ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 220 โอกาส
ในยามที่ทั่วทั้งราชสำนักต่างแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อเรื่องที่บุตรหลานตระกูลฉินทำร้ายร่างกายองค์ชายเกาลี่ กองทัพหนานผิงก็เดินทางกลับมาพร้อมชัยชนะอันรุ่งโรจน์พอดิบพอดี
ภายใต้การวางแผนของเฉียวอวิ๋นซี หลินหลันจึงได้พบปะจิ้งปั๋วโหว์อย่างรวดเร็ว
เฉียวอวิ๋นซีได้นำเรื่องราวโดยคร่าวๆ บอกกล่าวผู้เป็นสามีไว้บ้างแล้ว จิ้งปั๋วโหว์ที่เข้าวังหลวงไปแล้วก่อนหน้าก็พอเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมาบางส่วนแล้วเช่นกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้หลินหลันบรรยายใดๆ ทั้งคู่ก็เข้าสู่บทสนทนาหลักได้ทันที
“โหว์เหยียเจ้าคะ เรื่องนี้ทำได้เพียงขอร้องให้ท่านช่วยเหลือด้วยเจ้าค่ะ” หลินหลันร้องขอความช่วยเหลือจากใจจริง
จิ้งปั๋วโหว์ถือที่กำลังถือฝาถ้วยน้ำชาค้างเติ่งนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานพอตัว เฉียวอวิ๋นซีส่งสายตาให้หลินหลันเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้นางสบายใจได้
“การจะให้บัณฑิตหลี่ออกมาหาใช่เรื่องยากเย็นไม่ ประเด็นสำคัญคือจะออกมาด้วยวิธีอันใด” จิ้งปั๋วโหว์เอ่ยปากอย่างใจเย็น
“โหว์เหยียโปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
จิ้งปั๋วโหว์จิบน้ำชาแล้วจึงเอ่ยขึ้น “หากฮ่องเต้อยากอภัยโทษให้บัณฑิตหลี่ ต่อให้ไท่โฮ่วแทรกแซงก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะกระทำการได้แต่อย่างใด เพียงแต่หากเป็นเช่นนี้ จะกลายเป็นผลเสียต่อเส้นทางในหน้าที่การงานของบัณฑิตหลี่เอาได้ ต่อให้มีพระเมตตานอกเหนือกฎหมาย อภัยโทษให้บัณฑิตหลี่แล้ว ตำแหน่งขุนนางของบัณฑิตหลี่ก็คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ หากต้องให้เริ่มใหม่อีกครั้งก็ยังต้องหาโอกาสอื่น ซึ่งไม่รู้เลยว่าต้องเสียเวลาไปอีกมากมายเพียงใด ผู้มีความสามารถระดับบัณฑิตหลี่ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญไม่น้อยและหวังว่าบัณฑิตหลี่จะสร้างคุณประโยชน์ให้ได้มากมาย ดังนั้นจากมุมมองของข้า ฮ่องเต้อยากหาโอกาสที่เหมาะสม อย่างเช่นทำให้บัญฑิตหลี่สร้างคุณงามความดีเพื่อลบล้างโทษทัณฑ์ได้และเป็นบททดสอบความสามารถได้ด้วยเช่นกัน”
การวิเคาระห์ของจิ้งปั๋วโหว์ลงลึกไปอีกชั้นหนึ่งเมื่อเทียบกับที่หลินหลันและคนอื่นๆ คาดคิดไว้ สมกับที่ดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนานและผ่านศึกสงครามมานักต่อนัก มองปัญหาโดยมองอย่างลงลึกและมองการณ์ไกล วิเคราะห์จับประเด็นสำคัญได้อย่างเฉียบคม
จิ้งปั๋วโหว์จ้องมองหลินหลันและกล่าวอย่างโอบอ้อมอารี “ดังนั้น หลี่ฮูหยินมิต้องกังวลจนเกินไป ข้าคิดว่าโอกาสนี้น่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้แล้วละ”
ดวงตาของหลินหลันเปล่งประกายขึ้นทันที คนอย่างจิ้งปั๋วโหว์หากเป็นเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ เขาจะไม่พูดออกมาเป็นอันขาด นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินโหว์เหยียกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ”
จิ้งปั๋วโหว์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “หลี่ฮูหยินเองก็รับมือเรื่องราวก่อนหน้าได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน”
หลินหลันหัวเราะเล็กน้อยอย่างถ่อมตน “ข้าน้อยเป็นเพียงสตรีผู้อ่อนแอคนหนึ่ง สิ่งที่พอทำได้จึงมีข้อจำกัด ดังนั้นยังจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากโหว์เหยียอยู่ดีเจ้าค่ะ”
จิ้งปั๋วโหว์อดชื่นชมไม่ได้ สตรีผู้นี้ฉลาดหลักแหลม รู้ว่าเมื่อใดควรทำอันใด ยามที่ควรแสดงออกอย่างอ่อนแอก็แสดงออกอย่างอ่อนแอ ยามที่ควรทำตัวให้เป็นจุดสนใจก็ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ รู้จักใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของตนเองของได้มากที่สุด การพูดคุยกับนางจึงเป็นอะไรที่เบาแรง กล่าวเพียงน้อยนิดก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งได้ หลี่หมิงอวินหนอหลี่หมิงอวิน มีภรรยาเช่นนี้ก็คงไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้วกระมัง
“เรื่องนี้ ข้าจะช่วยจัดการให้” จิ้งปั๋วโหว์ให้คำตอบที่ชัดเจน
หลังส่งหลินหลันกลับไปเป็นที่เรียบร้อย จิ้งปั๋วโหว์จัดแจงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วสั่งการให้คนนำไปส่งยังที่พักอาศัยขององค์ชายสี่ทันที เขากับองค์ชายสี่พิชิตศึกทางตะวันตกเฉียงใต้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายเดือน จึงเข้าใจความนึกคิดขององค์ชายสี่ได้ องค์ชายสี่มีความทะเยอทะยาน เพียงแต่ด้วยเยาว์วัยเป็นหนุ่มเป็นแน่นเลยดูไม่มั่นคงทางอารมณ์และหงุดหงิดง่าย ตลอดจนมีความกระหายในการประสบความสำเร็จโดยเร็วไปบ้าง องค์ชายสี่เห็นคุณค่าในตัวหลี่หมิงอวินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลี่หมิงอวินตกนี่นั่งลำบากจึงถือเป็นโอกาสให้เขาพอดิบพอดี ด้วยเกรงว่าองค์ชายสี่จะอดใจรอไม่ได้และกลับกลายเป็นทำให้เรื่องย่ำแย่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งจดหมายไปกล่าวเตือนสักหน่อยว่าอย่าได้กระทำการอันใดผลีผลามก่อนถึงเวลาอันสมควร
หลังออกจากจวนจิ้งปั๋วโหว์ ในที่สุดหัวใจของหลินหลันก็เป็นอันสงบนิ่งลง สองเดือนกว่าแล้ว ตามจริงที่ทุกคนเห็นนางยังสงบนิ่งและเผยรอยยิ้มได้เฉกเช่นเมื่อก่อนล้วนโอบอุ้มความกังวลใจไว้อยู่เสมอ ไม่มีคืนใดที่นางนอนหลับได้อย่างเป็นสุข แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกคนล้วนกระทำการต่างๆ โดยมองดูสภาพจิตใจของนางเป็นหลัก ทุกการเคลื่อนไหวของนางล้วนส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง ดังนั้น นางทำได้เพียงกัดฟันอดทน ยังดีที่ในที่สุดก็หลุดพ้นช่วงเวลานั้นมาได้เสียที
ด้วยพี่ชายแสดงความกล้าหาญท่ามกลางสนามการต่อสู้ในผิงหนาน สร้างคุณประโยชน์ในการสู้รบครั้งนี้ไว้ไม่น้อยจึงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเซี่ยวเว่ย[1] พี่ชายที่ผ่านศึกสงครามอันดุเดือดมาหมาดๆ ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผิวพรรณดำคล้ำ ร่างกายกำยำยิ่งขึ้น ประเด็นสำคัญคือกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงความสงบนิ่งเยือกเย็นและท่าทีอันน่าเกรงขาม มีความสง่างามสมกับที่เป็นทหารนักรบ หลินหลันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง พี่ชายของนางไม่เป็นบุรุษผู้ซึ่งยอมถูกภรรยาโขกสับดั่งเช่นเมื่อก่อนที่อยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซีอีกแล้ว แต่เป็นบุรุษผู้กล้าหาญที่สง่างามผ่าเผยผู้หนึ่ง
ตอนนี้หนิงซิ่งก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพผู้หนึ่งแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนฉายาของเขาคือเสี่ยวป้าหวัง[2] ตอนนี้จึงได้ฉายาเพิ่มมาอีกหนึ่งซึ่งเรียกว่าเจ้าแห่งปีศาจชั่วร้าย ซึ่งตามจริงแล้วหนิงซิ่งไม่ได้ชั่วร้ายเลยสักนิด ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปได้ฉายาเจ้าแห่งปีศาจชั่วร้ายมาได้อย่างไร
พี่น้องได้พบเจอกันอีกครั้ง สหายคนสนิทได้พบเจอกันอีกครั้ง ทุกคนรู้สึกมีความสุขกันอยู่หลายวัน แม้ว่าทุกคนไม่เอื้อนเอ่ย ทว่าหลินหลันเข้าใจดี ภายในใจของทุกคนต่างแอบซ่อนประโยคหนึ่งที่ว่า…หากหมิงอวินออกมาได้ เช่นนั้นก็คงสมบูรณ์แบบไปเลย
ทางด้านไท่โฮ่วนั้น เพราะตระกูลฉินก่อเรื่องขึ้นมาอีกครั้งจนได้ เกิดปัญหาครั้งใหญ่ขึ้นมาแทบเอาตัวเองไม่รอดจึงไม่มีกะจิตกะใจไปต่อกรกับหมิงอวิน ดังนั้นระยะนี้จึงผ่านพ้นไปอย่างสงบเงียบเรียบร้อย
เป็นดังที่เฉินจื่ออวี้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ฮ่องเต้ลงทัณฑ์ผู้ลงมือทำร้ายผู้อื่นสถานหนัก นอกจากนั้นยังตกลงรับปากในสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้แก่เกาลี่ไว้ไม่น้อย เรื่องนี้ถึงเป็นอันจบลงได้ แน่นอนละ ฮ่องเต้ไม่มีทางยินยอมสูญเสียเงินไปจำนวนมากเพราะการกระทำผิดเหล่านี้ ที่จ่ายไปเท่าใด ล้วนต้องเอาคืนจากตระกูลฉินเท่านั้น ครั้งนี้ตระกูลฉินถึงกับกระอักเลือดครั้งใหญ่ ทั้งอับอายขายหน้า ทั้งต้องชดใช้ด้วยเงินทอง คนตระกูลฉินที่เป็นขุนนางในราชสำนักต่างโดนโยกย้ายหน้าที่และลดลำดับตำแหน่ง นับเป็นความเสียหายครั้งใหญ่หลวง
หลินหลันคิดว่าฮ่องเต้คงใช้โอกาสนี้ลดอำนาจของตระกูลฉินให้อ่อนแอลง เพราะการที่วงศาคณาญาติแข่งแกร่งเกินไป อาจส่งผลไม่ดีต่อความมั่นคงทางอำนาจของฮ่องเต้ นี่เป็นคำสั่งสอนหนึ่งที่ปรากฏในประวัติศาสตร์
เฉินจื่ออวี้ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนี้ไปด้วยเช่นกัน หลังถูกทำร้ายไปพร้อมๆ กับองค์ชายเกาลี่ เขาได้เลื่อนขั้นเป็นที่ปรึกษาฝ่ายซ้ายแห่งหงหลูซื่อซึ่งอยู่ในระดับขุนนางขั้นหก การคิดบัญชีกับตระกูลฉินครั้งนี้ ช่างเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และได้รับผลตอบแทนเกินคุ้ม
เมื่อมาถึงกลางเดือนเก้า มีข่าวดีจากทางตอนเหนือส่งมาอีกครั้ง โดยมีใจความว่าชาวทู่เจวี๋ย[3]ร้องขอสงบศึก ทางราชสำนึกจึงเตรียมส่งทูตไปหลางซาน[4]เพื่อรับการยอมจำนนของทู่เจวี๋ยและเจรจาเกี่ยวกับการเชื่อมสัมพันธไมตรี
ฮ่องเต้คิดไม่ตกเกี่ยวกับการเลือกผู้ที่จะรับหน้าที่เป็นทูตในครานี้ บรรดาขุนนางเอ่ยเสนอชื่อขึ้นมาหลายต่อหลายคนแต่ล้วนไม่ทำให้ฮ่องเต้พึงพอใจได้ หลังจากนั้นจิ้งปั๋วโหว์จึงกล่าวขึ้น “แม้ว่าทู่เจวี๋ยจะร้องขอสงบศึก ทว่าชาวทู่เจวี๋ยโหดเหี้ยมดุดันและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยุคสมัยเกาจู่ ราชวงศ์เราก็เคยเจรจาสงบศึกกับทู่เจวี๋ยมาก่อนเช่นกัน เจรจาไปสู้รบกันไป ดำเนินไปเช่นนั้นจนกินเวลานานถึงแปดเดือน หากส่งคนที่ขี้ขลาดอ่อนแอไปเฉกเช่นก่อนๆ เกรงว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จได้พะย่ะค่ะ ควรเลือกส่งใครสักคนที่กล้าหาญและรู้จักพูดรู้จักเจรจาพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ท่านพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง เพียงแต่ในราชสำนักเรามีขุนนางมากมาย การจะคัดสรรคนเช่นนี้ออกมาสักคนหาใช่เรื่องง่ายดายไม่”
จิ้งปั๋วโหว์ส่งสายตาให้องค์ชายสี่ที่อยู่ด้านข้าง องค์ชายสี่ตระหนักได้จึงก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าแล้วกล่าวเสนอตัว “เสด็จพ่อ ลูกยินดีเป็นตัวแทนไปพะย่ะค่ะ”
จิ้งปั๋วโหว์กล่าว “องค์ชายสี่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ การไปเจรจากับทู่เจวี๋ยด้วยพระองค์เองมิเท่ากับให้เกียรติชาวทู่เจวี๋ยเกินไปหรอกหรือ ไม่เหมะสม ไม่เหมาะสมพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รู้สึกไม่เป็นการเหมาะสมเช่นกัน จึงตรัสขึ้นอย่างใจเย็น “หงอี้ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองด้วยใจจริง เราเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เพียงแต่ที่ท่านโหว์กล่าวก็เป็นความจริง เราส่งเจ้าไป จะเป็นการให้เกียรติพวกเขาเกินไป และชาวทู่เจวี๋ยเอาแน่เอานอนอันใดไม่ได้ หากมีลูกไม้อันใด จะกลายเป็นนำเจ้าไปอยู่ในสถานการณ์คับขันเปล่าๆ”
องค์ชายสี่กล่าวด้วยความลังเลใจ “ตามจริงก็มีผู้หนึ่งที่ค่อนข้างเหมาะสมนะพะย่ะค่ะ คนผู้นี้ฉลาดหลักแหลมไม่ธรรมดาและมีความใจกล้าเหนือกว่าผู้คนทั่วไป จึงสมควรรับหน้าที่นี้เป็นอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้กล่าวอย่างสนอกสนใจ “อ้อ? มีผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ ไยเราถึงไม่รู้ไปได้”
องค์ชายสี่กล่าว “ลูกขอเสนอให้บัณฑิตหลี่หมิงอวินเป็นผู้รับหน้าที่ทูตพิเศษพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหลังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่เนิ่นนาน “ท่านโจวคิดเห็นอย่างไรหรือ”
จิ้งปั๋วโหว์กล่าว “กระหม่อมคิดว่าบัณฑิตหลี่รับหน้าที่นี้ได้พะย่ะค่ะ แม้ราชเลขาหลี่จะกระทำผิดเรื่องรับสินบน ซึ่งเป็นโทษที่ไม่อาจให้อภัยได้ ทว่าบัณฑิตหลี่เป็นผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ที่พบเจอได้น้อยนักในราชวงศ์เรา ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาสามารถ แล้วไยจึงมิให้โอกาสเขาเพื่อชำระล้างโทษทัณฑ์ด้วยคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่สักครั้งล่ะพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่ในตอนแรกแล้วตรัสถามขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เหลือ “แล้วพวกท่านคิดว่าอย่างไรหรือ”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ล้วนเชี่ยวชาญในการสังเกตสีหน้าเป็นอย่างดี เมื่อเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าเช่นนี้จึงรู้ได้ทันทีว่าฮ่องเต้มีประสงค์เช่นนี้อยู่ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกอย่าง หน้าที่ครั้งนี้แม้จะสร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงได้แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน ดีไม่ดีจะตกมาอยู่ที่ตนเอง พวกเขายังรู้สึกขลาดกลัวอยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นพวกเขาก็มีความตั้งใจอยากช่วยเหลือบัณฑิตหลี่สักแรงมาแต่แรกแล้วจึงพร้อมใจกันกล่าวอย่างไม่ลังเล “พวกกระหม่อมคิดว่าบัณฑิตหลี่เป็นตัวเลือกเหมาะสมที่สุดพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เผยสีหน้าสุขใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อทุกท่านเสนอชื่อบัณฑิตหลี่เป็นเสียงเดียวกัน เช่นนั้นเราก็จะแต่งตั้งให้บัณฑิตหลี่เป็นทูตพิเศษเพื่อออกไปทำหน้าที่ในหลางซาน”
จิ้งปั๋วโหว์เผยรอยยิ้มมุมปากอันเคลือบไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง ทุกคนเสนอชื่อคนจำนวนมากเพียงนี้ให้เลือกสรร ซึ่งตามจริงท่ามกลางคนเหล่านั้นหาใช่ว่าปราศจากผู้ใดเหมาะสมไม่ แต่ฮ่องเต้กลับปฏิเสธคนแล้วคนเล่า ดังนั้นความประสงค์แท้จริงจึงไม่ยากที่จะคาดเดา ซึ่งก็คือพระองค์กำลังรอให้ทุกคนเอ่ยเสนอหลี่หมิงอวินผู้นี้ขึ้นมา ฮ่องเต้ถึงจะไหลลื่นไปตามน้ำได้โดยง่าย จะได้ทำให้ใครบางคนไม่อาจพูดอันใดได้
นี่ก็คือโอกาสที่จิ้งปั๋วโหว์กล่าวไว้นั่นเอง ตั้งแต่ช่วงที่กองทัพได้รับรายงานทางการสู้รบด้านตะวันตกเฉียงเหนือ จิ้งปั๋วโหว์ก็ได้ส่งจดหมายให้หลินหลัน หลินหลันจึงเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การไปหลางซานครั้งนี้แม้ว่าจะอันตราย แต่กลับเป็นโอกาสอันดีงามที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองได้ หมิงอวินจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านนั้น นางเชื่อว่ากองทัพทางตะวันตกเฉียงเหนือรับมือกับทู่เจวี๋ยมาหลายปีและได้รับชัยชนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากพวกทู่เจวี๋ยกล้าเล่นตุกติกอันใด สิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญก็คือปัญหาชวนปวดสมองอีกครั้ง จากคิดไม่ซื่อก็แค่จัดการพวกเขาให้ซื่อสัตย์จงได้
หลี่หมิงอวินยังไม่ทันกลับออกมา กลับมีพระราชโองการส่งมาถึงเสียก่อน โดยมีใจความว่าให้คืนบ้านหลังใหญ่ของตระกูลหลี่ที่ถูกยึดไว้
พี่ชายหนิงซิ่งและเฉินจื่ออวี้พร้อมคนอื่นๆ รีบมาทันทีเมื่อได้ยินข่าวคราวดังกล่าว ทุกคนต่างตื่นเต้นและดีอกดีใจอย่างยิ่ง หลินหลันนำทุกคนกลับไปยังจวนหลี่ แม่เหยาสั่งการให้ข้ารับใช้เก็บกวาดทำความสะอาด และจัดแต่งห้องใหม่ทั้งหมด เยี่ยซือเฉิงบุตรชายคนโตแห่งตระกูลเยี่ยพาแม่โจวกับกุ้ยซ่าวพร้อมคนอื่นๆ มาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยังหอบเอาหมูเห็ดเป็ดไก่ รวมไปถึงสุรารสเลิศมาเตรียมต้อนรับการกลับบ้านของหลี่หมิงอวิน ทุกคนจะได้เฉลิมฉลองไปด้วยกัน
ตงจึและเหวินซานไปรอนายน้อยรองอยู่ด้านนอกพระราชวังและได้รับการบอกกล่าวว่า ฮ่องเต้เรียกนายน้อยเข้าเฝ้า คงต้องอีกพักหนึ่งถึงจะออกมาจากวัง เหวินซานเกรงว่านายหญิงสะใภ้รองจะรอจนร้อนใจจึงกลับมาบอกกล่าวไว้ก่อน
ภายในเรือนหลั้วเซี๋ยจายครื้นเครงเป็นพิเศษ ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่ทางด้านเรือนเวยอวี่กลับเงียบสงัด ติงหลั้วเหยียนยืนอยู่บริเวณริมหน้าต่าง มองไปยังทิศทางเรือนหลั้วเซี๋ยจายที่กำลังอวลไปด้วยความสุข หมิงอวินกำลังจะกลับมาแล้ว ทว่าหมิงเจ๋อยังไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะออกมาได้เมื่อใด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ช่วงเวลาที่นางนึกถึงหมิงอวินกลับลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และกลายเป็นหมิงเจ๋อที่ค่อยๆ เข้ามาอยู่ในหัวใจ อาจเป็นเพราะเข้าใจอะไรบางอย่าง หรืออาจเป็นเพราะหมิงเจ๋อเปลี่ยนไปจนทำให้นางค่อยๆ เกิดความรู้สึกดีด้วย แม้นางรู้ดีว่าตนเองปฏิบัติต่อหมิงเจ๋อ ส่วนใหญ่เป็นเพราะในฐานะหน้าที่ภรรยา ไม่ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นความรักใคร่เช่นคนรัก ทว่าสองเดือนที่ผ่านมานี้ นางคิดอยู่หลายต่อหลายครั้งว่า หากเป็นไปได้ นางยินดีที่จะลองรักเขาดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะให้โอกาสนี้แก่นางหรือไม่…
หลินหลันมองดูแม่จู้ที่เพิ่งเดินออกมาจากโถงจาวฮุยหลังจัดแจงหญิงชราเข้าที่พักเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นจิ่นซิ่วก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบพลางส่งเสียงตะโกน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่ะ…”
หลินหลันลนลานและตระหนกตกใจอย่างน่าประหลาด นางรีบเรียกหยินหลิ่วให้ช่วยนางดูหน่อยว่าผมเผ้ายุ่งเหยิงหรือไม่
หยินหลิ่วหัวเราะคิกคักและเอ่ยขึ้น “ไม่ยุ่งๆ เจ้าค่ะ งดงามอย่างยิ่ง! เอ้อร์เส้าหน่ายนายงดงามที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันตวัดสายตามองนาง ก่อนส่งเสียงกระซิบขึ้นมากะทันหัน “ไอหยา! เตรียมกิ่งลูกท้อ[5]ไว้แล้วหรือไม่ เปลือกส้มโอด้วย แล้วยังมีกระถางไฟ[6]อีก…”
จิ่นซิ่วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของนายหญิง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจได้เจ้าค่ะ แม่โจวเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ น้ำร้อนก็ต้มเดือดแล้วด้วย เอ้อร์เส้าหน่ายนายรีบไปเถอะเจ้าค่ะ! เวลานี้เกรงว่าเอ้อร์เส้าเหยียคงถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายแล้วกะมังเจ้าคะ”
[1]เซี่ยวเว่ย (校尉) ตำแหน่งขุนนางทางการทหาร ซึ่งเทียบเท่ากับผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงราชวงศ์ฉินถือเป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ขุนนางทหารระดับกลาง
[2]เสี่ยวป้าหวัง (小霸王) ‘ป้าหวัง’ คือคำที่ใช้เรียกยกย่องผู้พิชิต (ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐในสมัยชุนชิว) และอีกความหมายหนึ่งคือ จอมอันธพาล
[3]ชาวทู่เจวี๋ย (突厥人) คือ ชาวตุรกี หรือที่เรียกว่าชาวเติรก์ ในปัจจุบัน
[4]หลางซาน (狼山) เป็นชื่อภูเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหนานทง (南通市) มณฑลเจียงซู (江苏省)
[5]กิ่งลูกท้อ คนจีนโบราณเชื่อว่ากิ่งลูกท้อใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ติดตามมาได้
[6]กระถางไฟ เป็นอุปกรณ์สร้างความอบอุ่นในบ้าน มีหลายขนาด ทำจากเหล็กหรือสำริด ใช้โดยการใส่ฟืนหรือถ่านแล้วจุดไฟ