ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 203 เตรียมไถ่ตัว
หลินหลันอดเลื่อมใสในตัวท่านลุงไม่ได้ ช่างใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]และกลยุทธ์กวนน้ำจับปลา[2]ได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ทำให้พ่อผู้ไร้ยางอายโกรธเกรี้ยวแต่กลับทำได้เพียงจ้องมองตาปริบๆ เท่านั้น ท้ายที่สุดคงต้องโทษที่พ่อผู้ไร้ยางอายละโมบโลภมากเกินไป โลภจนน่ารังเกียจและยังคิดจะนำทรัพย์สินที่นางเยี่ยทิ้งไว้ขายให้ตระกูลเยี่ยอีก ใต้หล้าคงไม่มีเรื่องงามหน้าได้เพียงนี้อีกแล้วกระมัง
“เห็นทีว่าใต้เท้าหลี่คงมิต้องการให้ข้าช่วยเหลือสินะ ก็ได้! เช่นนั้น…ข้าขอตัวกลับเลยแล้วกัน” เยี่ยเต๋อฮ๋วยชำเลืองมองหลี่จิ้งเสียนด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะค่อยๆ เก็บตั๋วเงินกลับลงไปอย่างใจเย็น
หลี่จิ้งเสียนกัดฟันแน่น ไปๆ มาๆ เขาไม่เพียงแต่สูญเสียทรัพย์สินของนางเยี่ยไปแต่ยังติดหนี้สินเป็นจำนวนแปดแสนตำลึงเงินไปโดยปริยายอีกด้วย แค่คิดก็แทบกระอักเลือด ช่างมันเถอะๆ การเจรจากับคนที่มีหัวการค้าอย่างตระกูลเยี่ย เขาจะทำอันใดได้นอกจากถอนหายใจ
“ข้ายืม” หลี่จิ้งเสียนเค้นสองคำพูดผ่านไรฟันด้วยความไม่เต็มใจ
สิบห้านาทีต่อมา เยี่ยเต๋อฮ๋วยออกจากบ้านของตระกูลหลี่ไปพร้อมทรัพย์สินที่น้องสาวตนเองทิ้งไว้ วันนี้ถือว่าได้ระบายความคับแค้นที่คั่งค้างมานานเลยปีเสียที มันช่างสะใจเสียจริงเชียว!
หลี่จิ้งเสียนสีหน้าสลดราวกับน้ำตาจะไหลรินออกมาขณะถือตั๋วเงินจำนวนเงินแปดแสนตำลึงเงินไว้ในมือ หลังเข้ารับตำแหน่งในหน้าที่การงาน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นมาโดยตลอด เคยต้องตกที่นั่งลำบากและอัปยศอดสูเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เป็นเพราะปีนี้ดวงไม่ดี หรือว่า…ความโชคดีของเขามันสิ้นสุดลงแล้วกันแน่ ไม่ เขาไม่เชื่อหรอก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางฮานนังสารเลวผู้นี้ทำร้ายเขา นางฮานเป็นคาวเคราะห์ในชะตาชีวิตของเขา ตราบใดที่กำจัดนางฮานทิ้งไปได้ ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น หลี่จิ้งเสียนขมวดคิ้วแน่นพลางยกมือขึ้นโบกอย่างอ่อนแรง “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเถอะ!”
หลี่หมิงเจ๋อเห็นว่าเรื่องเงินเป็นอันจัดการได้แล้ว จึงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความรู้สึกโล่งอก ครานี้จะได้ช่วยมารดาและน้องสาวออกมาเสียที
สามีภรรยาทั้งสองคู่จึงพากันออกจากโถงรับแขก
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “น้องรอง ครั้งนี้ต้องขอบคุณการช่วยเหลือของเจ้าอย่างยิ่ง”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เพียงแต่ดูเหมือนท่านพ่อไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก”
หมิงเจ๋อถอนหายใจ “ตามจริง การที่ท่านลุงเจ้าต้องการทวงคืนทรัพย์สินที่ท่านแม่เจ้าทิ้งไว้ให้นั้นเป็นเรื่องอันสมควรเช่นกัน”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขมขื่น “พี่ใหญ่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ! ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานคนชั่วเหล่านั้นคงต้องส่งข่าวคราวมา ค่ำคืนนี้พี่ใหญ่อาจยังต้องเหนื่อยอีกหน่อยนะขอรับ” ภายใต้ความหมายในคำกล่าวนี้ บ่งบอกถึงเรื่องการไถ่ตัวประกันเขาไม่ขอมีส่วนร่วมด้วย
หลี่จิ้งเสียนนั่งเหม่อลอยตามลำพังอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเขาลุกพรวดขึ้นมุ่งไปยังโต๊ะหนังสือแล้วหยิบกระดาษและพู่กันออกมาเขียนจดหมายบางอย่างด้วยความรวดเร็วก่อนจะปิดผนึกมันด้วยขี้ผึ้งลนไฟไว้ดิบดี หลังจากนั้นจึงเอ่ยเรียกผู้ดูแลจ้าวเข้ามาพบแล้วสั่งการให้เขารีบนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งยังจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวงนี้โดยเร็ว
เมื่อกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันปิดประตูมิดชิดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กลยุทธ์ที่ท่านลุงใช้ในครั้งนี้ยอดเยี่ยมเสียงจริง เห็นท่านพ่อเจ้าเจ็บปวดราวกับถูกเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ ก็ว่าได้”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “แต่มันก็แค่การเฉือนเนื้อเขาไปเท่านั้นเองมิใช่หรือ สิ่งที่ท่านพ่อสนใจมีเพียงชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น ส่วนอื่นๆ เขาละทิ้งได้ทุกเมื่อ”
“รอยามที่เขาสูญเสียสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด เช่นนั้นคงได้เรียกว่าตายไปเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่ของจริงแล้วละ” หลินหลันแสยะยิ้ม จะเล่นงานทั้งทีก็ต้องลงมือให้ตรงจุดสำคัญ ซึ่งรากฐานของชีวิตของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็คือเงินทองและอำนาจ
หลี่หมิงอวินทอดถอนลมหายใจแล้วเอ่ย “เจ้าคอยดูแล้วกัน! ท่านพ่อคงไม่ปล่อยให้เงินจำนวนแปดแสนตำลึงเงินนี้สูญเสียไปเปล่าๆ หรอก”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรหรือ จะแอบไปแจ้งทางการอย่างลับๆ?”
หลี่หมิงอวินหรี่ดวงตาคู่คม ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขากลับฉายความดุดันขึ้นมา “ข้าเดาว่าเขาไม่คิดจะไถ่ตัวแม่มดชราด้วยซ้ำไป ทางที่ดีคือให้แม่มดชราถูกจำกัดทิ้งไปเสียจะได้เป็นการขจัดเรื่องที่อาจตามมาภายหลังได้ตลอดกาล”
“หากเป็นเช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องให้พวกนายกู่เตรียมรับมือไว้เสียหน่อย เผื่อท่านพ่อจะทำอย่างที่เจ้าว่าขึ้นมาจริงๆ” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวลใจ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “นายกู่ผ่านอะไรมานักต่อนัก พบเจอผู้คนมาแทบทุกรูปแบบ วางใจเถอะ! ต่อให้เขามีกลยุทธ์ที่ทรงพลัง นายกู่ก็มีวิธีการรับมือได้อย่างสบายๆ เช่นกัน”
หนึ่งทุ่มสิบห้านาที คนชั่วเหล่านั้นส่งคนมาส่งข่าวคราวอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื้อความภายในจดหมายระบุถึงสถานที่และเวลาที่จะดำเนินการไถ่ตัวประกัน นอกจากนั้นคนชั่วยังระบุว่าต้องการให้บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ไปผู้เดียว ห้ามไม่ให้ผู้ใดติดตามไปทั้งสิ้น หากทางตระกูลหลี่เล่นตุกติกใดๆ ทำให้พวกเขาไม่ได้รับเงินหรือไม่ได้ถอยออกไปอย่างราบรื่น เช่นนั้นใต้เท้าทุกท่านของฝ่ายตรวจการขุนนางจะได้รับหนังสือคำสารภาพทั้งหมดที่นางฮานเขียนไว้ด้วยลายมือของนางเอง และเช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ ทุกจวนตระกูลขุนนางในเมืองหลวงจะได้รับใบปลิวที่ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของใต้เท้าหลี่
เมื่อหลี่จิ้งเสียนอ่านจบ เขาพูดอะไรไม่ออกอยู่นานพอตัว คนชั่วจอมเจ้าเล่ห์เหล่านี้ปิดทางหนีทีไล่ของเขาเสียสนิท ส่งผลให้เขาไม่อาจโต้ตอบได้ เห็นทีว่าวิธีการที่อยากให้นางฮานกับคนชั่วเหล่านั้นพังพินาศไปพร้อมๆ กันจะดำเนินการไม่ได้เสียแล้ว หลี่จิ้งเสียนไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้มากก่อน เขาทำได้เพียงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับขึ้นมาเพื่อแจ้งทางเจ้าเมืองแห่งเมืองหลวงว่าแผนการที่วางไว้ให้เป็นอันยกเลิก
ในบ้านร้างแห่งหนึ่ง ณ ชานเมืองหลวง นางฮานใกล้เป็นบ้าเต็มทน สองวันมานี้ชายฉกรรจ์ผอมแห้งผู้นั้นบีบบังคับนางให้เขียนคำร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำผิดของหลี่จิ้งเสียนอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกนางไม่ยินยอม แม้นางจะเกลียดหลี่จิ้งเสียนเข้ากระดูกดำ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดาของหมิงเจ๋อ หากหลี่จิ้งเสียนเป็นอันพังพินาศ เช่นนั้นหมิงเจ๋อก็จะติดร่างแหไปด้วย ชายฉกรรจ์จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งในครึ่งชั่วโมงต่อมา นิ้วที่ถูกตัดขาดวางอยู่เบื้องหน้านาง ก่อนเขาจะเอ่ยด้วยท่าทีโหดเหี้ยม “หากเจ้าไม่เขียน ทุกครึ่งชั่วโมงข้าก็จะตัดหนึ่งนิ้วมือของนังบ่าวผู้นั้น หลังตัดนิ้วนังบ่าวผู้นั้นจนครบแล้วค่อยไปตัดนิ้วลูกสาวของจ้า…”
ด้วยการขู่เช่นนั้น นางฮานมีหรือจะสนใจแต่อนาคตในหน้าที่การงานของหมิงเจ๋ออยู่อีก ยามนี้นางขอเพียงสามารถรักษามือของหมิงจูเอาไว้ให้ได้ก่อนเป็นพอ
นางฮานไม่มีความรู้อันใดนัก นางจึงรู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวแล้วจะให้นางเขียนคำร้องเรียนได้อย่างไร ชายฉกรรจ์จึงสั่งให้นางบอกเล่าเรื่องรวมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความเลวทรามของหลี่จิ้งเสียนออกมา หลังจากนั้นหยิบกระดาษสำหรับเขียนจดหมายมาให้นางคัดลอกลงไป คัดลอกทั้งวันทั้งคืน
เสียงประตูถูกเปิดออกดัง ‘ปัง’ ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมมีรอยบากบนใบหน้าที่เจอเมื่อคืนนั้นก็เดินเข้ามาพร้อมกัน
คนร่างผอมหยิบใบคำร้องที่นางฮานคัดลอกไว้ขึ้นมาอ่านดูก่อนหันไปพยักหน้าให้ผู้มีรอยบากบนหน้า ผู้ที่ใบหน้ามีรอยบากก้าวเข้ามาคว้ามือของนางฮานแล้วชักมีดขนาดเล็กออกมาหนึ่งด้าม
นางฮานคิดว่าเจ้าของใบหน้าบากจะตัดนิ้วมือนาง จึงโวยวายด้วยความตื่นกลัว “เจ้า…เจ้าจะทำอันใด ข้าก็ทำตามที่พวกเจ้าสั่งแล้วทุกอย่าง ได้โปรดละ อย่าตัดนิ้วมือของข้าเลย”
ชายฉกรรจ์หน้าบากตะคอกอย่างดุดัน “เจ้าจะแหกปากทำไม ขืนแหกปากอีกละก็ข้าจะตัดลิ้นเจ้าเสีย”
ระหว่างพูด ปลายมีดเฉือนลงไปที่นิ้วชี้ของนางฮาน นางฮานจึงส่งเสียงร้องอันน่าเวทนา
ชายฉกรรจ์หน้าบากรำคาญเสียงร้องของนางจึงฟาดมือตบลงไปหนึ่งฉาด ใบหน้าของนางฮานที่บวมเป่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงบวมขึ้นอีกเท่าตัวทันที ชายหน้าบากจับมือของนางฮานแล้วใช้นิ้วมือที่ปรากฏโลหิตไหลซึมออกมาประทับลงบนกระดาษ
เมื่อนางฮานเห็นว่าชายฉกรรจ์หน้าบากนั่นไม่ได้ต้องการจะตัดนิ้วมือนางจึงสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย นางกล่าวอ้อนวอนด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าทำตามความประสงค์ของพวกเจ้าแล้ว ขอร้องพวกเจ้าละ ปล่อยข้าไปเถอะ! พวกเจ้าต้องการเงินเท่าใดข้ายินดีให้พวกเจ้าตามต้องการ…”
ชายฉกรรจ์ร่างผอมกล่าวเชิงเหยียดหยัน “พอได้แล้วกระมัง! ฮานชิวเยว่ เจ้าถูกไล่ตะเพิดออกมาอย่างกับหมูกับหมา แล้วจะไปหาเงินมาจากไหนได้ เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่เขลาหรือ”
“ข้าพูดจริงๆ นะ แม้ว่าข้าจะออกจากตระกูลหลี่แล้ว ทว่าข้ายังมีบุตรชาย บุตรชายข้าไม่มีทางไม่สนใจไยดีข้าแน่นอน” นางฮานกล่าวด้วยความร้อนรน
ชายร่างผอมแสยะยิ้ม เขาชี้นิ้วไปที่จดหมายคำร้องเรียนซึ่งประทับตรานิ้วมือเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วกล่าวขึ้น “ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจได้นะว่าที่ให้เจ้าเขียนสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะหวังดีต่อเจ้า หากไม่มีสิ่งนี้ หลี่จิ้งเสียนนั่นจะสนใจหรือว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรสวดอ้อนวอนต่อพระโพธิสัตว์เข้าไว้ ให้พระองค์ปกปักษ์ลูกชายเจ้านำเงินแปดแสนตำลึงเงินมาไถ่ตัวเจ้าได้ในค่ำคืนนี้ มิเช่นนั้น ข้าจะหั่นเจ้าเป็นแปดส่วนแล้วโยนลงคูเมืองให้ตะพาบน้ำกิน แล้วนำลูกสาวเจ้าขายให้กับซ่องโสเภณีแลกเงินพอซื้อสุรากินสักสองขวด คนอย่างลูกสาวเจ้าเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในซ่องเสียด้วยสิ…”
นางฮานตกตะลึง แปดแสนตำลึงเงิน? คนชั่วเหล่านี้ช่างละโมบโลภมากเกินไปแล้ว ตระกูลหลี่จะไปสรรหาแปดแสนตำลึงเงินได้จากที่ไหนหรือ ตายแน่ๆๆ…ครานี้ชะตาชีวิตนางเป็นอันดับสิ้นแน่ จะสงสารก็แต่หมิงจูที่ต้องโชคร้ายไปกับนางด้วย นางฮานจึงแผดเสียงร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา “ข้าขอร้องพวกเจ้าละ ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะ นางยังเด็ก ไม่รู้ประสีประสาอะไรทั้งนั้น…”
ชายร่างผอมมองดูนางฮานที่กำลังแหกปากร้องไห้น้ำตาไหลพราก จึงหันไปกล่าวกับชายหน้าบาก “ข้าว่ามันคงจะดีไม่น้อยหากตัดลิ้นของนางทิ้งๆ ไปเสีย”
นางฮานตื่นตกใจ รีบเก็บเสียงทันทีทันใด นางได้แต่สะอึกสะอื้น ขณะเดียวกันก็พยายามกลั้นความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจ
หลังประทับตรานิ้วมือด้วยโลหิตเป็นที่เรียบร้อย ชายฉกรรจ์หน้าบากจึงหยิบเชือกมาผูกมัดนางฮานไว้ รวมไปถึงปิดตาและอุดปากก่อนจะจับนางฮานออกไปแล้วโยนใส่รถม้าราวกับลูกไก่ที่โดนโยนเข้าสุ่ม
นางฮานล้มลงไปบนเรือนร่างของใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นส่งเสียงร้อง ‘ฮื้อๆๆ…’ ออกมา
นางฮานได้ยินและรู้ทันทีว่าเป็นหมิงจู จึงรู้สึกตื่นตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน อยากถามไถ่หมิงจูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ทว่าปากของนางถูกอุดไว้ด้วยเศษผ้าจึงไม่อาจส่งเสียงพูดออกไปได้ นางทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ออกไปเท่านั้น
สองแม่ลูกพิงกายเข้าหากันแนบชิดพร้อมกับร้องห่มร้องให้ เนิ่นนานพอตัวนางฮานถึงค้นพบว่าแม่เจียงไม่ได้อยู่บนรถด้วยกัน ขณะที่กำลังสงสัย เสียงของใครบางคนพูดคุยกับชายฉกรรจ์หน้าบากผู้นั้นดังขึ้น “นังป้าแก่ๆ นั่นดูท่าจะมิได้การแล้วขอรับ”
ชายฉกรรจ์หน้าบากกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ได้เรื่องจริงๆ ก็แค่ตัดนิ้วไปสองนิ้วเท่านั้นเองมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ลากนางออกไปทิ้งในหุบเขาให้หมาป่ากินเสีย…”
นางฮานตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันนางเองก็สัมผัสถึงเรือนร่างของหมิงจูที่กำลังสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน
“ไป ออกเดินทางได้!” ชายหน้าบากส่งเสียงตะโกน ทันใดนั้นล้อรถม้าก็เริ่มหมุนเคลื่อนตัวออกไป
นางฮานแอบภาวนาอยู่ลึกๆ หวังว่าหมิงเจ๋อจะนำเงินมาไถ่ตัวนางได้
เวลาที่คนชั่วกำหนดไว้อย่างช้าคือสี่ทุ่มตรง โดยสถานที่นัดหมายคือไป่ซงโปอันเป็นที่ฝังศพจำนวนมาก ตั้งอยู่ห่างจากทางทิศตะวันตกของเมืองสิบลี้ ช่วงกลางวันแสกๆ ก็เป็นการยากที่จะพบเห็นเงาของผู้คนอยู่แล้ว เมื่อตกกลางคืนยิ่งเงียบสงัดและน่าหวาดกลัวกว่าหลายเท่าตัว
ติงหลั้วเหยียนรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง “หมิงเจ๋อ ให้ผู้ดูแลจ้าวนำองครักษ์ประจำบ้านติดตามไปคอยเฝ้าดูอยู่ไกลๆ สักสามสี่คนดีหรือไม่ เกิดมีเหตุไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยรับมือได้”
ภายในใจหมิงเจ๋อรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน ทว่าคนชั่วเหล่านั้นระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าอนุญาตให้เขาไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น หากให้คนชั่วรับรู้เข้าว่าเขาพาคนอื่นไปด้วยแล้วเรื่องไถ่ตัวจะทำอย่างไรต่อไป
“ช่างเถอะ ข้าระมัดระวังไว้หน่อยก็เป็นพอ” หมิงเจ๋อกล่าวอย่างจนปัญญา เขามองดูนัยน์ตาที่กำลังเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใสของหลั้วเหยียน ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกนานาประการ ช่วงนี้ในบ้านเกิดเรื่องประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทว่าหลั้วเหยียนไม่เพียงแต่ไม่ทอดทิ้งเขา แต่กลับให้ความเป็นห่วงเป็นใยต่อเขามากยิ่งขึ้น นางอยู่ฝ่าฟันไปกับเขา ร่วมทุกข์ไปกับเขา ร่วมคิดหาวิธีทางไปกับเขา หลั้วเหยียนเมื่อก่อนรู้จักแต่ปฏิบัติต่อเขาเสมือนคนแปลกหน้าผู้หนึ่งเท่านั้น…หมิงเจ๋อยื่นมือออกไปปาดหยาดน้ำตาที่มุมหางตาและกล่าวอย่างอ่อนโยน “หลั้วเหยียน ข้าจะปลอดภัยกลับมาให้ได้ เพื่อเจ้า ข้าจะพยายามรักษาตนเองให้รอดปลอดภัย เจ้าแต่งให้กับข้า แต่ไม่มีวันใดได้มีชีวิตอย่างสงบสุข ดังนั้นหลังจากนี้ ข้าจะชดเชยให้เจ้าอย่างดี ทำให้ทุกวันของเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
ทันใดนั้นหยาดน้ำตาของติงหลั้วเหยียนไหลรินลงมาไม่ขาดสาย นางพยักหน้าขณะสะอึกสะอื้น “เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ ด้วยล่ะ”
สาวใช้ส่งเสียงบอกกล่าวจากด้านนอก “ต้าเส้าเหยียเจ้าคะ เหล่าเหยียเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
หมิงเจ๋อขานรับ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เขากล่าวปลอบประโลมหลั้วเหยียนอีกครั้ง “เจ้าอยู่รอข้าที่บ้านนะ”
หลี่จิ้งเสียนมองดูกล่องอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือพลางทอดถอนหายใจออกมา คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วสินะ
หลี่หมิงเจ๋อเดินเข้ามา “ท่านพ่อขอรับ!”
หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าแล้วให้เขานั่งลง “เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
“ลูกเตรียมพร้อมแล้วขอรับ อีกเดี๋ยวจะออกเดินทางขอรับ” หมิงเจ๋อกล่าวตอบ
หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ “บนโต๊ะมีห่อสัมภาระหนึ่งห่อ ด้านในมีของใช้ของแม่เจ้าและเงินจำนวนหนึ่ง หลังเจ้าไถ่ตัวนางแล้วก็ไม่ต้องพาแม่เจ้ากลับมาอีกแล้ว นำของเหล่านี้ให้นางและบอกให้นางกลับบ้านเกิดไปเสีย! จริงสิ ในกล่องอาหารนั่น เป็นขนมอบที่แม่เจ้าชอบ เอาไว้ให้นางกินระหว่างเดินทางแล้วกัน”
[1]กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ (趁火打劫) คือ การฉกฉวยโอกาสในยามที่เกิดสถานการณ์ปั่นป่วน
[2]กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา (浑水摸鱼) คือ ฉวยโอกาสขณะเกิดเหตุชุลมุน