ท่านย่าอยู่ที่นี่ต่อไปมิไหวเสียแล้ว! เช่นนี้มิเท่ากับจะส่งผลไปถึงชื่อเสียงต่อหน้าที่ขุนนางหรือขอรับ”
ประโยคเหล่านี้ล้วนกล่าวได้ตรงความนึกคิดก้นบึ้งหัวใจของหลี่จิ้งเสียน เขาจึงกล่าวเสริมทันควัน “หมิงอวินพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่งขอรับท่านแม่”
“อีกสองปีจะถึงวันที่ท่านปู่อายุครบเจ็ดสิบปีแล้วด้วย เมื่อถึงตอนนั้นพี่ใหญ่คงได้เป็นขุนนางแล้วเช่นกัน ไว้พวกเราค่อยกลับไปฉู่โจวด้วยกัน แล้วจัดพิธีสวดมนต์และบูชาพร้อมถือศีลเป็นเวลาสี่สิบเก้าวันเพื่ออุทิศให้ท่านปู่ จัดให้ใหญ่โตดีๆ สักครั้ง เช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว
“จริงด้วยๆ ลูกก็เคยคิดถึงเรื่องนี้ไว้ตั้งนานแล้วขอรับ ถึงตอนนั้นจะได้ปรับปรุงโถงบรรพบุรุษขึ้นใหม่ด้วยขอรับ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวหลังส่งเสียงหัวเราะร่า เมื่อกลับไปตอนนั้นถึงเรียกได้ว่าเป็นการกลับบ้านเกิดอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี
ในท้ายที่สุดหญิงชราจึงคล้อยตามไปด้วย “เช่นนั้นก็อยู่ต่ออีกหน่อยแล้วกัน เพียงแต่หมิงจูกลับไปลำพัง ระหว่างทางนี้…”
นางฮานรู้สึกเจ็บใจที่หมิงอวินปากมากไม่เข้าเรื่อง แต่ก็ไม่อาจแสดงออกใดๆ ได้ นางฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าว “ท่านแม่มิจำเป็นต้องกังวลใจไปเจ้าค่ะ ลูกจะรบกวนผู้ดูแลจ้าวสักครั้งให้ช่วยส่งหมิงจูกลับไปด้วยตนเอง วางใจได้เลยเจ้าค่ะ”
หมิงเจ๋อมองดูน้องสาวที่กำลังก้มหน้าไม่พูดไม่จาด้วยความรู้สึกกังวลและแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ กลับไปหลบหลีกข่าวลือก่อนก็ดีเหมือนกัน ไว้รอทุกคนลืมๆ เรื่องนี้ไปแล้วค่อยกลับมาอีกครั้งก็คงได้
หลังกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายหลินหลันกล่าวขึ้นระหว่างให้อวี้หลงช่วยนางถอดเครื่องประดับบนศีรษะ “หากหมิงจูกลับไปแล้ว ข้าคงรู้สึกเบื่อหน่ายน่าดู” การมีแม่นางตัวน้อยๆ ผู้โง่เขลาที่ดีแต่ก่อเรื่องไปวันๆ อยู่ด้วยมันชวนให้รู้สึกสนุกจะตาย! และหากมีตัวก่อเรื่องไม่เว้นว่างผู้นี้อยู่คงทำให้แม่มดชราทุกข์ทรมานไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว! ช่างน่าเสียดายจริงๆ
หลี่หมิงอวินหย่อนตัวลงนั่งด้วยอารมณ์ผ่อนคลายแล้วกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องจากไปอยู่แล้ว เพียงแต่จะให้นางจากไปโดยง่ายดายปานนี้มิได้”
หลินหลันหันขวับแล้วเอ่ยถาม “หมายความว่า?”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันมีนัยลึกล้ำ “หายนะที่นางก่อทุกครั้งล้วนเป็นแม่มดชราช่วยปิดบังให้นาง รับผิดชอบแทนนาง นางถึงได้จำไม่ขึ้นใจเสียที ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่แม่มดชราใจร้อนจัดการส่งนางกลับบ้านเกิดไปโดยเร็วถึงเพียงนี้ คงเป็นเพราะเกรงกลัวว่าท่านพ่อรับรู้เข้าแล้วจะโกรธเกรี้ยว ตัวข้าเองคิดว่าเรื่องที่ควรให้ท่านพ่อรับรู้ก็ควรให้เขาได้รับรู้เสีย หากไม่รู้จักอบรมสั่งสอน เช่นนั้นการเป็นบิดาก็คงเปล่าประโยชน์ ท่านพ่อจึงควรทำตามหน้าที่ของการเป็นบิดาให้เต็มความสามารถเช่นกัน”
หลินหลันกล่าว “เจ้าอยากบอกเล่าให้ท่านพ่อรับรู้หรือ”
“ต้องให้ข้าเป็นคนไปพูดเองเสียที่ไหนกัน เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วท่านพ่อต้องรับรู้อยู่ดี ข้าเพียงแค่ทำให้เวลาที่ท่านพ่อต้องรับรู้สั้นเข้ามาอีกนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างเนิบช้า “ข้ายังอยากให้หมิงจูอยู่ดูละครดีๆ ของแม่มดชรา เมื่อถึงตอนนั้นพวกนางสองแม่ลูกจะได้กลับบ้านเกิดไปพร้อมกัน ระหว่างทางจะได้ไม่โดดเดี่ยวอย่างไรล่ะ”
หลินหลันหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที “เอาสิ! ถึงตอนนั้น พวกนางจะได้ปลอบใจซึ่งกันและกัน”
อวี้หลงดวงตาลุกวาวขณะกล่าวด้วยความอยากรู้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ฮูหยินใกล้ถึงคราพังพินาศแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หลินหลันเม้มริมฝีปากยิ้ม “นั่นคงขึ้นอยู่กับความสามารถนายน้อยของพวกเจ้าแล้วละ”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มอันแสดงให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม “รอดูแล้วกัน! ละครดีๆ ใกล้จะโหมโรงแล้ว”
[1]ต้าเหล่าเหยีย (大老爷) เป็นคำเรียกบุตรผู้ที่ให้ความเคารพ ซึ่งในที่นี้หมายถึงพี่ชายคนโตของสามี