ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 192 การต่อสู้อันดุเดือด (1)
นางฮานรอคอยเงินก้อนแรกตกมาอยู่ในมือด้วยสีหน้าเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าผู้ดูแลกิจการโรงเย็บปักถักร้อยกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน โดยให้คนมาบอกกล่าวว่า…ช่วยไปจัดการปัญหาขัดแย้งภายในบ้านให้เรียบร้อยก่อน มิเช่นนั้นไม่กล้าซื้อ
จากการซักไซ้ไล่ความของนางฮาน ผู้มาส่งข่าวจึงเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่า ฮูหยินลองไปดูแถวตงจื๋อเหมินเองเถอะ!
นางฮานจึงส่งคนไปแถวๆ ตงจื๋อเหมินทันที ทางด้านนั้นแยกย้ายกันไปตั้งนานแล้ว ทว่าแต่ละมุมถนนและตรอกซอกซอยล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของจวนหลี่ หลังจากสืบถามไปเรื่อยจึงรับรู้ว่าเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น
นางฮานเดือดดาลอย่างยิ่งหลังได้รับการรายงาน จึงสั่งคนไปหุยชุนถางเพื่อเรียกหลินหลันกลับมาทันที
วันนี้ตระกูลเยี่ยต้องมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง หลินหลันเองก็รู้อยู่แล้วเช่นกัน จึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อย นี่เป็นฉากเด็ดในแผนการที่หมิงอวินวางไว้ เรื่องราวเดียวกัน ออกจากปากคนที่แตกต่างกันไป ผลลัพธ์จึงออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หมิงอวินในฐานะบุตรชายของตระกูลหลี่ แน่นอนว่าออกโรงไปทำลายชื่อเสียงอันดีงามของบิดาแท้ๆ ไม่ได้ ต่อให้มีเหตุผลอันสมเหตุสมผลมากเพียงใดก็ไม่อาจทำได้ ความกตัญญู เดิมทีเป็นการแสดงให้เห็นคุณธรรมอันงดงาม ทว่าหากเผชิญกับผู้อาวุโสไร้ยางอายประเภทพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนี้ ความกตัญญูจึงกลายเป็นข้ออ้างที่นำมากดขี่ข่มเหงของบิดามารดาที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า เพียงคำคำเดียวนี้ ทำให้หมิงอวินก้าวข้ามความเลวร้ายนี้ไปไม่ได้ ทว่าตระกูลเยี่ยทำได้ การลงมือโดยคนของตระกูลเยี่ยจะกำราบพฤติกรรมไร้ยางอายและต่ำทรามของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกับแม่เลี้ยงนั่นได้
ตระกูลเยี่ยอยู่ในเมืองหลวงหลายปีมานี้หาได้เป็นการอยู่ไปวันๆ ไม่ มีเงินทองบุกเบิกช่องทาง ผนวกกับการผูกสัมพันธ์ทางสังคมของนายท่านใหญ่ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตแห่งตระกูลเยี่ย เชื่อมมิตรไมตรีไว้กับทั้งวงการมืดและวงการสว่าง มิเช่นนั้นแผนการของหมิงอวินก็คงไม่อาจดำเนินมาอย่างราบรื่นได้ถึงเพียงนี้ ตระกูลเยี่ยมาสร้างความก้าวหน้าในเมืองหลวงนี้ ว่ากันตามตรงก็คือการตามมาแก้แค้นนั่นเอง เพียงแค่รอโอกาสลงมืออย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
ดังนั้น ความนึกคิดที่ต้องการแตะต้องทรัพย์สินนางเยี่ยของพ่อผู้ไร้ยางอายและนางฮานจึงเป็นการขุดหลุมฝังตนเองโดยแท้
หลินหลันเรียกเหวินซานไปรายงานหลี่หมิงอวินที่บ้านตระกูลเยี่ย คาดว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็คงจะรีบกลับมาโดยเร็วเช่นกัน สงครามในวันนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน ทว่าหลินหลันหาได้รู้สึกหวาดเกรงไม่ กลับกระตือรือร้นนักเสียด้วยซ้ำ พ่อผู้ไร้ยางอายคงต้องเต้นเร่าด้วยความโกรธ แม่มดชราคงต้องโกรธจนประสาทกลับ และจะได้เห็นความตื่นตระหนกลนลานที่อยู่ภายในใจของพวกเขา
ทันทีที่กลับถึงจวน หลินหลันเห็นแม่โจวพาคนห้าหกคนมารออยู่ปากประตู
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” แม่โจวเดินเข้ามาต้อนรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แม่โจว มีเรื่องอันใดหรือ” หลินหลันเผยสีหน้าประหลาดใจ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย บ่าวไปโถงจาวฮุยเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ หากพวกเขากล้าทำไม่ดีไม่ร้ายต่อเอ้อร์เส้าหน่ายนาย บ่าวจะสู้กับพวกนางสุดชีวิตเองเจ้าค่ะ” แม่โจวกล่าวด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง
หลินหลันตื่นตกใจเล็กน้อย นางดึงแม่โจวไปด้านข้างและกล่าวเสียงกระซิบ “แม่โจว ข้ารู้ว่าท่านเกรงว่าข้าจะเสียเปรียบ ทว่าท่านระดมผู้คนมาเป็นจำนวนมากขนาดนี้ กลับจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเราเตรียมการณ์ไว้แต่เนิ่นๆ นั่นจะมิเป็นอันเสียเรื่องหรอกหรือ ท่านรีบพาคนกลับไปรอในเรือนอย่างสบายใจเถิด ข้ารับมือด้วยตนเองได้”
“แต่ว่า…” แม่โจวลังเลใจ
“อย่ามัวแต่ว่าอยู่เลย นี่มันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด พวกเราจะทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวมิได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า แม่มดชรากำลังจนตรอกแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถูกขับไล่ไปแล้ว ข้ามีวิธีรับมือของข้า” หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ
แม่โจวที่กำลังขมวดคิ้วจนเป็นปมครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหนัก ท้ายที่สุดจึงเอ่ย “เช่นนั้นเอ้อร์เส้าหน่ายนายต้องระมัดระวังตัวไว้หน่อยนะเจ้าคะ อย่าได้ยอมเสียเปรียบเชียวเจ้าค่ะ”
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวานแล้วโบกมือให้นางเป็นสัญญาณให้นางรีบพาคนไปเสีย
แม่โจวจนปัญญา ได้แต่หันหลังไปส่งสายตาให้กลุ่มคนที่ติดตามมาด้วยเป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปอย่างเงียบๆ
ภายในโถงจาวฮุน แม่มดชราและฮูหยินชราเริ่มเปิดฉากกล่าวหาพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ
“ข้าว่าแล้วเชียวว่าเหตุใดหมิงอวินถึงใจกว้างเพียงนี้ ที่แท้ก็มีแผนการนี้รอพวกเราอยู่แล้วนี่เอง เหล่าไท่ไท ท่านว่าจิตใจเขามีความเลวร้ายเท่าใดกันเจ้าคะ เขาไม่ยินยอมก็แค่บอกกันมาตามตรง ใครจะไปบีบบังคับเขาได้ แต่กลับทำท่าทีราวกับลูกกตัญญู แสร้งทำเป็นใจกว้าง ขณะที่ลับหลังกลับใช้ลูกไม้ชั่วร้ายนี้ร่วมมือกับตระกูลเยี่ยมาทำลายชื่อเสียงของท่านพี่ นี่มันจิตใจชั่วร้ายเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” นางฮานกล่าวตำหนิด้วยความเคียดแค้น
“ก็นั่นสิเจ้าคะ เมื่อวานเพิ่งทำการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ถือครองแท้ๆ วันนี้ตระกูลเยี่ยก็มาโวยวายก่อเรื่องเช่นนี้ หากเอ่ยว่ามิใช่เอ้อร์เส้าเหยียไปร่วมมือกับตระกูลเยี่ยให้มาก่อความวุ่นวายนี้ ใครจะเชื่อกันเจ้าคะ! ต่อให้มิใช่เอ้อร์เส้าเหยียไปร่วมมือด้วย เขาก็ไม่น่าเอาเรื่องราวนี้บอกกล่าวออกไปเช่นกันเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวเสริม
หญิงชราชักสีหน้าดุดันยิ่งขึ้น กล่าวด้วยความอารมณ์ขุ่นเคือง “เป็นความคิดของผู้ใดไว้ค่อยว่ากันอีกที ข้าว่าหมิงอวินคงมิได้ชั่วร้ายถึงขั้นทำลายชื่อเสียงของจิ้งเสียนไปได้หรอก มันจะมีประโยชน์อันใดต่อเขาหรือ เรื่องนี้ความเป็นไปได้ส่วนมากคือหลินหลันคงทำเรื่องชั่วๆ ลับหลังไว้กระมัง”
“หลินหลันคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ตอนแรกข้าก็บอกแล้วว่าเด็กสาวบ้านป่าเมืองเถื่อนประเภทนี้จะเอาเข้ามามิได้ ทว่าหมิงอวินกลับถูกนางหลอกให้ลุ่มหลงจนเงยหัวไม่ขึ้นไปเสียได้” แม่มดชรากัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น หากไม่มีหลินหลันผู้นี้ นางก็คงกำจัดหมิงอวินไปได้ตั้งนานแล้ว
แม่จู้ซึ่งรับฟังอยู่ด้านข้างถึงขั้นรู้สึกหมดคำจะเอื้อนเอ่ย ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวง นางฮานมีความนึกคิดเช่นไรต่อนายน้อยรองและนายหญิงสะใภ้รอง นางมองดูอย่างเงียบงันอยู่ข้างๆ ก็มองออกอย่างชัดเจน หากจะเอ่ยถึงผู้มีความนึกคิดชั่วร้ายก็คงจะเป็นผู้ที่ปล่อยงูพิษนั่นมากกว่า หญิงชราปฏิบัติต่อนางเยี่ยอย่างมีอคติ เป็นเพราะนางเยี่ยบีบบังคับให้นายท่านรองหย่าขาดกับภรรยาแล้วมาแต่งงานกับตน ทว่าต่อมาภายหลังนางก็เคยไตร่ตรองดูว่า หากนางเยี่ยหาญกล้าเช่นนี้จริง เหตุใดสิบหกปีให้หลังถึงต้องโกรธเคืองและออกจากบ้านไปเพียงเพราะนายท่านรองต้องการรับนางฮานเข้าบ้านด้วยล่ะ อีกอย่าง ตระกูลหลี่ก็อาศัยตระกูลเยี่ยจนร่ำรวยขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่ทรัพย์สินใหญ่โตในเมืองหลวงนี่เลย กระทั่งบ้านหลังใหญ่และที่นาที่บ้านเกิด ล้วนเป็นเงินที่นางเยี่ยออกให้เพื่อสร้างมันขึ้นมาทั้งสิ้น หญิงชราเอาแต่เอ่ยว่านางเยี่ยไม่ดี ทว่าที่ตนเองกิน ที่ตนเองสวมใส่อยู่ ก็ไม่ต่างจากการอาศัยนางเยี่ยหรอกหรือ จากมุมมองของนาง นางเยี่ยไม่ตระหนี่ถี่เหนียวสินเดิมติดตัวของตนเอง ใจกว้างถึงเพียงนี้เพื่อทำให้ตระกูลหลี่มีหน้ามีตาขึ้นมา จะอย่างไรก็นับว่าเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลหลี่
นายหญิงสะใภ้รองยิ่งแล้วใหญ่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้คนอย่างยิ่ง ฉลองปีใหม่เอ่ย ฉลองเทศกาลต่างๆ นานาเอย ข้ารับใช้ในจวนผู้ใดบ้างที่ไม่ได้รับเงินรางวัลของนาง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิข้ารับใช้ บรรดาข้ารับใช้ของเรือนหลั้วเซี๋ยจายต่างมีความสุขสำราญกันถ้วนหน้า ทั้งยังปฏิบัติตามกฎระเบียบไม่ตกหล่น หากมิใช่เพราะความสนิทสนมกลมเกลียวกับผู้เป็นนายหญิง ขณะเดียวกันก็เคร่งครัดรอบด้าน มีหรือบรรดาข้ารับใช้จะสบายใจไร้กังวลปานนี้ เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง ข้ารับใช้ของนายหญิงสะใภ้ใหญ่ในเรือนเวยอวี่ แอบอู้และทำอันใดก็เอื่อยเฉื่อย ดื่มสุราเล่นการพนัน เฮ้อ! หากนายหญิงชราเลิกอคติได้ ก็คงได้รู้ว่านายหญิงสะใภ้รองเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง
น่าเสียดายนางเป็นเพียงคนต่ำต้อย พูดอันใดไปก็เท่านั้น! แม่จู้แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ภายในใจ
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ วันนี้ยังไม่รู้ว่าด้านนอกนั่นแพร่งพรายกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” หญิงชรากระวนกระวายใจอย่างนิ่ง นางหันไปเอ่ยกับนางฮาน “อีกประเดี๋ยวเจ้าอย่าเพิ่งเดือดดาลไป ถามไถ่ให้ชัดเจนเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากนางทำเรื่องเนรคุณจริงๆ บ้านนี้จะไม่ปล่อยนางไว้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
คำพูดเพิ่งสิ้นเสียงลง สาวใช้ด้านนอกก็ส่งเสียงรายงานขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า…”
หลินหลันเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน นางคารวะให้แก่หญิงชราและแม่มดชราอย่างมีมรรยาท
“มิทราบว่าท่านแม่เรียกลูกกลับมาเร่งด่วน มีเรื่องสำคัญอันใดหรือเจ้าคะ”
นางฮานมองเห็นหลินหลัน ความโกรธเกรี้ยวที่อัดแน่นอยู่เต็มอกก็พลุ่งพล่านจนสกัดไว้ไม่อยู่ จึงแค่นเสียง ฮึ อย่างเย็นชา “เจ้าอย่ามัวแสร้งทำอยู่เลย เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้แล้ว เจ้าก็คงสบายใจแล้วสินะ สุขใจแล้วสินะ”
หลินหลันมองนางฮานด้วยสีหน้าตระหนกตกใจและกล่าวอย่างงุนงง “เหตุใดท่านแม่ถึงเอ่ยเช่นนี้เจ้าคะ ลูกมิรู้เรื่องจริงๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้ายังกล้าแสร้งทำเป็นตะลึงงันไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกหรือ ดี เช่นนั้นข้าจะถามเจ้า เหตุใดตระกูลเยี่ยถึงรู้เรื่องห้องแถวที่ตงจื๋อเหมินถ่ายโอนกรรมสิทธิ์แล้วหรือ มิใช่พวกเจ้าพูดออกไปหรือไร วันนี้ตระกูลเยี่ยโวยวายเล่นละครชุดใหญ่ที่กลางถนนแถวตงจื๋อเหมิน เอ่ยว่าข้าและเหล่าเหยียฮุบทรัพย์สินของหมิงอวิน หลินหลันหนอ หลินหลัน มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะเป็นคนประเภทหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้” นางฮานเกือบจะกระโจนเข้าไปฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหลินหลัน
“หลินหลัน เจ้าพูดความจริงมาเถอะ เป็นเพราะให้พวกเจ้ายกห้องแถวให้ ทว่าในใจพวกเจ้าไม่เต็มใจ ถึงได้ใช้วิธีการนี้เพื่อทวงกลับคืนหรือ” น้ำเสียงของหญิงชราไม่เป็นมิตรเช่นกัน มันเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและเย็นชา
หลินหลันโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด แต่กลับฉีกยิ้มออกมา “ท่านแม่ ลูกมิได้แสร้งตะลึงหรือแสร้งไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ เจ้าค่ะ วันก่อนลูกก็เคยพูดไว้แล้วว่าไม่เต็มใจ เพราะนั่นเป็นทรัพย์สินที่มารดาหมิงอวินทิ้งไว้ให้เขา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ทว่าพวกเราก็เข้าใจความรู้สึกของท่านพ่อ ในเมื่อให้แล้วก็คือให้ ไม่มีความนึกคิดทวงกลับคืนอีกแน่นอน ความรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานของหมิงอวินก็เป็นที่รู้กันอยู่ ลูกเองอาศัยทักษะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็เลี้ยงปากท้องไปวันๆ ได้เช่นกัน หากให้พูดคุยโวโอ้อวดหน่อย ภายภาคหน้าก็ยังซื้อห้องแถวเหล่านั้นจากในมือของผู้อื่นกลับคืนมาได้ เหตุใดต้องไปฟ้องตระกูลเยี่ย เพื่อให้ตระกูลเยี่ยมาโวยวายจนกลายเป็นเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมา ทั้งยังทำลายชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลี่ไปด้วย มันมีประโยชน์อันใดต่อหมิงอวินเขาที่ไหนกันเจ้าคะ นี่จะมิเท่ากับทำให้ตนตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนหรอกหรือเจ้าคะ เพื่อห้องแถวไม่กี่ห้อง ทำลายชื่อเสียงของตนเอง การกระทำที่มีแต่ขาดทุนประเภทนี้ ลูกและหมิงอวินไม่ลดตัวลงไปกระทำหรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้าเล่ห์ ปากคอเต็มไปด้วยคำพูดหลอกลวง ที่คนของตระกูลเยี่ยด่าทอบนท้องถนนล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกันข้าและเหล่าเหยีย แล้วยังพูดถึงหมิงอวินเสียดิบดีราวกับเป็นลูกกตัญญูที่ได้รับการบีบบังคับและทำร้ายจิตใจ กลับเป็นพวกเจ้าที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้คนรอบข้างอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังได้ชื่อเสียงอันดีงามไปมากมาย!” นางฮานโกรธเกรี้ยวจนตัวสั่นเมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ข้ารับใช้กลับมารายงาน
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคำพูดของลูกล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ลูกกล่าวออกไปอย่างหมดเปลือกแล้ว หากท่านแม่มิเชื่อ ก็คงต้องไปหาหลักฐานมาเท่านั้นแล้วละเจ้าค่ะ ท่านแม่ให้พวกเรายกทรัพย์สินให้ พวกเราก็ให้แล้ว วันนี้พอเกิดเรื่องก็โยนความผิดมาที่พวกเรา ท่านแม่คิดจะบอกลูกว่า เป็นคนดีมันทำยากนักใช่หรือไม่เจ้าคะ สรุปแล้วท่านแม่ต้องการให้พวกเราทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้า…” นางฮานโกรธเกรี้ยวจนหน้าซีดเผือด นางหันไปกล่าวกับหญิงชรา “เหล่าไท่ไท ท่านดูนางสิเจ้าคะ นี่นางเถียงข้างๆ คูๆ อยู่เห็นๆ เจ้าค่ะ”
หญิงชราสีหน้าเคร่งเครียด มองหลินหลันด้วยความรู้สึกสับสน หลินหลันพูดจาได้อย่างคมคายและกล้าแสดงออกอย่างก้าวร้าว นางคงเคยถูกชี้แนะสั่งสอนมา มองดูท่าทีมั่นอกมั่นใจและน่าเกรงขามของนางแล้ว ตามจริง…ตอนนี้มาซักไซ้ไล่ความว่าพวกเขาร่วมมือกับตระกูลเยี่ยจริงหรือไม่ก็มิได้มีความหมายอันใด ประเด็นสำคัญคือจะกู้สถานการณ์กลับมาได้อย่างไรต่างหาก
“หลินหลัน ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าเจ้ากับหมิงอวินมิได้ร่วมมือกับตระกูลเยี่ยตีไข่ใส่สี แต่เป็นพวกเจ้าที่จำใจยกทรัพย์สินให้ เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้ารีบไปชี้แจงต่อตระกูลเยี่ยเสีย ให้คนของตระกูลเยี่ยออกหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง รีบทำให้เรื่องนี้สงบลงโดยเร็วที่สุด” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งครึม
หลินหลันนึกเหยียดหยันอยู่ภายในใจ สมกับเป็นฮูหยินเฒ่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานัก ถึงได้เข้าใจว่าควรจับประเด็นใดเป็นสำคัญ เพียงแต่ พวกเขายังคิดอย่างไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว ยุคสมัยนี้ไม่มีสื่อใดๆ กับแค่คำพูดจะไปสยบข่าวคราวบางอย่างหรือสยบข่าวฉาวได้ที่ไหนกัน อีกทั้งการส่งต่อคำพูดเป็นทอดๆ รวดเร็วมาก สถานการณ์เรื่องราวดำเนินไปจนเหนือการควบคุมของพวกเจ้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลเยี่ยไม่มีทางให้ความร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน นี่เป็นหนึ่งกลวิธีของมือสังหาร ซึ่งสิ่งที่รอคอยพวกเจ้าอยู่มีเพียงความพังพินาศเท่านั้น
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนน้อมถ่อมตน “ต่อให้ท่านย่าไม่สั่งการ หลานก็เตรียมจะทำเช่นนี้อยู่เช่นกันเจ้าค่ะ หลานจะรีบให้คนไปเรียกหมิงอวินกลับมาและลองปรึกษากันดูว่าจะแก้ไขปัญหาครานี้อย่างไรดีเจ้าค่ะ”
“จริงด้วย จริงด้วยเจ้าค่ะ! รีบไปเรียกเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วปรึกษาหารือกันจะดีที่สุดเจ้าค่ะ” แม่จู้กล่าวสนับสนุน
นางฮานสบถ ฮึ ด้วยความเดือดดาล นางไม่เชื่อเป็นอันขาดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนสารเลวคู่นี้ แย่ที่ไม่มีหลักฐานเท่านั้นเอง เดาว่าเวลานี้ผู้เป็นสามีนางก็คงกำลังรีบกลับมาเช่นกัน เอาเป็นว่ารอดูความนึกคิดของเขาก่อนแล้วกัน!