ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 200 เรียกค่าไถ่
หลี่หมิงอวินเดินไปถึงหน้าเตียงอย่างเชื่องช้า แล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง มองดูสีหน้าซีดเผือดของผู้เป็นย่า ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกนานาประการ “ยังฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่”
หลินหลันส่ายหน้าเล็กน้อย “พูดยาก คงได้แต่พยายามรักษาสุดความสามารถ ส่วนชะตาชีวิตคงขึ้นอยู่กับโชคชะตากำหนดแล้วละ! เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะให้ท่านหมอเฉินที่ร้านยามาพบ เขามีประสบการณ์การรักษาโรคเส้นโลหิตในสมองเป็นการเฉพาะ”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ “ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว เพียงแต่…ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าลำบากหน่อยจะเป็นไรไป เดิมทีการรักษาผู้ป่วยก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เจ้าต่างหาก…ดื่มสุรามากเพียงนี้แล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างหรือไม่”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขมขื่นไม่ต่างกัน เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “เจ้าไปนอนเถอะ! เดี๋ยวข้าเฝ้าดูเอง”
“อย่าดีกว่า เกิดมีอาการแทรกซ้อนขึ้นมากะทันหัน เจ้าเองก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน ข้าอดทนอีกหน่อยแล้วกัน! รอพรุ่งนี้ท่านหมอเฉินมาถึงแล้วข้าค่อยไปพักผ่อนก็ย่อมได้ นี่ก็ใกล้สว่างแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงกว่าก็จะได้เวลาที่เจ้าต้องไปว่าราชการ เพราะฉะนั้นรีบกลับไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ขืนเจ้าไปราชสำนักทั้งสีหน้าห่อเหี่ยวและกลิ่นสุราเต็มตัวเช่นนี้จะพานให้สหายร่วมงานพูดล้อเอาได้” หลินหลันเอ่ยเกลี้ยกล่อม
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “ข้าไม่ง่วง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ละ ไว้ใกล้เวลาแล้วข้าค่อยไปล้างหน้าล้างตา”
ทั้งสองจึงนั่งอยู่ด้วยกันภายใต้ความเงียบสงัดเช่นนี้จนกระทั่งฟ้าสาง
ภายในห้องหนังสือ หลี่จิ้งเสียนนั่งถอนหายใจด้วยความหดหู่อยู่ลำพังจนถึงรุ่งเช้า เขารู้สึกเคียดแค้นนางฮาน รู้สึกละอายแก่ใจต่อมารดา รู้สึกเป็นกังวลต่อหมิงอวิน ความรู้สึกนานาประการแล่นอยู่ภายในหัวสมอง ทำให้เขาไม่อาจหลับตาลงได้ เขารู้สึกเสียใจภายหลัง เสียใจว่าทำไมตนเองถึงบุ่มบ่ามไปคิดบัญชีกับนังสารเลวผู้นี้ ทั้งที่ตามจริงแล้วเขาจัดการคนสารเลวผู้นี้อย่างเงียบๆ ก็ได้ เหตุใดต้องทำให้ตนเองกลายหมาป่าจอมดุร้ายเช่นนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้ชะตาชีวิตของเขาเท่ากับผูกมัดไว้ที่หมิงอวิน หากภายในใจหมิงอวินเกิดความเกลียดชังเขาขึ้นมา ถือโอกาสนี้แก้แค้นเขา นั่นคงเป็นอะไรที่ย่ำแย่มาก
วันรุ่งขึ้น หลี่หมิงเจ๋อไปขอลาหยุดต่อไท่ฉางซื่อ[1]เป็นอันดับแรก แล้วนำสิ่งของที่หลั้วเหยียนตระเตรียมให้เป็นที่เรียบร้อยไปยังโรงเตี๊ยมเหลียนเซิ่งทางตอนใต้ของเมืองหลวงเพื่อพบมารดา อย่างน้อยๆ จะได้ส่งมารดาและน้องสาวออกเดินทางด้วยตนเอง แต่แล้วกลับได้รับการบอกกล่าวว่าเมื่อคืนไม่มีผู้ใดมาเข้าพัก หลี่หมิงเจ๋อตกใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ทั้งที่ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วว่าให้มารดามาพักที่โรงเตี๊ยมเหลียนเซิ่งก่อน หรือว่านายเฉินจะฟังผิดไปแล้ว? หมิงเจ๋อจึงไปหาตามโรงเตี๊ยมอื่นๆ ในแถบตอนใต้ของเมืองหลวง แต่กลับไร้วี่แวว หรือมารดาเกรงว่าบิดาจะส่งคนมาตามนางจึงมุ่งออกจากเมืองหลวงในช่วงกลางดึกไปเสียแล้ว
หมอเฉินสมกับการเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เขามีความชำนาญในการรักษาอาการเส้นโลหิตในสมองอย่างยิ่ง โชคดีที่หลินหลันรักษาอาการเบื้องต้นได้ทันท่วงที อาการป่วยจึงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันตัวเป็นเกลียวตลอดสามวันสามคืน ในที่สุดหญิงชราก็ได้สติฟื้นขึ้นมาเสียที
หลี่จิ้งเสียนกระโจนเข้าไปอยู่หน้าเตียงนอน กอบกุมมือของมารดาไว้ ทันใดนั้นหยาดน้ำตาแห่งความดีใจก็เอ่อล้นออกมา
หญิงชรารู้สึกตัวชัดเจนทว่าไม่อาจพูดจาได้ ปากนางบิดเบี้ยวอย่างหนัก จึงได้แต่ส่งเสียอู้อี้ดังขึ้นจากในลำคอ
“ท่านแม่ ท่านอย่างเพิ่งรีบร้อนไปเลยขอรับ ท่านหมดสติไปสามวันแล้ว ค่อยๆ พักรักษาตัวให้ดีๆ อีกไม่นานก็จะดีขึ้นได้ขอรับ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวปลอบใจ
หญิงชราจ้องมองบุตรชายด้วยดวงตาแข็งกร้าว ส่งเสียงเดือดดาลหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านย่า มีอะไรอยากพูด ไว้รอให้รักษาหายดีแล้วค่อยพูดเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านไม่ควรใช้อารมณ์มากเกินไปนะเจ้าคะ” หลินหลันเกลี้ยกล่อม นางมองดูจากนัยน์ตาของหญิงชราก็มองออกว่าหญิงชราอยากด่าท่อมากเพียงใด
“นั่นสิเจ้าคะ! เหล่าไท่ไท เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่วยรักษาท่านตลอดสามวันสามคืนไม่ห่าง กว่าจะช่วยท่านฟื้นกลับมาได้มิง่ายเลยนะเจ้าคะ ดังนั้นตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งคิดอันใดเลยเจ้าค่ะ รักษาร่างกายให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็ยังมิสายเจ้าค่ะ!” แม่จู้ปรนนิบัติหญิงชรามาเนิ่นนานหลายปี เพียงเห็นสายตาของหญิงชรานางก็รู้ได้ทันทีว่าภายในใจหญิงชราคิดอะไรอยู่บ้าง ในยามนี้ หญิงชราไม่อยากเห็นหน้าบุตรชายผู้นี้
“เหล่าเหยียเจ้าคะ ท่านก็เหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ในเมื่อตอนนี้เหล่าไท่ไทฟื้นแล้ว ท่านเองก็ควรไปพักผ่อนเช่นกันนะเจ้าคะ” แม่จู้กล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
มีหรือหลี่จิ้งเสียนจะมองสายตาผู้เป็นมารดาไม่ออก นัยน์ตามารดาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและจงเกลียดจงชัง ทำให้เขาถึงกับเหงื่อตก หลินหลันเคยเอ่ยไว้ว่ามารดาไม่อาจได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอีก หากเกิดอาการอีกครั้งก็เตรียมลาโลกกลับบ้านเก่าได้เลย หลี่จิ้งเสียนจึงรีบถอยลงมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านแม่รักษาสุขภาพให้ดีๆ นะขอรับ ไว้ลูกจะมาเยี่ยมท่านอีกทีขอรับ”
หลังหลี่จิ้งเสียนเดินออกไป หญิงชราถึงสงบสติอารมณ์ลง นางมองดูแม่จู้ หลินหลัน และหลั้วเหยียน แต่ละคนต่างมีสีหน้าห่อเหี่ยว นางจึงหลับตาลงอีกครั้ง เปลือกตากระตุกเล็กน้อย ทันใดนั้นหยาดน้ำตาก็ไหลรินออกมา
หลายปีมาแล้วที่ไม่เคยเห็นหยาดน้ำตาของหญิงชราไหลริน แม่จู้จึงรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันใดแต่ยังคงฝืนยิ้มกล่าว “เหล่าไท่ไท ท่านอย่าเป็นกังวลไปเลยนะเจ้าคะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะรักษาอาการป่วยของท่านให้หายดีได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หงซางเดินเข้ามาเงียบๆ ไปหยุดลงข้างกายนายหญิงสะใภ้ใหญ่แล้วเอ่ยเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ…”
ติงหลั้วเหยียนพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณบอกกล่าวว่าไว้ค่อยพูดยามที่นางออกไปข้างนอกแล้ว
เมื่อมาถึงส่วนหน้าของโถงรับแขก หงซางหยิบจดหมายฉบับหนึ่งยื่นส่งให้นายหญิง
ติงหลั้วเหยียนมองดูบนซองจดหมายที่เขียนจ่าหน้าไว้ว่าใต้เท้าหลี่ราชเลขาแห่งกรมคลัง นางจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นจดหมายของท่านพ่อ เจ้านำมาให้ข้าทำไมหรือ”
หงซางกล่าว “นี่เป็นจดหมายให้เหล่าเหยีย ทว่าผู้ส่งเอ่ยว่า ทางที่ดีที่สุดให้คุณชายใหญ่อ่านผ่านตาก่อนเจ้าค่ะ หลังจากนั้นผู้เฝ้าประตูบ้านก็ยื่นจดหมายส่งให้ข้าน้อยเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ย “รีบไปเรียกต้าเส้าเหยียมาที”
ไม่ง่ายเลยกว่าหลี่หมิงเจ๋อจะแอบหาเวลางีบหลับสักหน่อยในวันที่แสนยุ่งวุ่นวายนี้ แต่แล้วก็ได้ยินว่าหลั้วเหยียนเรียกหาเขา เดิมคิดว่าหรือผู้เป็นย่าอาการไม่สู้ดีขึ้นมาแล้ว จึงแต่งกายครบถ้วนเรียบร้อยแล้วมาพบด้วยความรีบร้อน
“หลั้วเหยียน หรือว่าท่านย่า…”
หลั้วเหยียนส่ายหน้าแล้วกล่าว “ท่านย่าฟื้นแล้ว น้องสะใภ้เอ่ยว่าเพียงแค่ต้องดูแลสภาพจิตใจให้ดีๆ ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอันใดร้ายแรงแล้ว”
หลี่หมิงเจ๋อถอนหายใจเฮือกยาว ใจที่หล่นหายวูบเมื่อครู่กลับคืนสภาพปกติอีกครั้ง
“เมื่อครู่มีคนส่งจดหมายมาให้โดยเอ่ยไว้ว่าทางที่ดีที่สุดให้เจ้าอ่านมันดูเสียก่อน” ติงหลั้วเหยียนนำจดหมายส่งให้เขา
หมิงเจ๋อรับมันมาเปิดดูด้วยความสงสัย หลังจากนั้นสีหน้าเขากลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ติงหลั้วเหยียนเห็นท่าทีดังกล่าวจึงรู้สึกตระหนกตกใจ “เกิดเรื่องขึ้นแล้วหรือ”
หมิงเจ๋อหน้าซีดเผือด ราวกับวิญญาณล่องลอยออกจากร่างไปเสียแล้ว ”ท่านแม่และน้องหมิงจูถูกคนจับตัวไปเรียกค่าไถ่…”
“อะไรนะ?” ติงหลั้วเหยียนร้องด้วยความตระหนกตกใจ
น้ำชาของหลี่จิ้งเสียนยังไม่ทันหายร้อน หมิงเจ๋อก็พุ่งพรวดเข้ามาให้ห้องหนังสือพร้อมจดหมาย
เขากล่าวด้วยความร้อนรนใจทันทีที่พ้นประตูข้ามา “ท่านพ่อ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ…”
หลี่จิ้งเสียนมือสั่นด้วยความตื่นตกใจจนน้ำชาในถ้วยกระฉอกเลอะบนเรือนร่าง เขาลุกพรวดขึ้นทันทีโดยไม่สนที่จะเช็ดคราบน้ำชาด้วยซ้ำ “หรือว่าท่านย่าเจ้า…”
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นท่านแม่และน้องหมิงจูถูกคนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ขอรับ คนชั่วเหล่านั้นเอ่ยว่าต้องนำเงินมาแลกแปดแสนตำลึงเงินขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนตระหนกตกใจชั่วขณะหนึ่งก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งกลับไปดั่งเดิม “บ้านนี้ถูกแม่เจ้าผลาญเงินไปหมดแล้ว แปดแสนตำลึงเงินจะให้ไปหามาจากไหนได้” อย่าว่าแต่ไม่มีเงินเลย ต่อให้มี เขาก็ไม่นำเงินไปแลกกับคนสารเลวนั่นหรอก อีกทั้งจะเป็นการดีที่สุดหากคนชั่วเหล่านั้นจัดการนาง จะได้เป็นการระบายความเคียดแค้นในใจเขาไปด้วย
“แต่ท่านพ่อขอรับ พวกเราไม่ให้ไม่ได้นะขอรับ!” หลี่หมิงเจ๋อนำจดหมายคลี่จ่อเบื้องหน้าบิดา “คนชั่วเหล่านั้นเอ่ยว่า พวกเขากอบกุมเรื่องราวของบ้านเราที่แพร่งพรายออกไปไม่ได้ หากไม่นำเงินมาแลกเปลี่ยน พวกเขาก็จำเป็นต้องนำหมิงจูไปขายซ่อง แล้วนำเรื่องราวเลวทรามส่งมอบให้ฝ่ายตรวจการขุนนางด้วยนะขอรับ”
หลังอ่านจดหมายจบ หลี่จิ้งเสียนเดือดดาลเป็นที่สุด ฝ่ามือหนาฟาดลงไปบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “ต้องเป็นความคิดชั่วร้ายของนังสารเลวนี่ที่คิดจะปกป้องตนเองและทำลายข้าให้สิ้นซากอย่างแน่นอน นังสารเลวผู้นี้จะต้องทำลายคนในบ้านข้าให้สูญสิ้นจนหมดถึงจะเลิกราวีเช่นนั้นหรือ”
หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกทุกข์ใจ มารดาและน้องสาวตกอยู่ในมือคนชั่ว จะเป็นจะตายไม่อาจรู้ได้ ต่อให้บิดาเคียดแค้นมารดาเพียงใด แต่อย่างถึงไรหมิงจูก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา บิดาไม่คิดจะช่วยคนแต่กลับด่าทอมารดาขึ้นมาอีก นี่มันช่างแล้งน้ำใจเกินไปจริงๆ หากเขาหาเงินแปดแสนตำลึงเงินได้ด้วยตนเอง ก็คงนำเงินไปช่วยมารดากับน้องสาวตั้งนานแล้ว…หมิงเจ๋ออดกลั้นความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อบิดาไว้และเดินหน้ากล่าวต่อไป “ท่านพ่อ ตอนนี้คนของขุนนางฝ่ายตรวจการกำลังกลัดกลุ้มที่ยังเอาความผิดกับท่านพ่อมิได้ หากหลักฐานเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อท่านพ่ออย่างสูงนะขอรับ อีกทั้งหากให้คนภายนอกรับรู้ว่าท่านแม่ถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่ท่านพ่อกลับเพิกเฉย นั่นคงนำมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ ขอท่านพ่อโปรดไตร่ตรองถึงสถานการณ์โดยรวมให้มากเข้าไว้เถิดนะขอรับ”
มีหรือที่หลี่จิ้งเสียนจะไม่รู้ถึงผลเสียที่เกี่ยวข้องจากเรื่องนี้ นางฮานเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ จึงเป็นไปได้ว่านางคงพูดทุกสิ่งอย่างที่ตนเองรับรู้ โชคดีที่เขายังเหลือทางหนีที่ไล่ไว้ ไม่บอกให้นางฮานรับรู้เรื่องที่เขายักยอกเงินในการปรับปรุงธารระบายน้ำและบรรเทาภัยพิบัติน้ำท่วม มิเช่นนั้น ชะตาชีวิตเขาคงเป็นอันจบสิ้นแน่ๆ เพียงแต่ ต่อให้เรื่องการรับสินบนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นเรื่องเล็ก ทว่าหากให้คนของฝ่ายตรวจการรับรู้เข้า เขาก็คงไม่มีหน้าไปไหนมาไหนได้อีก หลี่จิ้งเสียนนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานพอตัว “เรื่องนี้อย่าเพิ่งตื่นตูมไป ขอพ่อคิดหาวิธีการก่อนแล้วกัน…”
“ท่านพ่อขอรับ คนชั่วนั่นให้เวลาเพียงแค่สองวันนะขอรับ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวย้ำเตือน
หลี่จิ้งเสียนเอ่ยด้วยความไม่พึงพอใจ “พ่อไม่ได้ตาบอด พ่อก็เห็นแล้วเช่นกัน” หลี่จิ้งเสียนรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง นังสารเลวผู้นี้ไปก็ไปแล้ว ยังจะสร้างปัญหาใหญ่โตให้เขาเพิ่มอีก แปดแสนตำลึงเงินเชียวนะ! ต้องนำเงินจำนวนมากเพียงนี้ไปช่วยนังสารเลว น่าเสียดายนัก!
หลี่หมิงเจ๋อไม่กล้าเชื่อมั่นในตัวบิดาของตนเท่าใดนัก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เขาจึงจำเป็นต้องคิดวิธีหาเงินมาด้วยตนเองเช่นกัน ทว่าจำนวนเงินก้อนโตขนาดนี้ เขาจะไปหาจากที่ใดมาได้หรือ ต่อให้หลั้วเหยียนยินยอมหยิบยื่นสินทรัพย์เดิมตอนแต่งงานของนางออกมาให้ ก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ไม่แน่ว่าหมิงอวินคงพอมีเงินอยู่บ้างเพราะทางด้านตระกูลเยี่ยร่ำรวยมาก ทว่า…หมิงอวินกับตระกูลเยี่ยต่างก็จงเกลียดจงชังมารดาของเขา แล้วจะยื่นมือเข้ามาช่วยได้อย่างไรกัน คิดไปคิดมา แต่ก็ไม่อาจคิดหาวิธีทางใดขึ้นมาได้ หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกเศร้าสลดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลินหลันเห็นติงหลั้วเหยียนหลังออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งสีหน้าผิดปกติดูเหม่อลอย จากการคำนวณช่วงเวลาดู น่าจะเป็นช่วงกลยุทธ์ที่สามของหมิงอวินเริ่มทำงานแล้วสินะ พ่อผู้ไร้ยางอายผู้นี้แล้งน้ำใจอย่างหาคำใดๆ มาบรรยายไม่ได้ หากให้เขานำเงินออกมาช่วยแม่มดชราและหลี่หมิงจู เกินกว่าครึ่งเขาคงเสียดายอย่างยิ่ง ซึ่งไม่แน่ว่า พ่อผู้ไร้ยางอายอยากให้แม่มดชราตายๆ ไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ตัวเบี้ยในการต่อรองที่ทำให้พ่อผู้ไร้ยางอายอดเป็นกังวลไม่ได้ หากพ่อผู้ไร้ยางอายต้องการทำตัวเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เช่นนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลักฐานความสกปรกเหล่านั้นก็จะถูกส่งไปถึงขุนนางฝ่ายตรวจการด้วยฝีมือแม่มดชรา
แผนการเป็นไปอย่างแยบยล สืบสาวหาต้นตอใดๆ ไม่ได้ ทว่าภายในใจหลินหลันก็ยังมีความกังวลหนึ่งมาโดยตลอดก็คือ เท่าที่รู้ตอนนี้ ความเลวทรามของพ่อผู้ไร้ยางอายไม่ใช่น้อยๆ แม้ว่าที่หมิงอวินส่งหลักฐานขึ้นไปให้ฮ่องเต้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าพ่อผู้ไร้ยางอายจะไม่ถูกตัดหัวไปเสียก่อน รวมไปถึงจะไม่ถูกตัดสินโทษไปถึงเก้าชั่วโคตร ทว่าความเคร่งครัดของฮ่องเต้เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ อำนาจของฮ่องเต้อยู่เหนือกฎหมายใดๆ ทั้งปวง ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพระองค์ การกระทำครานี้ของหมิงอวินจึงนับว่ามีความเสี่ยงไม่น้อยทีเดียวเชียว ทว่าหมิงอวินตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้ต้องละทิ้งเส้นทางในหน้าที่การงานก็ต้องสั่งสอนให้พ่อผู้ไร้ยางอายให้ไม่มีวันตั้งตัวได้อีก เฮ้อ…เป็นหรือไม่เป็นขุนนาง ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิด ถึงอย่างไรการเป็นพ่อค้าที่มีอิสระเป็นของตนเองก็ดีไม่แพ้กัน ได้แต่หวังให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะ!
ยามราตรี ติงหลั้วเหยียนมองดูหมิงเจ๋อที่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เขากำลังนั่งถอนหายใจอยู่ภายใต้แสงไฟ นางจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วถือกล่องขนาดย่อมใบหนึ่งออกมาวางเบื้องหน้าหมิงเจ๋ออย่างเงียบๆ “ของเหล่านี้เป็นสินเดิมของข้า หากมิใช่ในกรณีเร่งด่วนก็น่าจะเปลี่ยนเป็นเงินได้สองแสนกว่าตำลึงเงิน ทว่าตอนนี้เร่งด่วน ข้าจึงเดาว่าอย่างมากๆ ก็คงเปลี่ยนเป็นเงินได้เพียงแสนกว่าตำลึงเงินเท่านั้น แม้ไม่ใช่เงินจำนวนมากมาย แต่ก็คงพอช่วยแก้ไขอันใดได้บ้าง”
หมิงเจ๋อสับสนมาโดยตลอดว่าควรเอ่ยปากขอสินเดิมของหลั้วเหยียนดีหรือไม่ แต่ตนเองก็ไม่อาจเอ่ยปากออกไป คาดไม่ถึงเลยว่าหลั้วเหยียนจะเป็นฝ่ายหยิบยื่นมาให้ด้วยตนเอง หมิงเจ๋อรู้สึกประทับใจจนพูดไม่ออก ขณะเดียวกันภายในใจก็รู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่ง หลั้วเหยียนแต่งงานกับเขา ทว่าไม่มีวันใดที่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เรื่องได้ราว ทำให้นางผิดหวัง กระทั่งเข้าอยากขยันขันแข็งขึ้นมาแล้ว ภายในบ้านกลับร้อนรุ่มขึ้นมา พอตอนนี้ยังต้องนำสินสอดของนางมาใช้อีก…เขามันไม่ได้เรื่อง ทำให้หลั้วเหยียนต้องลำบากไปด้วยเกินไปเสียแล้ว หลายวันมานี้เขาคิดอะไรได้มากมาย หากตระกูลหลี่จบสิ้นแล้วจริงๆ เขาจะไม่รั้งหลั้วเหยียนไว้อีกแน่นอน
หมิงเจ๋อดันกล่องขนาดย่อมนั่นกลับคืนไป “เก็บไว้เถอะ! ข้าจะคิดหาวิธีให้ได้”
หลั้วเหยียนอมยิ้มเล็กน้อย “เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า เจ้าและข้าเป็นสามีภรรยากันจึงไม่ต่างจากคนคนเดียวกัน ยังต้องแบ่งแยกของใครของมันอีกหรือ”
[1]ไท่ฉางซื่อ (太常寺) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง ซึ่งเป็นผู้ดูแลวัดไท่ฉาง อันเป็นที่ตั้งและประกอบพิธีกรรมของบรรพบุรุษราชวงศ์ นอกจากนั้นยังเป็นฝ่ายสำนักสูงสุดที่ดูแลพิธีกรรมและเทศกาลงานสำคัญของราชวงศ์ในสมัยโบราณ