ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 186 เป็นความคิดที่ดี
ทางด้านนายกู่นั่นยังคงไร้ข่าวคราวใดๆ ผู้ปล่อยเงินกู้กลับมาพบนายซุนเพื่อให้ช่วยเตือนนางฮานว่าสิ้นเดือนนี้จะถึงกำหนดจ่ายเงินกู้สองแสนตำลึงเงินแล้ว
หากถึงกำหนดแล้วยังไม่ชำระ นางฮานรู้ถึงผลที่ตามมาดี ในสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าดอกเบี้ยจะทวีขึ้น อีกทั้งเป็นการทบดอกเจ็ดวันครั้ง กล่าวคือ หากกลางเดือนคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไม่ได้ทั้งหมด เช่นนั้นในเจ็ดวันหลังจากนั้นดอกเบี้ยจะเพิ่มจากหกพันตำลึงเป็นเก้าพันตำลึง อีกเจ็ดวันต่อไปก็คือหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง…ตอนแรกเพราะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเงินก้อนนี้จะคืนได้ตามกำหนดอย่างแน่นอน ใครจะรู้ว่ากิจการดันล้มเหลวไม่เป็นท่า…อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงเงินต้นรายการแรกเท่านั้น หากสามเดือนต่อจากนี้เงินกู้จำนวนห้าแสนตำลึงถึงกำหนดชำระ…นางฮานไม่กล้าคิดเลยจริงๆ มีเพียงหนทางเดียวคือนำห้องแถวและพื้นที่ชานเมืองของหมิงอวินขายไปทั้งหมดเท่านั้นถึงจะนำมาโปะหนี้สินนี้ได้
“เจ้ารีบไปเร่งนายกู่หน่อยเถอะ นี่มันกี่วันมาแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวคราวเสียที” นางฮานสั่งการด้วยความร้อนใจ
นายซุนเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ข้าน้อยเร่งนายกู่แล้วขอรับ นายกู่กล่าวว่าเรื่องประเภทนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสประจวบเหมาะ ยิ่งใจร้อนยิ่งเปลี่ยนมือได้ยาก อีกทั้งราคาก็จะถูกกดให้ต่ำลงไปด้วยน่ะขอรับ”
“ว่ากันตามเหตุและผลมันก็ใช่ ทว่าพวกเรามีเวลาเหลือเฟือเสียที่ไหนกัน เจ้าไปบอกนายกู่ทีว่าแค่ราคาพอประมาณก็ถ่ายโอนได้เลย ขืนยืดระยะเวลาออกไปอีกคงไม่อาจปิดบังไว้ได้เสียแล้ว” นางฮานกล่าวด้วยความหดหู่ใจ
นายซุนเอ่ยปากขานรับ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดภายในใจอย่างเงียบๆ ท่านยังคิดอีกหรือว่าเรื่องนี้จะปิดบังไว้ได้ ไว้รอถ่ายโอนกรรมสิทธิ์เหมืองเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ต้องออกจากที่นี่ไปให้โดยเร็วไวถึงจะเป็นการดี ยิ่งนานวันยิ่งแย่!
หลังนายซุนออกไปแล้ว นางฮานจึงให้แม่เจียงนำกล่องที่ทำจากไม้หวางฮวาหลีหุ้มมุมทั้งสี่ด้านด้วยแผ่นทองแดงมาเปิด
แม่เจียงเข้าใจความหมายที่นายหญิงต้องการสื่อได้ทันที จึงกล่าวด้วยความตกตะลึงปนประหลาดใจ “ฮูหยิน นั่นเป็นสินเดิมที่ท่านเตรียมไว้ให้แม่นางน้อยหมิงจูยามแต่งงานนะเจ้าคะ!”
มุมปากของนางฮานกระตุกเล็กน้อยแล้วปิดเปลือกตาลงอย่างทุกข์ระทม เนิ่นนานพอตัวกว่านางจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม “ปัญหาเข้ามาจวนตัวเพียงนี้แล้ว จัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี่เสียก่อนเถอะ!” ขอเพียงผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้ ภายภาคหน้าก็ยังช่วยเตรียมสินเดิมขึ้นมาใหม่ได้
ทว่านี่มันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี! แม่เจียงไปเปิดกล่องอย่างจนปัญญา ทว่าคิดๆ แล้วก็ทำใจยอมรับไม่ได้ จึงกล่าวเสนอความคิดเห็น “ฮูหยิน ท่านไปปรึกษาหารือกับเหล่าเหยียเถิดนะเจ้าคะ ให้ต้าเส้าหน่ายนาย…”
นางฮานกล่าวสวนนางขึ้นทันควันด้วยเสียงเคร่งขรึม “ยังไม่ถึงขั้นนั้น เจ้าจะตื่นตระหนกไปทำไมกัน”
หลายวันผ่านพ้นไป อีกไม่นานก็จะถึงกลางเดือนแล้ว ในที่สุดทางด้านนายกู่นั่นก็มีข่าวคราวเสียที เอ่ยว่าหาพ่อค้าได้เจ้าหนึ่ง ยินยอมจ่ายหนึ่งแสนแปดหมื่นตำลึงเพื่อซื้อส่วนของนางฮาน
นางฮานรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง “น้อยขนาดนี้เชียวหรือ” เดิมทียังคิดว่าจะนำทุนกลับมาได้สักครึ่งก็ยังดี
นายซุนกล่าว “ราคานี้นับว่าไม่เลวแล้วขอรับ พ่อค้าเหล่านั้นล้วนฉลาดเฉลียวนัก หากเป็นภูเขาเหมืองที่ทำเงินได้ ใครเข้าจะยอมเปลี่ยนมือกันง่ายๆ หรือขอรับ นายกู่เองยังไม่กล้าเอ่ยว่าหุ้นส่วนนี้เดิมทีเป็นของฮูหยิน จึงกล่าวอ้างว่านี่เป็นของตัวเขาเอง เพราะที่บ้านมีเรื่องเร่งด่วนต้องการใช้เงินถึงได้กลั้นใจขาย มิเช่นนั้นคงขายออกไปมิได้ง่ายๆ หรอกขอรับ”
นางฮานนึกไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางขาดทุนถึงเก้าแสนกว่าตำลึง สี่แสนกว่าตำลึงซึ่งเป็นเงินทุนของตนเองหายไปเปล่าๆ แล้วยังต้องรับผิดชอบเงินกู้นั่นอีกกว่าห้าแสนตำลึงเงิน
“นายกู่เอ่ยว่าไม่ว่าจะพูดเช่นไร กิจการนี้ก็เป็นเขาแนะนำแก่ฮูหยิน แต่กลับทำเงินให้ฮูหยินไม่ได้ แล้วยังขนาดทุนมากมายถึงเพียงนี้ เขาเองก็รู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่งเช่นกัน ดังนั้นเงินส่วนที่เหลือเหล่านั้น เขาไม่รับส่วนของเขาเพื่อจะได้ตัดมาให้ฮูหยิน โดยเป็นจำนวนรวมทั้งหมดห้าหมื่นตำลึงเงินขอรับ ฮูหยิน…เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องรีบตัดสินใจหน่อยนะขอรับ เกิดคนผู้นั้นเปลี่ยนใจขึ้นมาก็คงหามิได้แล้วกระมังขอรับ…” นายซุนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
สีหน้าแม่เจียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านต้องไตร่ตรองให้ดีๆ นะเจ้าคะ ภูเขาเหมืองนี่เมื่อถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วพวกเราก็ไม่เหลืออันใดอีกแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ พอจะให้นายกู่ลองหาหนทางอื่นได้หรือไม่”
นางฮานเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา “พวกเรายังเหลือเวลาให้รอต่อไปอีกหรือ”
นายซุนกล่าวด้วยความร้อนอกร้อนใจ “ตอนนี้ที่เร่งด่วนมากที่สุดก็คือเงินต้นที่กู้มาสองแสนตำลึงนั่น ซึ่งพวกคนเหล่านั้นหาได้เกรงกลัวอันใดไม่ พวกเขาอาจก่อเรื่องอันใดขึ้นมาก็ได้นะขอรับ”
ทันทีที่เอ่ยถึงประเด็นนี้ แม่เจียงถึงกับสับสนขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางจึงมองไปยังนายหญิงอย่างเป็นกังวล
“ให้ข้าไตร่ตรองอีกสักหน่อยแล้วกัน…” นางฮานกอบกุมขมับด้วยความหนักใจ
นางฮานขังตนเองอยู่ภายในห้องตลอดทั้งบ่ายเพื่อไตร่ตรองเรื่องดังกล่าว นางคิดจนสมองแทบระเบิดทว่ายังคงลังเลตัดสินใจไม่ได้ ภูเขาสองลูกนี้จะเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ แต่จะทิ้งไปก็นึกเสียดาย นางยังคงโอบกอดความหวังที่ว่าจะโชคดีขึ้นมาบ้าง โดยหวังว่านายกู่จะหาพ่อค้าอื่นขายในราคาสูงกว่านี้ได้
แม่เจียงนำน้ำแกงโสมเข้ามาให้ เมื่อเห็นนายหญิงกำลังต่อสู้กับความทุกข์ระทมจึงกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ “ฮูหยิน หลายวันนี้มานี้ท่านไม่ค่อยรับประทานอะไรเลย เมื่อคืนก็นอนหลับไม่สนิท ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายจะย่ำแย่เอาได้ บ่าวเลยให้ทางห้องครัวตุ๋นน้ำแกงโสมมาให้ ฮูหยินดื่มสักหน่อยนะเจ้าคะ”
นางฮานโบกมือปัดอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่อยากดื่ม วางเอาไว้ก่อนเถอะ!”
แม่เจียงวางถ้วยน้ำแกงโสมลงแล้วทอดถอนใจ “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีคำพูดหนึ่งแต่มิรู้ว่าควรกล่าวออกไปดีหรือไม่”
นางฮานกล่าว“เจ้าพูดออกมาเถอะ”
แม่เจียงกัดริมฝีปากล่างอย่างกลั้นใจก่อนเอ่ยขึ้นมา “สิ่งเดียวที่พอทำได้ในยามนี้มีเพียงต้องขายห้องแถวและที่ดินชาญเมืองของเอ้อร์เส้าเหยียออกไปให้ได้เจ้าค่ะ”
นางฮานมองไปที่นางอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย “จะขายได้อย่างไรหรือ หากขายได้ข้าก็คงขายออกไปนานแล้ว”
แม่เจียงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเสียงกระซิบ “หากทำให้เหล่าเหยียออกโรงเองได้ มีหรือเอ้อร์เส้าเหยียจะไม่ยินยอม”
นางฮานรู้สึกเสมือนมีบางสิ่งจุดประกายภายในหัวใจ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”
“ฮูหยิน ท่านก็พูดกับเหล่าเหยียว่าทุกวันนี้ทรัพย์สินภายในบ้านล้วนเป็นชื่อของเอ้อร์เส้าเหยีย หากคนภายนอกรับรู้เขาคงได้พากันคิดว่าพวกเราอาศัยตระกูลเยี่ยเลี้ยงปากท้อง มิสู้นำทรัพย์สินเดิมของนางเยี่ยขายไปแล้วสร้างทรัพย์สินขึ้นมาใหม่ จะได้เปลี่ยนเป็นทรัพย์สินของตระกูลหลี่โดยแท้จริง อีกอย่าง เมื่อต้าเส้าเหยียผ่านการสอบขุนนางเป็นที่เรียบร้อย ภายภาคหน้าก็ต้องได้เป็นขุนนางอย่างแน่นอน แล้วจะปล่อยให้ทรัพย์สินปราศจากชื่อของต้าเส้าเหยียไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ” แม่เจียงร่ายลำดับแผนการ
นางฮานรับฟังพลางพยักหน้าเป็นระยะๆ ขณะเดียวกันภายในใจก็ค่อยๆ สว่างไสวขึ้นมา นางอยากขายทรัพย์สินของนางเยี่ยมาโดยตลอด เพียงแต่หาข้ออ้างไม่ได้ ความคิดของแม่เจียงครานี้นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว สามีของนางเห็นความสำคัญของชื่อเสียงหน้าตาเป็นที่สุด นางนำเหตุผลนี้ไปพูดคุย มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้เป็นสามีนางจะต้องเห็นดีเห็นงามด้วย เมื่อถึงเวลานั้น นางเพียงแค่ฉกฉวยจากในนั้นมาสักสี่ห้าแสนตำลึงไม่ใช่เรื่องยาก ถึงอย่างไรก็เป็นเงินของหมิงอวิน นางจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรหรือ
นัยน์ตาของนางฮานค่อยๆ ปรากฏความสดใสขึ้น บนใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน นางถือถ้วยแกงโสมขึ้นมาจิบสองอึกแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “แม่เจียง เจ้าให้นายซุนไปบอกนายกู่ว่าภูเขาเหมืองนั่นข้ายินยอมถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ให้ ทว่าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าไม่ขอออกโรงด้วยตนเองจะเป็นการดีที่สุด ให้เขาไปลงนามซื้อขายกับผู้ซื้อให้เรียบร้อยแล้วให้นายซุนติดตามไปรับเงินมา”
แม่เจียงเห็นว่านายหญิงเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บ่าวจะไปสั่งการนายซุนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย ภายในจิตใจจึงรู้สึกสงบลงเช่นกัน นางฮานเรียกชุนซิ่งเข้ามาเพื่อช่วยอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปดูหมิงจู
เมื่อออกจากโถงหนิงเฮ๋อ ผ่านตรอกสายหนึ่งแล้วเลี้ยวโค้งก็จะเป็นสวนหลังบ้าน
“ได้ยินว่าหลิวอี๋เหนียงตั้งครรภ์บุตรชายแน่ะ!”
“เลอะเทอะน่า! ยังไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว”
“จริงๆ นะ ได้ยินว่าเป็นวิธีการที่แพร่หลายภายในวังหลวง โดยตรวจจากราศีของหลิวอี๋เหนียง ช่วงเดือนที่ตั้งครรภ์ แล้วยังมีเวลาของรอบเดือน มีความแม่นยำมาก อีกทั้งหลิวอี๋เหนียงชอบรับประทานรสเปรี้ยว อย่างที่เขาว่ากันว่าหากเป็นเด็กผู้ชายจะชอบรสเปรี้ยว เด็กผู้หญิงจะชอบรสเผ็ด…”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน เอ้อร์เส้าหน่ายนายตรวจชีพจรของหลิวอี๋เหนียงและเอ่ยว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าหลายวันมานี้เหล่าเหยียไปห้องของหลิวอี๋เหนียงด้วยสีหน้าเบิกบานจะตาย”
ภายในมุมประตูสวนด้านข้าง สาวใช้จำนวนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะคอกเคร่งขรึม “คงว่างงานกันมากสินะ ถึงได้มาพูดคุยไร้สาระกันอยู่ที่นี่”
สาวใช้เหล่านั้นพร้อมใจกันหันไปมอง จึงเห็นว่านายหญิงใหญ่ประจำบ้านเดินเข้ามาพร้อมชุนซิ่ง ส่วนผู้ที่กล่าวตำหนินั่นก็คือชุนซิ่ง ทุกคนจึงรีบคุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก
นางฮานกวาดสายตามองดูสาวใช้เหล่านั้นที่กำลังตัวสั่นระริก “ชุนซิ่ง บันทึกรายชื่อของสาวใช้ที่แอบอู้งานเหล่านี้เอาไว้แล้วไปรายงานแม่เจียงให้หักเงินเดือนครึ่งเดือนเป็นการลงโทษ หากกระทำผิดอีกให้รับบทลงโทษสถานหนัก”
“เจ้าค่ะ!” ชุนซิ่งขานรับแล้วกวาดสายตามองไป สาวใช้เหล่านี้เป็นผู้ที่นางรู้จักดีทั้งสิ้น
บรรดาสาวใช้ไม่กล้าปริปากใดๆ วันนี้ดันเผชิญกับนายหญิงใหญ่เข้า คงทำได้เพียงยอมรับกรรมนี้ไปแต่โดยดี
นางฮานเพิ่งอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ทันไร กลับถูกเรื่องเด็กในครรภ์ของอนุภรรยาหลิวเล่นงานให้เสียอารมณ์ขึ้นมาอีครั้ง ตั้งแต่อนุภรรยาหลิวตั้งครรภ์ยิ่งกลายเป็นคนที่สามีนางหลงใหลมากขึ้น ต่อให้อวี๋เหลียนพยายามโปรยเสน่ห์เพียงใดก็ยังสู้ความเจ้าเล่ห์ของอนุภรรยาหลิวไม่ได้ หากจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองที่ตอนแรกหน้ามืดตามัวเป็นฝ่ายเอ่ยปากให้ยกระดับอนุภรรยาหลิวนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ขึ้นมา ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นขวากหนามของตนเอง
หมิงจูพักรักษาตัวเงียบๆ มาเป็นเวลาหลายวัน ทว่าเพราะถูกไม้โบยเฆี่ยนตีลงมาอย่างแรง ทำให้จนถึงตอนนี้นางยังคงรู้สึกเจ็บปวดยามเดิน นางเองก็รู้อยู่เช่นกันว่าผลลัพธ์ของการทำให้บิดาโกรธเกรี้ยวมันร้ายแรงมากเพียงใด ทว่าเมื่อก่อนก็แค่ถูกให้คัดลอกบทความเพื่อเป็นการลงโทษจึงไม่เจ็บไม่ปวดอันใด จะมีก็แต่เบื่อหน่ายนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ทว่าครั้งนี้ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าของจริง เมื่อบิดานางโมโหขึ้นมาจริงๆ ถึงขั้นเอาชีวิตคนก็ว่าได้ และมารดานางก็ยับยั้งเขาไม่ได้เช่นกัน ในที่สุดหมิงจูถึงเป็นอันเข้าใจว่าเรื่องราวของอวี๋เหลียนในครั้งก่อน เหตุใดมารดาของนางต้องเป็นกังวลถึงเพียงนั้น
“รอยเขียวช้ำจางหายไปเกือบหมดแล้ว แต่ก็อย่าได้ประมาทเลินเล่อไปเชียว เจ้าอดทนอีกสักหน่อย ไว้รอเจ้าหายดีแล้วแม่จะจัดการวางแผนให้เจ้ากลับบ้านเกิด” นางฮานกล่าวปลอบประโลมหลังตรวจดูร่องรอยบาดเจ็บของหมิงจู
หมิงจูมุ่ยปากอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าก็โดนตีแล้ว ท่านพ่อก็ได้ระบายอารมณ์โกรธเกรี้ยวแล้ว ท่านยังต้องส่งข้ากลับบ้านเกิดอีกหรือเจ้าคะ”
นางฮานกล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้าต้องกลับไป ไว้รอทุกคนลืมเรื่องนี้ไปแล้วแม่จะรับเจ้ากลับมาอีกครั้ง”
หมิงจูกล่าวด้วยความเศร้าสลด “เช่นนั้นต้องรออีกนานเท่าใดหรือเจ้าคะ”
นางฮานจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าผากบุตรี “ตอนนี้มานึกเสียใจแล้วหรือ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ แม่พร่ำบอกเจ้าถึงปานนี้ เจ้ากลับนำคำพูดของแม่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”
หมิงจูเท้ามือลงบนเตียงคิดจะลุกขึ้นนั่ง แต่ด้วยความปวดร้าวบริเวณสะโพกจึงทำให้นางถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
นางฮานเห็นนางเช่นนี้จึงปวดหัวใจขึ้นอีกครั้ง “จะลุกขึ้นมาทำไมกัน รีบนอนลงไปเสีย”
หมิงจูพลิกตัวมานอนหนุนบนหน้าตักของมารดาพลางกล่าวออดอ้อน “ท่านแม่ ลูกไม่อยากห่างจากท่านแม่ ลูกไม่เคยอยู่ห่างจากท่านแม่มาก่อนเลยนะเจ้าคะ…”
นางฮานตบบ่าหมิงจูอย่างเบามือแล้วถอนหายใจ “แม่เคยอยากให้เจ้าอยู่ห่างเสียที่ไหนกัน…” ทว่าจะไม่ให้จากไปก่อนได้อย่างไร นางฮานตระหนักดีว่าในเมืองหลวงนี้ชื่อเสียงของหมิงจูพังทลายราบคาบเสียแล้ว จึงไม่มีทางหาคู่ครองครอบครัวดีๆ ได้อย่างแน่นอน อู่หยางจวิ้นจู่ผู้นั้นก็ช่างใจร้ายใจดำเสียเหลือเกิน มิได้มีความแค้นส่วนตัวอะไรต่อกันเสียหน่อย ไยต้องทำลายกันถึงเพียงนี้ด้วย
ยามที่นางฮานกลับถึงโถงหนิงเฮ๋อ แม่เจียงก็กลับมาถึงแล้วเช่นกัน
“สั่งการลงไปเรียบร้อยแล้วหรือไม่” นางฮานเอ่ยถามแม่เจียง
“นายซุนออกไปพบนายกู่แล้วเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวตอบ
นางฮานครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ “เมื่อมีเงินสองแสนสามหมื่นตำลึงเงินนี้ บวกกับสินเดิมของหมิงจูก็น่าจะพอใช้จ่ายในระยะนี้ไปได้ เรื่องขายห้องแถวคงต้องเร่งมือหน่อย เจ้าให้ผู้ดูแลจ้าวไปดูๆ ไว้ก่อนว่ามีผู้ใดสนใจหรือไม่”
แม่เจียงขานรับ
นางฮานเลิกคิ้วแล้วกล่าวอย่างสุขุม “บรรดาข้ารับใช้ภายในจวนต่างร่ำลือกันว่าในท้องของหลิวอี๋เหนียงเป็นเด็กผู้ชาย เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือไม่”
แม่เจียงตกตะลึงแล้วกล่าวตามจริง “บ่าวก็ได้ยินมาบ้างเช่นกันเจ้าค่ะ”
นางฮานเลิกคิ้วสูงยิ่งกว่าเดิมภายใต้สีหน้าไม่พึงพอใจ “แล้วไยเจ้าถึงไม่มารายงานข้า”
แม่เจียงกล่าวทันควัน “บ่าวคิดว่าเพิ่งไม่กี่เดือนเอง จะรู้ได้อย่างไรกันว่าในท้องของนางเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนก็แค่คาดเดากันไปเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ฮูหยินมีเรื่องให้ต้องกังวลมากพออยู่แล้ว จะให้บ่าวนำเรื่องราวข่าวลือพวกนี้มาเพิ่มความหนักใจให้ฮูหยินได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ”
นางฮานเผยสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วเอ่ย “เรื่องนี้จะประมาทไปมิได้เช่นกัน เจ้าให้เจี่ยนชิวจับตามองไว้ หากมีข่าวคราวใดแม้เพียงเล็กน้อยให้รีบมารายงานข้า”