ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 206 หายนะที่คืบคลานเข้ามาแล้ว
“จื่อชิ่ง พรุ่งก็เป็นเทศกาลชีซีแล้ว ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนบรรดาพี่ๆ น้องๆ ล้วนนัดหมายกันไปริมแม่น้ำเพื่อปล่อยโคมและขอพรกัน” อู่หยางเอ่ยขณะถือปิ่นปักผมเงินหยอกล้อกับนกแก้วที่อยู่ในกรง
เผยจื่อชิ่งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจขณะตัดแต่งใบดอกกุหลาบก่อนเสียบมันลงในแจกัน “ก็เป็นเช่นนี้ทุกปีมิใช่หรือ ยังจะมีอันใดแปลกใหม่ให้ละเล่นไปได้อีก”
อู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้ารีบคิดอันใดแปลกใหม่ขึ้นมาสิ! นานๆ ทีไท่โฮ่วจะปล่อยให้ข้าออกจากวังได้ ข้าจะสนิทสนมกับพี่ๆ น้องๆ ในราชวงศ์มากเกินไปก็มิได้ด้วย ข้าจึงหวังว่าจะได้ไปร่วมสนุกกับพวกเจ้า”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความเบื่อหน่าย “ข้าไม่มีอารมณ์หรอก”
อู่หยางเลิกสนใจนกแก้วตัวนั้นแล้วหันมากล่าวด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงไม่มีอารมณ์หรือ สุขภาพของท่านแม่เจ้ามิค่อยสบายอีกแล้วใช่หรือไม่”
เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบ บิดารับคำเรื่องงานแต่งของตระกูลเฉินไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ทั้งสองตระกูลเลือกฤกษ์งามยามดี เดิมทีคิดว่าตนเองปล่อยวางความคิดเก่าๆ ได้แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ยังอดเกิดความเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
อู่หยางจ้องมองจื่อชิ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้ว เจ้ากับคุณชายตระกูลเฉินจะแต่งงานกันแล้วสินะ ในเมื่อมีกำหนดการแต่งงานนี้แล้วก็คงไม่จำเป็นต้องขอพรอันใดแล้ว”
เผยจื่อชิ่งตวัดสายตามองนาง อมยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้วๆ ข้ามีคู่ครองแล้ว แต่เจ้าน่ะสิ พรุ่งนี้คงต้องขอพรจากแม่นางทอผ้าให้ดีๆ หน่อยละ ขอให้นางช่วยหาบุรุษรูปงามสมดังปรารถนาเจ้ามาให้สักคน!”
อู่หยางหน้าแดงระเรื่อ เผยอากัปกิริยาสาวน้อยเขินอายพลางบ่นอุบอิบ “ข้ามิได้ต้องการออกเรือนไวปานนี้เสียหน่อย”
“ดูเจ้าสิ หน้าแดงเสียแล้ว หรือมีคนที่ถูกตาต้องใจแล้วใช่หรือไม่” เผยจื่อชิ่งหยอกล้อ
อู่หยางหยิบดอกกุหลาบขึ้นมาเคาะไปที่ศีรษะของเผยจื่อชิ่ง “ห้ามหัวเราะเยาะข้า”
เผยจื่อชิ่งส่งเสียงหัวเราะขณะหลบหลีก ก่อนคว้าดอกกุหลาบในมืออู่หยางมาเสียบลงในแจกัน “นี่ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า ใช่หัวเราะเยาะที่ไหนกัน” ระหว่างพูดคุย เผยจื่อชิ่งร้องเรียกสาวใช้ให้เข้ามาด้านใน “ช่วยนำนี่ไปไว้ในห้องฮูหยินทีสิ”
“นี่! ที่เจ้าว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียวของท่านแม่เจ้าหายดีแล้วเป็นความจริงหรือ” อู่หยางชวนเปลี่ยนประเด็นสนทนา
“หมอหลินเอ่ยว่าโรคนี้จะรักษาให้หายขาดเป็นการยาก ทว่าหลังท่านแม่ข้าได้รับการรักษาโดยวิธีผังเข็มของหมอหลินก็ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ อีกทั้งยังมีชีวิตชีวาขึ้นด้วย” เผยจื่อชิ่งรินน้ำชาส่งให้อู่หยาง
อู่หยางกล่าวอย่างมีความนึกคิดบางประการ “ไท่โฮ่วก็มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวเช่นกัน หากหมอหลินเก่งกาจปานนี้จริง ไว้ข้าจะไปเสนอแนะไท่โฮ่วดูบ้าง”
เผยจื่อชิ่งจิบน้ำชาแล้วกล่าว “เกรงว่าระยะนี้คงไม่เหมาะเท่าใดนัก ท่านหลี่กำลังเผชิญปัญหา ท่านหญิงชราของตระกูลหลี่ก็เป็นอัมพาตนอนติดเตียง หมอหลินจึงไม่ได้ไปร้านยามาหลายวันแล้ว”
อู่หยางกล่าวด้วยความลังเลใจ “ข้าก็ได้ยินในวังเขาพูดถึงเช่นกัน เห็นเอ่ยว่าตอนแรกใต้เท้าหลี่หลอกคนเขามาแต่งงานด้วย มิรู้เช่นกันว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากเป็นจริง เช่นนั้นมารดาของบัณฑิตหลี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว”
เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ “แพร่สะพัดไปถึงในพระราชวังเชียวหรือ เช่นนั้นฮ่องเต้ก็ทรงได้ยินข่าวคราวนี้แล้วเช่นกันใช่หรือไม่”
อู่หยางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
เผยจื่อชิ่งครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ตอนนั้นฮ่องเต้เคยกล่าวชื่นชมใต้เท้าหลี่ว่าเขาเป็นผู้รู้จักคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นมากกว่าตนเอง โดยเฉพาะเกี่ยวกับความรัก แม้จะร่ำรวยเป็นใหญ่เป็นโตแล้วก็ไม่ทอดทิ้งภรรยาที่เคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน หากใต้เท้าหลี่หลอกมารดาของหลี่หมิงอวินมาแต่งงานด้วยจริง ฮ่องเต้ก็คงผิดหวังและโกรธเคืองอย่างยิ่ง แต่นี่ยังไม่นับว่าเป็นประเด็นสำคัญสำหรับตระกูลหลี่แต่อย่างใด เมื่อใต้เท้าหลี่สูญเสียคุณงามความดี อย่างมากก็คงถูกผลักไสออกจากตำแหน่ง วันก่อนนางได้ยินบิดาพูดคุยกับจื่ออวี้ มีใจความว่า ดูเหมือนใต้เท้าหลี่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีความการรับสินบน ใต้เท้าอวี๋ราชเลขาแห่งกรมการโยธาถูกจับขังเข้าคุกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากใต้เท้าหลี่ถูกตรวจสอบพบความผิดจริงก็คงหนีไม่พ้นต้องนอนคุกเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าทั้งตระกูลหลี่คงไม้พ้นติดร่างแหไปด้วย
“อู่หยาง เจ้าอยู่ในวังยังได้ยินอันใดอื่นมาบ้างอีกหรือไม่” เผยจื่อชิ่งเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ
อู่หยางงุนงงไปชั่วขณะ “ยังมีอันใดอื่นอีกหรือ”
เผยจื่อชิ่งเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าก็แค่ถามไถ่ดูน่ะ”
อู่หยางมุ่ยปากก่อนกล่าวด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “ข้าตั้งใจว่ารอข้ามีเวลาว่างแล้วจะไปพบปะหมอหลินนั่นเสียหน่อย ปรากฏว่าพอข้าว่างแล้วนางกลับไม่ว่างขึ้นมาเสียได้”
หลังได้รับการรายงานจากเหวินซาน สีหน้าหลี่หมิงอวินก็เคร่งขรึม ปรากฏว่าความกังวลของเขาเป็นจริงเสียด้วย บิดาเขาช่างไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ! การมีตัวตนของหมิงจูก็คือหลักฐานความผิดของการแต่งงานกับภรรยาใหม่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากภรรยาคนก่อน บิดาเพื่ออนาคตในหน้าที่การงานของตนเอง ถึงขั้นลงมือได้กระทั่งบุตรสาวของตน ผู้ที่น่าสงสารมากที่สุดคงหนี้ไม่พ้นหมิงเจ๋อ หากหมิงเจ๋อรับรู้ว่าบิดาแท้ๆ ลงมือวางยาพิษในอาหารด้วยต้องการปลิดชีพมารดาและน้องสาวของตน เขาจะรู้สึกเช่นไรกันนะ
แม้หลินหลันไม่ถูกชะตาหมิงจูเท่าใดนัก แต่เมื่อรับรู้ว่าหมิงจูอาจมีบุตรไม่ได้อีกก็อดรู้สึกแย่แทนนางไม่ได้
“หมิงอวิน ข้าคงต้องขอเอ่ยความจริงที่เจ้าอาจไม่อยากได้ยินนัก ว่าท่านพ่อเจ้าไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ การปลิดชีพคนด้วยวิธีการนี้มันอำมหิตเกินไปแล้ว” หลินหลันกล่าวด้วยความเดือดดาล
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ความเย็นชาค่อยๆ แผ่ซ่านภายในดวงตาของเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เขาจะได้รับผลของการกระทำ”
“เรื่องนี้ต้องบอกกล่าวพี่ใหญ่ไว้ด้วยหรือไม่”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า “ด้วยนิสัยใจคอของแม่มดชรา ใครแตะต้องบุตรสาวของนาง นางจะเอาคืนสุดชีวิตอย่างแน่นอน เจ้าคอยดูแล้วกัน! ไม่ช้าก็เร็วได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นพี่ใหญ่ก็จะได้รับรู้เองละ”
จริงอย่างที่ว่า พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายลงมือได้กระทั่งบุตรสาวของตนเอง หากแม่มดชราไม่เล่นงานเขาคืนคงแปลกน่าดู หากพวกเขาไปบอกกล่าวหมิงเจ๋อตอนนี้ ไม่แน่ว่าหมิงเจ๋อจะกล่าวโทษพวกเขาว่ารู้ทั้งรู้แต่กลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน และไม่แน่ว่าหมิงเจ๋อคงโกรธเกรี้ยวจนอดกลั้นไม่ไหวแล้วไปถามพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้พ่อผู้ไร้ยางอายมีเวลาตั้งมือรับกันพอดี
“ข้าให้เหวินซานส่งคนไปจับตามองแม่มดชราไว้แล้ว ท่านพ่อคงไม่วางมือโดยง่ายไปได้ เขาจะต้องแอบส่งคนไปติดตามแม่มดชรา เพื่อจะได้รู้ว่าแผนการของตนดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่แน่นอน” หลี่หมิงอวินกล่าว บิดาผู้นี้ในเมื่อมีประสงค์ต้องการจำกัดให้สิ้นซากก็คงคิดสรรหาทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยาพิษไม่อาจพรากชีวิตของนางฮานกับหมิงจูไปได้ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่คิดหาวิธีอื่นมาอีก ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้ความนึกคิดชั่วร้ายของบิดาประสบผลสำเร็จได้แน่นอน ตราบใดที่นางฮานยังมีชีวิตอยู่ บิดาก็จะไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปได้
เพียงชั่วพริบตาวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดก็มาถึง เทศกาลสารทจีน แต่ละบ้านต่างวุ่นวายกับการเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
แม้ในตระกูลหลี่จะมีปัญหาถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทว่าเทศกาลที่ฉลองก็ยังคงต้องดำเนินไปให้เป็นอันสำเร็จเรียบร้อย การเสแสร้งแสดงที่จำเป็นต้องทำก็ยังคงทำเช่นเคย
ในวันนี้ ทางราชสำนักกำหนดให้เป็นวันหยุด หมิงอวินกับหมิงเจ๋อจึงอยู่บ้านทั้งคู่ เมื่อตื่นนอนก็เตรียมดำเนินพิธีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ติงหลั้วเหยียนในฐานะลูกสะใภ้คนโต เมื่อแม่สามีไม่อยู่จึงมีนางเป็นผู้นำในการจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน เป็นระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จากลูกสะใภ้ที่อ่อนโยนเรียบร้อยตั้งแต่เกิดกลายเป็นนายหญิงของบ้านที่ดำเนินเรื่องต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วยังทำออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมอันเหมาะสมเช่นในครั้งนี้ นางได้สั่งการข้ารับใช้ให้ตระเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ไว้อย่างเพียบพร้อม
“พวกเจ้าจัดเรียงโต๊ะให้เรียบร้อย ส่วนพวกเจ้าไปนำกระดาษเงินและธูปเทียนยกเข้าไป…”
“ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ ต้าเส้าหน่ายนาย ฮูหยินมาเจ้าค่ะ…” หงซางหายใจหอบขณะวิ่งเข้ามาในบ้าน
ติงหลั้วเหยียนตกตะลึง “ฮูหยินท่านไหนหรือ”
หงซางไม่ทันตอบกลับ ฮูหยินตระกูลติงพาคนบุกเข้ามาเสียแล้ว
ติงหลั้วเหยียนตะลึงงันก่อนรีบเดินเข้าไปต้อนรับด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดท่านแม่ถึงมาที่นี่ในยามนี้หรือเจ้าคะ”
ติงฮูหยินมีสีหน้ากระวนกระวายใจ “หลั้วเหยียน เจ้ารีบกลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย” นางเอ่ยพลางฉุดหลั้วเหยียนให้เดินมุ่งออกไปด้านนอก
หลั้วเหยียนงุนงง ขณะเดียวกันก็พยายามขัดขืน “ท่านแม่ สรุปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ เหตุใดจู่ๆ ถึงต้องให้ข้ากลับไปด้วยหรือเจ้าคะ”
ติงฮูหยินกล่าวด้วยความร้อนรนใจ “เจ้ายังจะถามอีกหรือ ขืนไม่ไปคงมีหวังได้จบชะตาชีวิตเป็นแน่”
หลี่หมิงเจ๋อและหลี่หมิงอวินเดินออกมาจากโถงบรรพบุรุษเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว หลี่หมิงเจ๋อเห็นว่าแม่ยายต้องการพาตัวหลั้วเหยียนไปโดยไม่บอกกล่าวเหตุผลจึงรีบเข้าไปขัดขวางทันที “ท่านแม่ขอรับ นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ”
ติงฮูหยินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาก็ดีแล้ว รีบเขียนหนังสือหย่าร้างมาเสีย แล้วหลังจากนี้หลั้วเหยียนของพวกเรากับตระกูลหลี่ของพวกเจ้าเป็นอันตัดขาดกัน”
หลี่หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนต่างตกตะลึง หลี่หมิงเจ๋อนึกสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปแล้วหรือไม่จึงเอ่ยถามขึ้นทันที “ท่านแม่ ท่าน…ท่านว่าอะไรนะขอรับ”
ติงฮูหยินก้าวเดินไปเบื้องหน้า จ้องมองหลี่หมิงเจ๋ออย่างเย็นชา “หากเจ้ายังพอมีความรักและห่วงใยอันน้อยนิดต่อหลั้วเหยียนของพวกเราอยู่บ้างก็อย่าได้ทำร้ายนาง วันหายนะของตระกูลหลี่พวกเจ้าคืบคลานเข้ามาแล้ว อย่าลากหลั้วเหยียนของพวกเราไปโดนตัดหัวกับพวกเจ้าด้วยเลย รีบเขียนหนังสือหย่าร้างมาเสียเถอะ”
ติงหลั้วเหยียนร้อนรนใจยิ่งนัก “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดน่ะเจ้าคะ! อะไรกันเจ้าคะที่ว่าความหายนะใกล้เข้ามาแล้ว” ตามจริงนางเองก็พอจะคาดเดาได้ คงเป็นเพราะคดีความเรื่องรับสินบนของพ่อสามีปรากฏหลักฐานขึ้นมาแล้วอย่างแน่นอน
หลี่หมิงอวินก็เข้าใจได้แล้วเช่นกัน ตระกูลติงคงได้ยินข่าวลืออะไรมาแล้วเป็นแน่ ความผิดของบิดาได้รับการตรวจสอบกระจ่างแจ้งแล้ว นี่เป็นเวลาที่ฮ่องเต้จะต้องลงทัณฑ์ เพียงแต่ อะไรจะมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้!
หลี่หมิงเจ๋อยังคงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านแม่ขอรับ ท่านช่วยพูดให้กระจ่างชัดแจ้งเถิดนะขอรับ ที่ว่าตระกูลหลี่เราหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาแล้วมันหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
หลินหลันกำลังอยู่ปรนนิบัติหญิงชราอยู่ในโถงหนิงเฮ๋อ นางได้รับการรายงานจากข้ารับใช้ว่านายหญิงตระกูลติงมาเยือน โดยต้องการพาตัวหลั้วเหยียนกลับไป เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นางกับหมิงอวินเคยปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อคดีความของพ่อผู้ไร้ยางอายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา โทษสถานเบาหมิงอวินและหมิงเจ๋อล้วนต้องเข้าคุกไปด้วยกัน โทษสถานหนัก แม้แต่สตรีในตระกูลหลี่ก็จะติดร่างแหไปด้วยเช่นกัน ทว่าหมิงอวินมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขากับหมิงเจ๋ออย่างมากก็คงถูกจับขังไว้เป็นเวลาระยะหนึ่ง อย่างมากก็โดนปลดออกจากตำแหน่งขุนนางและให้กลายเป็นสามัญชนระดับล่าง แม้หลินหลันไม่มีความมั่นใจเท่าใดนัก ทว่านางยังคงเชื่อมั่นในการชี้ขาดเรื่องนี้ของหมิงอวิน ด้วยคุณงามความดีของหมิงอวินขณะอยู่ในราชสำนัก ฮ่องเต้จึงให้ความโปรดปรานหมิงอวิน ซึ่งนั่นคงจะทำให้หมิงอวินไม่ถึงขั้นรับโทษสถานหนักไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายเมื่อถึงยามคับขัน หลายวันมานี้หลินหลันจึงวางแผนการในกรณีเกิดปัญหาขึ้นมาโดยตลอด เรื่องราวในร้านยาทั้งหมดมอบให้ศิษย์พี่รองหวังต้าไห่เป็นผู้มีอำนาจดูแลทั้งหมด และจัดการจับอวี้หลงแต่งงานกับฝูอานให้เสร็จสรรพ ส่วนหยินหลิ่วก็ให้นางไปอยู่อาศัยที่ร้านยา หากปัญหาที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมดเกิดขึ้นจริง นางต้องมั่นใจได้ว่าบรรดาคนข้างกายของนางจะไม่ติดร่างแหไปด้วย อย่างน้อยๆ จะได้มีที่ให้พึ่งพิงอาศัย
แม่จู้ได้รับฟังเรื่องราวดังกล่าวเช่นกันจึงเอ่ยถามหลินหลันด้วยเสียงกระซิบ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ฮูหยินตระกูลติงนั่น…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “แม่จู้อย่าได้เป็นกังวลไปเลย ไม่มีเรื่องอันใดหรอก หรือต่อให้มี ท่านก็อย่าได้ตื่นตูมไป คอยดูแลเหล่าไท่ไทให้ดีก็เป็นพอ”
แม่จู้ได้ยินคำพูดนี้ภายในใจยิ่งไม่เป็นสุข นายหญิงสะใภ้รองพูดจาราวกับกำลังสั่งเสียเอาไว้ หรือว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแล้วจริงๆ
“พวกเจ้ายังมัวเตรียมเซ่นไหว้บรรพบุรุษอันใดกันอีก รีบเอาเวลาไปจัดการวางแผนให้ตนเองหลังเกิดเรื่องเสียเถอะ! หลี่หมิงเจ๋อ หนังสือหย่าร้างนี่เจ้าจะเขียนก็เขียนมาเสีย และต่อให้ไม่เขียนก็จำเป็นต้องเขียน ข้าไม่อาจให้ตระกูลหลี่พวกเจ้าทำร้ายหลั้วเหยียนของพวกเราได้” ติงฮูหยินกล่าวเชิงบีบบังคับ
หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกแทบล้มทั้งยืน ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความตกใจและหดหู่ไปพร้อมกัน สุดท้ายเรื่องที่หวาดกลัวที่สุดก็มาเยือนจนได้ เช่นนั้น ตระกูลหลี่คงเป็นอันจบสิ้นของจริงแล้วสินะ…
หลี่หมิงอวินลอบถอนหายใจ แม้ว่าการกระทำของติงฮูหยินจะดูไร้เยื่อใยไปหน่อย ทว่านางก็ทำเพื่อบุตรสาวของตนเอง คิดดูแล้วก็ไม่ใช่การกระทำที่เกินกว่าเหตุ
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าไม่ไป ข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลหลี่แล้วจะให้ทอดทิ้งไม่ไยดีตระกูลหลี่ในช่วงเวลานี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ติงหลั้วเหยียนสะบัดมือออกจากมารดาแล้วรีบวิ่งไปอยู่เบื้องหน้าหมิงเจ๋อ
“หมิงเจ๋อ เจ้าไม่ต้องฟังท่านแม่ข้า ในเมื่อเจ้าและข้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เช่นนั้นก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันสิ!”
ติงฮูหยินตำหนิ “หลั้วเหยียน เจ้าโง่เขลาหรือไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อสามีเจ้ากระทำความผิดอันใดไว้ แม่อุตส่าห์เสี่ยงอันตรายรีบมาช่วยเจ้า เจ้าอย่าได้เลอะเลือนเช่นนี้สิ!”
“ท่านแม่ หากข้าทอดทิ้งไปทั้งแบบนี้ ชั่วชีวิตของข้าก็คงไม่อาจสงบจิตใจได้อีกแล้วเจ้าค่ะ” ติงหลั้วเหยียนกล่าวขึ้นทันควัน
หลี่หมิงเจ๋อทุกข์ระทมอย่างยิ่ง การที่หลั้วเหยียนยืนหยัดไม่ทอดทิ้งกัน ทำให้เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก น่าเสียดายก็แต่สัญญาที่เขาเคยให้ไว้คงไม่อาจทำให้เป็นจริงได้เสียแล้ว
“หลั้วเหยียน…” หลี่หมิงเจ๋อปรายตาขึ้นมองช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่อันลึกซึ้งและความเจ็บปวดแสนหนักอึ้ง เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าจำเป็นต้องไป ท่านแม่พูดถูก ข้าไม่อาจทำร้ายเจ้าได้”
“หมิงเจ๋อ…” หลั้วเหยียนสะอึกสะอื้น นัยน์ตาปรากฏหยาดน้ำใสเอ่อล้น
หลี่หมิงเจ๋อกลั้นใจหลับตาลง ไม่กล้ามองดูหยาดน้ำตาของหลั้วเหยียนที่เอ่อล้นในดวงตาคู่งามนั้น ด้วยเกรงว่าหากมองไปแม้เพียงพริบตาเดียวก็คงไม่อาจตัดสินใจนี้ลงไปได้ ทันใดเขากลับหลังหันให้ “ท่านแม่รอสักครู่นะขอรับ ข้าจะไปเขียนหนังสือหย่าร้างให้เดี๋ยวนี้ขอรับ…”
ติงหลั้วเหยียนจ้องมองเขาอย่างดุดันและส่งเสียงตะคอก “หลี่หมิงเจ๋อ เจ้ากล้าเขียนหรือ…หากเจ้ากล้าเขียน ข้าจะเอาหัวโขกกำแพงตายๆ ไปต่อหน้าเจ้าเสียตอนนี้เลย”