ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 189 ผัดวันประกันพรุ่ง
“ข้าลังเลใจมาโดยตลอดและยังโอบกอดความหวังเส้นบางๆ เอาไว้ ทว่า…” หลี่หมิงอวินชะงักชั่วครู่ เผยรอยยิ้มทุกข์ระทมบางๆ “บุรุษที่ทรยศต่อความรักมิได้มีเพียงเขาผู้เดียวในใต้หล้านี้ ทว่ากระทั่งกับบุตรแท้ๆ ของตนเองยังทำกันได้ลงคอ เกรงว่าคงไม่พบได้มากนัก”
หลินหลันนิ่งเงียบ หลี่หมิงอวินช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง! เหตุใดถึงต้องมีบิดาเช่นนี้ ใครๆ ต่างว่ากันว่าบุตรชายเป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดา ทว่าเขากลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไม่เพียงแค่ไร้ยางอายอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ยังมีทักษะการแสดงที่ล้ำเลิศเสียยิ่งกระไรดีนัก การแสดงหลายสิบปีที่ผ่านมาช่วยให้เขากลายเป็นผู้มีคุณงามความดีและเป็นที่ยกย่องจากผู้คนมากมาย ซ้ำยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ หากมีรางวัลออสการ์ก็คงต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย การเสแสร้งแกล้งทำประเภทนี้เป็นคุณลักษณะของผู้ไร้ยางอายขั้นสูง ความไร้ยางอายที่ว่านี้คงฝังลึกเข้ากระดูกดำของเขา ความต่ำทรามคือสายเลือดของเขา ความจอมปลอมคือผิวหนังของเขา คงมีเพียงการถลกหนังของเขาถึงทำให้คนภายนอกเห็นธาตุแท้ได้
ภายในใจของหลินหลันรู้สึกเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง ทว่าบนใบหน้ายังคงแสดงออกอย่างสงบนิ่ง นางกระชับอ้อมแขนกอดเขาแน่นขึ้นแล้วกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เช่นนั้น…ตอนนี้เจ้าก็มิต้องลังเลใจอีกแล้วสินะ”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่อีกแล้ว ทั้งหมดจะดำเนินไปตามแผนการเดิมที่วางไว้”
หลินหลันเข้าใจถึงแผนการของหมิงอวินเป็นอย่างดี ขั้นแรกก็คือพวกเขาจะถูกบีบบังคับให้ยินยอมตกลง หลังจากนั้นตระกูลเยี่ยออกโรงก่อกวน ต่อด้วยสร้างข่าวลือว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายต้องขายทรัพย์สินของหมิงอวินเพื่ออุดรอยรั่วของการรับสินบน ระยะนี้บรรดาขุนนางกำลังต่อต้านการทุจริตอย่างหนัก ท่านราชเลขากรมโยธาก็ถูกดึงลงมาเล่นงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเวลาเช่นนี้จึงเหมาะแก่การปล่อยข่าวลือออกไปว่าท่านราชเลขากรมคลังก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยเช่นกัน แล้วมีหรือพวกเขาจะไม่ตื่นตูมขึ้นมาบ้างภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจะไม่กล้าแตะต้องอสังหาริมทรัพย์ภายในเมืองหลวงอย่างแน่นอน หลังจากนั้นคดีทุจริตและเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยสูงก็จะปะทุขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้คู่สามีภรรยาผู้ไร้ยางอายนี้ได้ลิ้มรสสิ่งที่เรียกว่าการอยู่ไม่เป็นสุขตลอดทั้งวันทั้งคืน และรสชาติที่เรียกว่าอับจน
ทว่า เช่นนี้ก็ยังเป็นการประเมินพวกเขาต่ำเกินไป
“ข้าคิดว่าแผนการของเจ้าจะปรับเปลี่ยนสักนิดได้หรือไม่” หลินหลันกล่าวสอบถามความเห็น
หลี่หมิงอวินชำเลืองมองนาง “เจ้าลองว่ามาสิ”
“ข้าคิดว่าพวกเรานำที่ดินชานเมืองกลับมาให้ได้เสียก่อน พวกเรายินยอมที่จะถอยให้โดยเอ่ยไปว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินเหล่านี้ก็เป็นของที่ท่านแม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จะอย่างไรก็ต้องเหลือเอาไว้สักแห่งเพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่าน ไม่ที่ดินชานเมืองก็ห้องแถวที่จะต้องมอบให้แก่เจ้า ส่วนที่เหลือเจ้าก็ไม่ต้องการแล้วเช่นกัน พวกเขาอยากจะขายทิ้งหรือเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้แม่มดชราร้อนใจในการหาเงินมาโปะหนี้สินอย่างยิ่ง ดังนั้นนางต้องยินยอมอยู่แล้ว ท่านพ่อเจ้าต่อให้หน้าหนาเพียงใดก็คงไม่อาจไม่ตอบตกลงได้…อีกทั้งที่ดินกว้างใหญ่เสียขนาดนั้น จะขายออกไปคงมิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น ในส่วนของห้องแถวยังพอแบ่งขายได้ง่าย แม่มดชราจะต้องเลือกห้องแถวเป็นอย่างแน่นอน พวกเรานำกลับคืนมาก่อนส่วนหนึ่ง ภายภาคหน้าท่านลุงไปกดราคาจะได้ช่วยเบาเงินไปอีกก้อนโตทีเดียวมิใช่หรือ” หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
หลี่หมิงอวินมองนางอยู่พักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เขายื่นมือออกไปบีบปลายจมูกของนาง โอบกอดนางเอาไว้แนบแน่นอีกครั้ง และซุกใบหน้าเข้าหาดวงหน้าเย็นน้อยๆ ของนาง เขาถอนหายใจเล็กน้อยระบายความอัดอั้นตันใจที่เต็มเปี่ยมออกไปจนหมด ก้นบึ้งหัวใจเหลือเพียงความรู้สึกอบอุ่นราวกับรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง “หลันเอ๋อร์ ข้าคิดว่าข้าควรขอบคุณพี่สะใภ้ของเจ้าและขอบคุณหวังต้าฮู่ผู้นั้น!”
หลินหลันแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่านอนสอนง่าย หัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนนั้นข้าแค่คิดว่าเจ้าค่อนข้างซื่อๆ และน่าจะรังแกได้ง่ายเท่านั้นเอง”
“แล้วตอนนี้ล่ะ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคิดว่าข้ามองพลาดไปแล้วจริงๆ”
หรูอี้และอวี้หลงซึ่งคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูอย่างกระวนกระวายใจอยู่ตลอด เมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงนายน้อยหัวเราะร่าออกมาจากด้านใน ทั้งสองจึงสบตากันอย่างงุนงง นี่มันเรื่องอันใดกันอีกหรือ
วันรุ่งขึ้น หลินหลันไปคารวะนางฮานตามธรรมเนียมปฏิบัติเฉกเช่นทุกวัน นางฮานคิดจะหยั่งเชิงความนึกคิดของหลินหลันอย่างอ้อมค้อม ทว่าหลินหลันเลือกที่จะบ่ายเบี่ยงโดยการพูดถึงประเด็นอื่น นางจึงไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากหลินหลัน แม่มดชรานี่ก็ช่างร้อนใจเกินไปแล้วกระมัง! นี่มิใช่การซื้อขายผักปลาเสียหน่อย มีหรือจะตอบตกลงกันได้ง่ายๆ อย่างน้อยๆ ก็คงต้องขอยื้อเวลาออกไปสักสามสี่วันละน่า
ด้วยเหตุนี้ หลังรอคอยไปถึงสี่ห้าวัน นางฮานก็เริ่มกระวนกระวายเกินจะทนไหว จึงไปเร่งเร้าทางด้านสามี “ท่านพี่เจ้าคะ จะมัวผัดวันประกันพรุ่งต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ มิได้นะเจ้าคะ พวกเขาสองคนคิดจะไม่ยินยอมให้แล้วหรือเปล่าเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องแบบนี้รีบร้อนได้เสียที่ไหนกัน ถึงอย่างไรก็ต้องให้เวลาพวกเขาได้ครุ่นคิดกันให้ดีๆ เสียหน่อย”
“จะได้อย่างไรกันเจ้าคะ” นางฮานเอ่ยโผงผาง
หลี่จิ้งเสียนชำเลืองตามองนางและกล่าวอย่างไม่พึงพอใจ “มีคำกล่าวที่ว่ายิ่งรีบยิ่งช้าและไม่อาจบรรลุเป้าหมายไปได้ เจ้ายิ่งเร่งเร้า พวกเขาก็ยิ่งไม่ยินยอมไปกันใหญ่”
จะไม่ให้นางฮานร้อนรนใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อเวลาสามเดือนผ่านไปไวนัก เกิดเรื่องราวสำเร็จไม่ทันการณ์ นางมิเป็นอันจบสิ้นหรอกหรือ
หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้วกะทันหันแล้วกล่าวด้วยความสงสัย “นี่ ข้าว่าเจ้ามีเรื่องอันใดปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่”
นางฮานตกตะลึง อ้ำอึ้งตอบ “น้องจะไปมีเรื่องอันใดได้ล่ะเจ้าคะ”
หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วเจ้าจะมาเร่งเร้าอันใดนักหนา ข้าคิดว่าเจ้าถูกคนเขาตามทวงหนี้จึงรอนำเงินส่วนนี้ไปช่วยชีวิตตนเองให้รอดพ้นเสียอีก”
นางฮานรู้สึกเสียวสันหลังวูบ หัวเราะเจื่อนๆ ตอบกลับ “ท่านพี่ ท่านก็ช่างคิดเสียจริงนะเจ้าคะ นี่เพราะร้านค้าที่ห้องแถวตงจื๋อเหมินมีหลายร้านที่กำลังจะครบกำหนดระยะเวลาสัญญาแล้ว น้องจึงคิดว่าเรื่องนี้ต้องรีบกำหนดให้ชัดเจนโดยเร็วหน่อย จะได้วางแผนได้ว่าควรปล่อยเช่าต่อหรือขายออกไปเพื่อทำอย่างอื่นดีนะเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดชั่วขณะ “รออีกสักวันสองวันแล้วกัน! หากมิได้ความเพิ่มเติมข้าค่อยไปถามไถ่ดูอีกที”
ไม่นานนักหลี่หมิงเจ๋อก็ได้เข้ารับตำแหน่งงานรองหัวหน้ากวงลู่ซื่อ[1] แม้จะเป็นเพียงขุนนางระดับเจ็ด ทว่าผู้ที่ผ่านการสอบในครั้งเดียวกันและอยู่รับตำแหน่งงานในเมืองหลวงมีเพียงสามคนเท่านั้น นอกนั้นล้วนถูกส่งออกไปรับตำแหน่งต่างถิ่นแดน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ทุรกันดารแล้วยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมืองหลวงอีกครั้งเมื่อใด ดังนั้นการยกตำแหน่งนี้ให้หลี่หมิงเจ๋อก็นับว่าเห็นแก่หน้าหลี่จิ้งเสียนอย่างมากแล้ว
นางฮานดีอกดีใจมาก คิดว่าบุตรชายของตนเองเก่งกาจกว่าใครๆ นางจึงกล่าวกับฮูหยินชราด้วยความภาคภูมิใจ “เป็นเพราะหมิงเจ๋อของพวกเราทำข้อสอบได้ดีเยี่ยม ทราบหรือไม่เจ้าคะว่าผู้ที่ได้อยู่รับตำแหน่งงานในเมืองหลวงครานี้มีเพียงสามคนเท่านั้นเองนะเจ้าคะ! ซึ่งหมิงเจ๋อของพวกเรานับว่าได้ตำแหน่งงานที่ดีมากที่สุดอีกด้วยนะเจ้าคะ”
หลี่หมิงเจ๋อได้ยินดังกล่าวถึงกำหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ตนเองมีศักยภาพเพียงใดเขาย่อมตระหนักอย่างชัดแจ้ง หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของบิดาและความช่วยเหลือจากน้องรอง มีหรือตำแหน่งงานนี้จะตกมาถึงเขา หลี่หมิงเจ๋อจึงกล่าวอย่างละอายแก่ใจ “ต้องขอบคุณท่านพ่อและน้องรองด้วยเช่นกันนะขอรับ”
นางฮานรู้สึกไม่เห็นด้วย “เจ้ามิจำเป็นต้องดูถูกตัวเองจนเกินไปหรอก หากมิใช่เพราะความเพียรพยายามของตนเอง ผู้ใดหน้าไหนก็ช่วยเจ้ามิได้ทั้งนั้น”
แน่นอนว่าฮูหยินชราก็ปลาบปลื้มใจไม่แพ้กัน แม้จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ แต่อย่างน้อยก็เป็นขุนนาง มีบารมีบิดาของเขา มีหมิงอวินน้องชายคนนี้คอยช่วยเหลืออีกแรง เรื่องเลื่อนขั้นคงเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า หญิงชรากล่าวกับหมิงเจ๋อด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “ตอนนี้ถือว่าเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการเสียที เจ้าจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ขยันขันแข็งเพื่อราชสำนัก อย่าได้ให้เสียชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลี่”
หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “หลานจะจดจำคำสั่งสอนของท่านย่าขอรับ”
ฮูหยินชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มเบิกบานขณะมองไปยังติงหลั้วเหยียนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างก่อนจะหันมากล่าวกับหมิงเจ๋ออีกครั้ง “ตอนนี้เรื่องสำคัญของเจ้าเป็นอันลุล่วงแล้ว ต่อจากนี้ก็ควรตั้งหน้าตั้งตาให้ย่าได้อุ้มหลานในเร็ววันได้แล้ว”
หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนสบตากัน ทั้งสองต่างรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า “เรื่องนี้…ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วกันนะขอรับ” หมิงเจ๋อพึมพำ
นางฮานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าจดจำคำพูดของท่านย่าไว้ก็พอ”
ช่วงบ่ายหลี่หมิงเจ๋อตั้งใจจองห้องอาหารส่วนตัวที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจู หลังจากนั้นจึงไปรอน้องรองที่ร้านยา
หลินหลันประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นหลี่หมิงเจ๋อมาเยือน “พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
หลี่หมิงเจ๋อมองผู้คนที่เข้าๆ ออกๆ ไม่ขาดสายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาเนิ่นนานว่าหุยชุนถางของน้องสะใภ้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง วันนี้พอได้มาเห็นกับตาถึงรู้ว่าสมคำร่ำลือจริงเสียด้วย”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีก็เป็นแค่กิจการเล็กๆ จึงมองดูคึกคักเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ตามจริงแล้วมิได้ทำเงินอันใดมากมายหรอกเจ้าค่ะ”
โม่จื่อโหยวเอ่ยแทรกอย่างเป็นกันเอง “ขืนบริจาคยาให้คนเขาไปทั่ว ต่อไปคงมิใช่ปัญหาว่าจะทำเงินได้หรือไม่แล้วล่ะ แต่เป็นปัญหาที่ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ต่างหาก”
หญิงสูงวัยผู้หนึ่งที่กำลังหยิบยากล่าวด้วยความซาบซึ้ง “ท่านหมอหลินก็คือพระโพธิสัตว์ หากมิใช่เพราะท่านหมอหลินให้ยาโดยไม่คิดเงิน ตาเฒ่าของข้ามีหรือจะยังรอดชีวิตอยู่ได้…”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้า ท่านกลับไปได้แล้ว! และอย่าได้พูดประโยคนี้ขึ้นมาอีกเชียวล่ะ มิเช่นนั้นร้านยาของพวกเราคงได้ปิดตัวลงในอีกไม่นานนี้แน่ๆ”
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ “ศิษย์พี่ห้า ท่านอย่าได้พูดจาไร้สาระอีก มิเช่นนั้นข้าจะหักเงินเดือนท่าน”
โม่จื่อโหยวหยักไหล่และกล่าวอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ข้ามิพูดแล้ว มิพูดแล้วพอใจหรือไม่”
หยินหลิ่วหลุดหัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าสะใจ
หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกตกตะลึงชั่วขณะ เขาคิดมาโดยตลอดว่าน้องสะใภ้เปิดร้านยาคงทำเงินได้จำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้จะใจบุญเพียงนี้ เมื่อลองนึกย้อนมาที่ตนเองอีกครั้ง เขาที่ดีแต่ทำตัวเถลไถลมาโดยตลอด วันๆ ไม่รู้จักทำอะไร มีแต่รอคอยให้ผู้อื่นมาประเคนให้ถึงที่โดยไม่รู้สึกละอายแก่ใจแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่เจ้าคะ” หลินหลันเห็นหลี่หมิงเจ๋อเหม่อลอยจึงเอ่ยเรียกเขา
เมื่อหลี่หมิงเจ๋อได้สติกลับมาจึงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “ข้ามารอน้องรอง อยากเชิญเขาไปดื่มด้วยกันสักหน่อย น้องสะใภ้คงจะมิว่าอันใดใช่หรือไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ! หมิงอวินใกล้เลิกงานแล้วเช่นกัน พี่ใหญ่เข้าไปนั่งรอด้านในก่อนแล้วกัน หยินหลิ่ว ช่วยไปรินน้ำชามาทีสิ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวทันควัน “น้องสะใภ้มิต้องห่วงข้าหรอก เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”
หลี่หมิงอวินมาถึงหุยชุนถางตรงเวลาหลังเลิกงาน หลินหลันเรียกเขามาด้านข้างและกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “พี่ใหญ่มาหา นั่งรอเจ้าอยู่ในร้านน่ะ!”
หลี่หมิงอวินประหลาดใจเช่นกัน “พี่ใหญ่มาทำไมหรือ”
“ไม่รู้สิ เห็นเอ่ยว่าจะเชิญเจ้าไปดื่มด้วยกันสักหน่อย”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วขณะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดาว่าคงได้ตำแหน่งงานที่ไม่เลว จึงรู้สึกดีใจกระมัง”
“หา? บรรจุเข้าทำงานแล้วหรือ” หลินหลันยังคงไม่รู้เรื่องราว
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รองหัวหน้ากวงลู่ซื่อ”
นี่มันเป็นตำแหน่งงานอันใดหรือ หลินหลันไม่เข้าใจ แต่ก็ทำเพียงกล่าวออกไป “เช่นนั้น…เจ้ารีบเข้าไปเถอะ!”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เช่นนั้นวันนี้คงไม่อาจกลับเป็นเพื่อนเจ้าได้เสียแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ นานๆ ที” ขณะที่หลี่หมิงอวินกำลังจะเดินไป หลินหลันกลับรั้งเขาไว้อีกครั้ง “เอ๊ะ…เจ้าจะออกไปดื่มทั้งชุดนี้ไม่ได้นะ หรือไม่ เอาชุดของศิษย์พี่รองเปลี่ยนไปก่อนแล้วกัน!”
ในโรงเตี๊ยมอี้เซียงจู สองพี่น้องนั่งหันหน้าเข้าหากัน หลี่หมิงเจ๋อรินสุราจนเต็มจอกให้หลี่หมิงอวินด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึงถือจอกสุรายกขึ้นและกล่าวด้วยความจริงใจ “น้องรอง จอกนี้พี่อยากคารวะให้เจ้ามานานแล้ว หากมิใช่เพราะน้องรองช่วยเปิดทางสว่างให้ ทุกวันนี้พี่คงยังเป็นคนเถลไถลไปวันๆ ไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง การได้ตำแหน่งงานรองหัวหน้าอย่างราบรื่นในครั้งนี้ ก็ต้องขอบคุณน้องรองที่ช่วยเหลือด้วยเช่นกัน พี่ใหญ่มิรู้ว่าควรจะขอบคุณน้องรองอย่างไรดี พี่ใหญ่ขอคารวะให้ก่อนแล้วกัน” หลี่หมิงเจ๋อกระดกสุราหมดจอกในคราเดียวหลังสิ้นประโยค
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินหลันไม่อนุญาตให้ข้าดื่ม ทว่าวันนี้เป็นวันแห่งความสุข ด้วยเหตุนี้น้องก็ขอดื่มเพื่ออวยพรให้พี่ใหญ่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วยขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อหัวเราะร่าและกล่าว “มองไม่ออกเลยว่าน้องรองจะเกรงกลัวน้องสะใภ้ด้วย”
หลี่หมิงอวินแก้ต่างด้วยรอยยิ้ม “มีคำกล่าวสำหรับสามีภรรยาที่ว่า ต้องรู้จักให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นตามจริงแล้วการให้ความเกรงกลัวต่อภรรยาในบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกันขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “น้องสะใภ้เป็นผู้ที่ควรค่าแก่การให้ความเคารพ ทั้งฉลาดเฉลียวและจิตใจดีงามมีเมตตา เฮ้อ! ตามจริงพี่สะใภ้ของเจ้าก็ไม่เลว แค่นิสัยใจคอเย็นชาไปหน่อย”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างเนิบๆ ขณะถือจอกสุราไว้ “ตามจริงจิตใจของสตรีล้วนอ่อนโยนทั้งนั้น ขอเพียงพี่ใหญ่ปฏิบัติด้วยใจจริง ใช้ใจในการปกป้องดูแล ต่อให้เป็นภูเขาน้ำแข็งท้ายที่สุดก็หลอมละลายเป็นธารน้ำได้ขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าตะลึงงันเมื่อได้ยินดังกล่าว ตามจริงระยะนี้เขาเริ่มรู้สึกถึงท่าทีของหลั้วเหยียนที่เปลี่ยนไปในการปฏิบัติต่อเขา เพียงแต่ความเป็นสามีภรรยาของพวกเขาเสมือนมีบางสิ่งคั่นระหว่างกลางไว้ ซึ่งไม่รู้ว่าควรขจัดมันออกไปเช่นไร
“เช่นนั้น…ข้าควรทำอย่างไรหรือ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวขอคำแนะนำ
หลี่หมิงอวินมองไปยังหมิงเจ๋ออย่างสุขุม “พี่ใหญ่รักพี่สะใภ้จริงๆ หรือขอรับ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ”
“เช่นนั้นก็ดีขอรับ พี่ใหญ่จดจำไว้เพียงแค่ประเด็นเดียวที่ว่า สตรีทั่วหล้าล้วนมีความปรารถนาเดียว ซึ่งก็คือ…ปรารถนาผู้ที่รักเดียวใจเดียวและเคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงเจ๋อทวนประโยคดังกล่าวอีกครั้งราวกับกำลังนึกคิดอะไรบางอย่าง
[1]กวงลู่ซื่อ (光禄寺) เป็นฝ่ายที่ขึ้นกับกองพระราชพิธีของพระราชวัง โดยมีหน้าที่ในการดูแลจัดเครื่องบูชาและเครื่องเสวยในงานพระราชพิธีต่างๆ ของพระราชวัง ตลอดจนการต้อนรับแขกเหรื่อจากต่างถิ่นแดน