ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 196 คนชั่วกัดกันเอง (1)
“จิ้งเสียน เจ้ายังเห็นบ้านนี้อลหม่านไม่พอหรือ” เสียงของผู้ชราคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นหนักแน่น เพียงแต่เพราะเรี่ยวแรงของผู้พูดไม่มากพอ ผลลัพธ์จึงดูไม่น่าเกรงขามเท่าที่ควร
หลินหลันเบี่ยงตัวถอยไปด้านหลังสองฝีก้าวหลีกทางให้หญิงชราที่เดินห่อไหล่ตัวสั่นเทิ้มเดินเข้ามาพร้อมไม้ค้ำยัน ติงหลั้วเหยียนที่อยู่ตรงนั้นก็หลีกทางไปด้านข้างเช่นกัน
แม่จู้ประคองหญิงชรา มีแม่เจียงเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าหวาดระแวง
หลี่จิ้งเสียนที่เพิ่งลดระดับความโกรธลง เห็นมารดาชราเดินเข้ามาจึงอาละวาดขึ้นมาอีกระลอก ดวงตาดุดันทั้งคู่กวาดมองไปยังกลุ่มคนและตวาดออกไป “ใครใช้ให้พวกเจ้าทำให้เหล่าไท่ไทต้องตื่นตกใจไปด้วย”
ทุกคนพร้อมใจกันก้มหน้าเงียบงัน ภายในห้องมีเพียงเสียงหอบหนักของหลี่จิ้งเสียนและเสียงสะอื้นไห้ของนางฮาน แม่เจียงเห็นนายหญิงถูกนายท่านตบตีจนไม่เหลือชิ้นดี ความเจ็บปวดนั่นจึงปะทุขึ้นมาจนเกือบอดรนทนไม่ได้ อยากวิ่งเข้าไปกอดนายหญิงทั้งน้ำตาเสียตอนนี้
หญิงชราหย่อนตัวลงนั่งบนแท่นนั่งอิฐ แม่จู้หยิบหมอนอิงใบนุ่มให้นางพิงและช่วยให้นางนั่งในอิริยาบถที่สบายขึ้นเล็กน้อย
หญิงชราแค่นเสียงฮึผ่านจมูก จ้องมองบุตรชายและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “เจ้ายังเกรงว่าจะเป็นการทำให้หญิงชราอย่างข้าตื่นตกใจอีกหรือ ข้าว่าเจ้าเกรงว่าข้าหญิงชราผู้นี้จะอายุยืนเกินไปเสียมากกว่า ถึงได้อยากทำให้ข้าโกรธจนอกแตกตายไปโดยเร็วไว ทำให้พวกเราซึ่งขัดหูขัดตาเจ้าตายๆ ไปเสีย เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสม…” ขณะพูด หญิงชราถึงกับหายใจไม่สะดวกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แม่จู้จึงรีบเข้าไปช่วยลูบแผ่นหลังอย่างเบามือเพื่อระบายเลือดลมให้นาง
คำพูดนี้ฟังดูรุนแรงพอตัว หลี่จิ้งเสียนถึงกับเหงื่อไหลไคลย้อยเมื่อได้ยิน จะไม่พักรบก็เห็นทีว่าคงมิได้เสียแล้ว เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหวาดเกรง “ท่านแม่พูดเกินไปแล้วขอรับ ลูกแค่เกรงว่าจะทำให้ท่านแม่เป็นกังวลใจไปก็เท่านั้น ท่านแม่ยังป่วยอยู่นะขอรับ!”
หญิงชราชำเลืองมองนางฮานที่อยู่ด้านหลังหมิงเจ๋อ นางส่ายหน้าและถอนหายใจก่อนสบถด่า “ต่อให้เจ้าอารมณ์ไม่ดีเพียงใด ก็มิควรระบายอารมณ์ไปที่นางฮาน ฟ้าดินยังมิได้ถล่มทลายลงมาเสียหน่อย! เจ้าถึงต้องแหกปากโวยวายจะตีกันให้ตายคาบ้าน”
หลี่จิ้งเสียนรีบแก้ต่างทันที “ท่านแม่ ท่านมิรู้อะไร นี่ยังนับว่าน้อยไปสำหรับนางฮานด้วยซ้ำขอรับ วันนี้ตระกูลเราพังพินาศทั้งหมดเป็นเพราะนางผู้เดียว ท่านแม่ ท่านดูนี่ขอรับ…” หลี่จิ้งเสียนหยิบหลักฐานสองแผ่นขึ้นมา เดินขึ้นไปสองก้าวยื่นส่งให้มารดา
หญิงชรามองไม่ชัดเจน “นี่มันคืออันใด”
หลี่จิ้งเสียนหันไปจ้องหมิงเจ๋อและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเข้าไปอ่านออกเสียงดังๆ ให้ท่านย่าฟังสิ”
หลี่หมิงเจ๋อนำมารดาส่งมอบให้แม่เจียงดูแลต่อ เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินไปเบื้องหน้า หยิบกระดาษสองแผ่นจากมือของผู้เป็นย่าและอ่านมัน “วันนี้กู้ยืมเงินจากโรงรับฝาก และกู้ยืมหุ่ยทงเป็นจำนวนเงินห้าแสนตำลึงเงิน ดอกเบี้ยสามหมื่นตำลึงเงิน ชำระภายในระยะเวลาครึ่งปี…ผู้กู้ยืมเงิน ฮานชิวเยว่จวนหลี่…” น้ำเสียงของหลี่หมิงเจ๋อค่อยๆ แผ่วเบาลงพร้อมกับสีหน้าที่ฉายให้เห็นความตื่นตกใจปนสงสัย เขามองไปยังมารดา “ท่านแม่ ท่านกู้ยืมเงินจำนวนมากขนาดนี้ไปทำอันใดหรือขอรับ”
ในเหตุการณ์ นอกจากหลี่หมิงอวินและหลินหลัน ตลอดจนผู้ที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นอย่างแม่เจียง คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองนางฮานด้วยสีหน้าสงสัย
หลี่จิ้งเสียนกล่าว “ยังมีอีก อ่านต่อไปสิ…”
หลี่หมิงเจ๋อสลับอีกใบขึ้นมา ยังไม่ท่านเอ่ยปาก สีหน้าของเขาก็สีเผือดไปเสียแล้วตามด้วยเสียงเอ่ยอย่างตกตะลึงและประหลาดใจในคราเดียวกันอีกระลอก “ยังมีอีกสองแสนตำลึงเงิน…”
หญิงชราเดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน “จิ้งเสียน สรุปแล้วนี่มันเรื่องอันใดหรือ”
แม่เจียงรีบร้อนมาด้วยความกระวนกระวาย นางได้รับการบอกกล่าวเพียงว่านางฮานตกอยู่ในอันตราย นางเองก็ไม่ทันได้ถามไถ่อย่างละเอียด รีบปีนป่ายขึ้นมาจากเตียงนอนและมุ่งมาที่นี่ทันที นางจึงเข้าใจเพียงว่าเพราะจิ้งเสียนอารมณ์ไม่ดี สามีภรรยาทั้งสองคนนี้ก็เลยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาอีก คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเพราะนางฮานไปแอบกู้เงินลับหลังทุกคนไว้จำนวนมากมายเพียงนี้ รวมๆ แล้วเป็นถึงจำนวนมากถึงเจ็ดแสนตำลึงเงิน!
หลี่จิ้งเสียนจ้องนางฮานเขม็งด้วยสายตาแห่งความเกลียดชังกว่าครั้งไหนๆ และกล่าวด้วยความเดือดดาล “เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือขอรับ ก็นังโง่ผู้นี้คิดถึงแต่เงินจนบ้าไปแล้ว ปิดบังข้า ปิดบังท่านแม่ ปิดบังทุกคน แอบเอาทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดออกไปทุ่มลงกับภูเขาเหมือง แล้วยังนำจวนตระกูลหลี่เราไปจำนองไว้ กู้ยืมเงินจำนวนเจ็ดแสนตำลึงเงิน แต่ผลปรากฏว่าภูเขาเหมืองขาดทุนไม่เป็นท่า ขาดทุนแบบไม่ได้อะไรกลับคืนทั้งสิ้น นางจึงริเริ่มความคิดให้นำห้องแถวและที่ดินชานเมืองซึ่งนางเยี่ยทิ้งไว้ให้ขายออกไป ลูกเลยถูกนางเป่าหู จึงนำมาซึ่งหายนะในวันนี้อย่างไรล่ะขอรับ…”
หญิงชรารู้สึกเพียงเบื้องหน้าวูบดับไปชั่วครู่พร้อมกับเรือนร่างเอนคลอน แม่จู้ที่อยู่ด้านข้างจึงรีบเข้ามาประคองและปลอบประโลมนาง “เหล่าไท่ไท ท่านอย่าได้ร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ…”
นางฮานรีบแก้ต่างทันควัน “เหล่าไท่ไท แม้ว่าลูกจะมีความผิด ทว่าลูกก็ทำเพื่อครอบครัวนี้ เพื่อลูกๆ หมิงเจ๋อเขานิสัยอ่อนปวกเปียก ทั้งยังไม่มีความสามารถอันใด ข้าคนนี้ในฐานะแม่ก็ควรช่วยเขา…”
“หุบปาก เจ้ายังกล้าแก้ต่างอีกหรือ หากเจ้าทำเพื่อครอบครัวและเพื่อลูกจริง ก็ทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาสิ เหตุใดต้องปกปิดด้วยหรือ ยามที่เจ้านำจวนนี้ลงไปจำนอง เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเกิดกิจการล้มเหลวไป บ้านนี้ก็จะถูกเจ้าทำลายจนหมดสิ้นไปด้วย ยามที่เจ้ากระทำเรื่องทั้งหมดนี้ เคยคำนึงถึงชีวิตของทุกคนบ้างหรือไม่ นังโง่เง่าเอ๊ย นังโง่ ข้าว่าเจ้าไม่เพียงแต่ไร้สมองแต่ยังไร้หัวใจอีกด้วย” หลี่จิ้งเสียนด่าทอด้วยความเดือดดาล
หลังหญิงชราได้ยินว่าทรัพย์สินของจวนทั้งหมดถูกนางฮานละลายทิ้งสูญเปล่าไปหมดแล้ว ความคิดที่นางอยากปกป้องนางฮานก็มลายหายไปจนหมดสิ้นเช่นกัน จิ้งเสียนสู้สุดชีวิตมาหลายปีกว่าจะมีวันนี้ วันที่วงศ์ตระกูลหลี่มีหน้ามีตารุ่งโรจน์ขึ้นมากับเขาบ้าง ด้วยเหตุนี้นางหลี่จึงหลุดพ้นจากการเป็นคนฐานะต่ำต้อย ได้กลายเป็นตระกูลขุนนางที่มีหน้ามีตาในสังคม น่าเสียดาย ทั้งหมดนี้กลับถูกนางฮานทำลายสิ้นซากเสียแล้ว มิน่าล่ะ บุตรชายของนางถึงโกรธเกรี้ยวเพียงนี้ เมื่อมองดูใบหน้าบวมช้ำของนางฮาน นางกลับยิ่งอยากลงมือไปอีกสักฉาดด้วยซ้ำ
หลี่หมิงเจ๋อไม่รู้ว่าความรู้สึกในยามนี้มันคืออันใด รู้สึกเพียงว่าในใจมันทุกข์ระทมเสียยิ่งนัก ความผิดของมารดาครานี้มันใหญ่หลวงจริงๆ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตนเองมีส่วนในความผิดนี้ด้วย หากเขาตาสว่างได้เร็วกว่านี้ ทำให้มารดาวางใจได้ มารดาก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้…
แม่เจียงอดเรียกร้องความยุติธรรมให้นายหญิงไม่ได้ “เหล่าเหยียเจ้าคะ ได้โปรดเมตตาด้วย ฮูหยินเพียงแค่โชคไม่ดีเท่านั้นเจ้าค่ะ ทว่าจุดประสงค์เริ่มต้นของฮูหยินเกิดจากความตั้งใจดี ท่านต้องเชื่อฮูหยินนะเจ้าคะ!”
“ถุย! เจ้ามันนังทาสสารเลวแก่ๆ คนหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้ามิรู้หรือว่าการที่ฮูหยินเจ้าทำเรื่องต่ำทรามเหล่านั้น ครึ่งหนึ่งล้วนได้รับการยุยงส่งเสริมจากเจ้า ใครก็ได้เข้ามาที ลากนังทาสสารเลวนี่ออกไปแล้วเฆี่ยนให้ตายไปเสีย” หลี่จิ้งเสียนอดกลั้นกับแม่เจียงผู้นี้มาเนิ่นนานมากแล้ว จึงอาศัยโอกาสนี้ออกคำสั่งลงโทษนางไปด้วยเสียเลย
แม่เจียงตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือด กล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “เหล่าเหยีย ท่านจะใส่ร้ายบ่าวเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ บ่าวปฏิบัติต่อเหล่าเหยีย ต่อฮูหยิน ต่อตระกูลหลี่อย่างจงรักภักดีมาโดยตลอดนะเจ้าคะ…”
หลี่จิ้งเสียนฉีกยิ้มแม้จะรู้สึกโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด “จงรักภักดี? จงรักภักดีเลยให้คนใส่ยาพิษประเภทสารปรอทลงในอาหารของหลิวอี๋เหนียงน่ะหรือ”
แม่เจียงและนางฮานรู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดลงมาเมื่อได้ยินคำดังกล่าว ที่แท้เขาก็รู้อยู่แล้ว…
“หากมิต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ ตัวเจ้าเองก็อย่าได้ริอ่านกระทำ พวกเจ้าคิดว่าหลินหลันเป็นหมอที่ไม่มีฝีมือในการรักษาหรือไร ถึงจะมองวิธีการต่ำทรามที่พวกเจ้าใช้ไม่ออก เดิมทีข้าอดกลั้นไว้เป็นเพราะเห็นแก่สัมพันธ์ฉันสามีภรรยา มิอยากทำให้บ้านไม่สงบสุข ข้าแอบส่งสัญญาณให้เจ้าหลายต่อหลายครั้ง น่าเสียดาย พวกเจ้าไม่เพียงไม่รู้จักสำนึกแล้วยังเอาความดีใส่ตัว คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือ” หลี่จิ้งเสียนหันไปโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมยกสองมือขึ้นคารวะต่อมารดาก่อนเอ่ย “ท่านแม่ ตอนนั้นโชคดีที่หลิวอี๋เหนียงยังไม่ตั้งครรภ์ มิเช่นนั้น การโดนพิษสารปรอทเข้าไป ต่อให้รักษาชีวิตเด็กไว้ได้ เมื่อเกิดมาแล้วไม่พิกลพิการก็คงสมองไม่ปกติ หากท่านแม่ไม่เชื่อ ลองถามหลินหลันดูก็ได้ขอรับ หากไม่เชื่อหลินหลัน จะลองไปถามหมอฮว๋าแห่งเต๋อเหรินถางก็ได้ขอรับ”
หญิงชราเดือดดาลถึงสุดขีด ดวงตาคมกริบประหนึ่งคมมีดจ้องมองนางฮานด้วยความโกรธเกรี้ยว ตะคอกออกไปอย่างดุดัน “ชิวเยว่ เจ้าพูดออกมาเองสิว่า จิ้งเสียนใส่ร้ายเจ้าหรือไม่”
นางฮานมองผู้เป็นสามีแล้วจึงมองไปที่แม่สามีด้วยความหวาดเกรง ริมฝีปากล่างของนางสั่นระริก สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง นางร้องไห้โฮขณะกล่าว “เหล่าไท่ไท ลูกถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ…ต่อให้ลูกโง่เขลา ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องเลวร้ายประเภทนี้ได้ลงคอหรอกเจ้าค่ะ…”
แม่เจียงแสร้งร้องห่มร้องไห้อย่างหนักออกมาเช่นกัน “เหล่าไท่ไทเจ้าคะ บ่าวมิเคยทำอันใดเช่นกันนะเจ้าคะ…”
หลินหลันอดเบิกตาโตด้วยความตะลึงไม่ได้ นายบ่าวคู่นี้ช่างหน้าหนาไม่แพ้พ่อผู้ไร้ยางอายเสียจริง! มาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่รู้จักเจียมตัว ลงทุนแสดงละครตบตาเช่นนี้อีก
“ข้าว่าพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ พวกเจ้าคงยังคิดว่าเจี่ยนชิวและชุ่ยผิงเป็นคนของพวกเจ้า ทว่าพวกเขาสารภาพมาหมดเปลือกแล้ว รู้ไว้เสียด้วย” หลี่จิ้งเสียนสบถฮึอย่างเย็นชา
นางฮานและแม่เจียงต่างตะลึงงัน ทันใดนั้นกลับร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกระลอก เพียงแต่ครานี้เป็นเพราะความรู้สึกกลัวอย่างแท้จริง เป็นความหวาดกลัวที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ร้องไห้จนดูน่าเวทนา
หลี่หมิงเจ๋อก้มหน้าลงด้วยความทุกข์ระทม เขารู้ดีแก่ใจว่าวันนี้คงช่วยเหลือมารดาไม่ได้แล้ว
หลี่จิ้งเสียนกล่าวต่อมารดาภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ ความโชคร้ายของบ้านเราเกิดจากนางฮาน ลูกจึงเตรียมหย่าขาดจากนางตามกฎระเบียบของบ้านขอรับ”
หญิงชราทำเพียงมองดูนางฮานและกล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ “ชิวเยว่เอ๊ย ชิวเยว่ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน หลายปีมานี้ ข้าปกป้องเจ้าทั้งเปิดเผยและอย่างลับๆ โดยรวมแล้วก็คือปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้เสียได้…”
นางฮานปล่อยหยาดน้ำตาไหลรินเป็นสายพลางส่งเสียงตะโกนอันโศกเศร้าขึ้นมา “เหล่าไท่ไท…ลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ เหล่าไท่ไทโปรดให้โอกาสลูกแก้ไขสักครั้งนะเจ้าคะ ลูก ลูกจะตั้งใจกตัญญูต่อท่านให้ดีๆ คอยปรนนิบัติท่านพี่อย่างดีและจะไม่ทำอันใดโดยพลการอีก จะไม่อิจฉาริษยาอีก…”
หญิงชรากล่าวอย่างไม่แยแส “แม้ว่าเจ้าสำนึกผิดแล้ว ทว่าตระกูลหลี่พวกเรากลับไม่อาจต้อนรับลูกสะใภ้เช่นเจ้าได้อีกแล้ว”
หลี่หมิงเจ๋อตระหนกตกใจอย่ายิ่ง เขาคุกเข่าลงดัง ปึง “ท่านย่า ท่านโปรดไตร่ตรองอีกสักครั้งเถิดขอรับ! ท่านแม่เพียงแค่เลอะเลือนไปชั่ววูบ นางมิได้ตั้งใจหรอกขอรับ”
หลินหลันแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ที่หมิงเจ๋อเอื้อนเอ่ยมานั้นไม่ต่างจากการตบหน้าของแม่มดชรานั่นด้วยซ้ำ เลอะเลือนไปชั่ววูบ? คำว่าชั่ววูบของแม่มดชรานี่มันต้องยาวนานเท่าใดกันนะ! เปลี่ยนจากคำนี้เป็นเลอะเลือนชั่วชีวิตน่าจะเหมาะเสียกว่า
หลี่จิ้งเสียนทั้งโกรธเกรี้ยวและเสียใจในเวลาเดียวกัน เขาด่าออกไป “เจ้าช่วยทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ยังกล้าขอความเห็นใจแทนนางอีกหรือ หากนางอยู่ในตระกูลหลี่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วกระทั่งเจ้าก็จะพังพินาศไปด้วย”
หมิงเจ๋อกล่าวอ้อนวอน “ต่อให้ท่านแม่กระทำผิดอีก นางก็เป็นท่านแม่ของลูก ขอท่านพ่อโปรดให้อภัยท่านแม่สักครั้งเถิดขอรับ”
หญิงชราตะโกน “หมิงเจ๋อ เจ้าลุกขึ้นเสีย บิดาเจ้าพูดได้ไม่มีผิดเพี้ยน”
นางฮานหมดสิ้นความหวัง คาดไม่ถึงเลยว่าเมื่อหญิงชรายืนหยัดแน่วแน่ขึ้นมาจะแน่วแน่ได้กว่าใครหน้าไหนทั้งสิ้น สมกับเป็นแม่ลูกกันเสียจริง! เมื่อความสิ้นหวังนี้ดำดิ่งถึงขีดสุด นางฮานถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมากะทันหันและดังขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะจนทั้งร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าของนางที่บวมช้ำเมื่อสั่นไปหมดเพราะเสียงหัวเราะจึงชวนขนหัวลุกเป็นพิเศษ
เนิ่นนานพอตัว นางถึงหยุดหัวเราะ มองหญิงชราด้วยสายตาเหยียดหยาม “เหล่าไท่ไท วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วความไร้ยางอายของท่านพี่เรียนรู้มาจากท่านนี่เอง ท่านคิดจริงๆ หรือว่าตอนนั้นท่านพี่ถูกนางเยี่ยบังคับให้แต่งงานด้วย”
หลี่จิ้งเสียนจ้องตาเขม็งและส่งเสียงตะคอกขึ้นมาทันใด “นางฮาน เจ้าบ้าพอแล้วหรือยัง”
นางฮานเงยหน้าขึ้นทันใด เหยียดหลังตรง จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวเสียงดังลั่น “ใช่ ข้าเป็นบ้าไปแล้ว ข้าถูกเจ้ากดดันจนบ้าไปแล้วอย่างไรล่ะ เจ้ามันคนต่ำช้าไร้ยางอายที่แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อได้ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างสงบสุขเช่นกัน”
นางหันไปทางหญิงชรา “บุตรชายผู้แสนดีของท่านเก่งกาจเสียยิ่งกว่าใคร! หลอกลวงนางเยี่ยได้อย่างแนบเนียน จนกระทั่งตายใจถึงขั้นต้องการแต่งงานกับเขา ทั้งยังเกลี้ยกล่อมข้าเสียดิบดี บอกให้ข้าอดทนน้อยเนื้อต่ำใจไปไม่กี่ปี เมื่อภายภาคหน้าเขาประสบความสำเร็จแล้วก็จะเลิกรากับนางเยี่ยแล้วรับข้ามาแต่งงานใหม่อีกครั้ง ท่านยังคิดจริงๆ หรือว่านางเยี่ยไร้ยางอาย ตามจริงเป็นบุตรชายท่านต่างหากที่ไร้ยางอาย ที่ว่านางเยี่ยเคี่ยวเข็ญให้แต่งงานด้วยอะไรนั่นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น บุตรชายท่านไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลเยี่ยอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน เพียงเพื่อขอร้องให้ยกนางเยี่ยให้แต่งงานด้วย นี่มันช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้งเสียจริงนะเจ้าคะ…ยังดีที่ข้าพอฉลาดเท่าทัน จึงให้เขาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ท่านคิดว่าลำพังคำพูดของท่านไม่กี่ประโยค จะทำให้บุตรชายของท่านยอมให้ข้ากลับเข้าตระกูลหลี่หรือไร เขามันก็แค่ไอ้จอมโกหกที่หลอกลวงคนอื่นมาแต่งงานด้วยและปอกลอกทรัพย์สินของชาวบ้านเขาก็เท่านั้น…”