ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 224 เนรเทศ
ผลที่ตามมาของการหลงระเริงไปกับการปลดปล่อยก็คือการหลับใหลอย่างหมดสภาพความเป็นคนอย่างสิ้นเชิง ในวันรุ่งขึ้น หลินหลันนอนหลับจนตื่นขึ้นตามสัญชาตญาณ นานมากแล้วที่ไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มเพียงนี้ นางจึงรู้สึกสดใสกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่ดวงตาคู่กลมโตกลอกไปด้านข้าง ปรากฏว่าไม่เห็นเงาเจ้าของเรือนร่างข้างกายเสียแล้ว ม่านมุ้งที่ยังคงปิดสนิท เห็นแสงสว่างด้านนอกรำไร หลินหลันจึงนอนต่ออีกชั่วครู่อย่างสบายใจ ภายในม่านมุ้งดูเหมือนยังคงคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความเหือดกระหาย เรือนร่างรู้สึกได้ถึงความปวดเมื่อยหลังผ่านการเคลื่อนไหวอันหนักหน่วง ทันใดนั้นหลินหลันรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า นางคว้าหมอนหนุนของเขามาโอบกอดไว้และเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาตามลำพัง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องสะสาง หลินหลันจึงจำเป็นต้องกลั้นใจพยุงเรือนร่างปวดเมื่อยลุกขึ้นจากเตียงนอน เมื่อเลิกม่านมุ้งเปิดดูจึงเห็นว่าหน้าต่างภายในห้องชั้นในถูกปิดไว้อย่างสนิทมิดชิด มิน่าล่ะ แสงสว่างนั่นถึงได้ดูสลัวๆ เพียงนั้น นางตระหนกตกใจอย่างยิ่งทันทีที่ชำเลืองสายตาไปมองยังนาฬิกาทรายที่เพิ่มระดับขึ้นมาไม่รู้กี่ขีดแล้ว สวรรค์! นี่มันเกือบจะเป็นช่วงกลางวันเสียแล้ว พ่อหนุ่มนี่ก็ไม่รู้จักปลุกนางบ้างเลย เล่นรังแกนางจนนอนดึกดื่นเพียงนั้น ทุกคนไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้ว ยามนี้คงต้องกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่เป็นแน่ หลินหลันอับอายจนกลายเป็นความโกรธเคือง อยากจะหาปี๊บมาคลุมศีรษะให้มันรู้แล้วรู้รอด
หลังเร่งรีบสวมใส่เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย นางรู้สึกกระด้างกระเดื่องเกินกว่าจะเอ่ยปากเรียกหยินหลิ่วเข้ามาปรนนิบัติ จึงจัดการจัดเก็บเตียงนอนด้วยตนเองแล้วจึงไปเปิดหน้าต่าง จะได้ทำให้กลิ่นอายของสิ่งที่ชวนอับอายนั่นมลายหายไป
ภายในห้องปรากฏเสียงเคลื่อนไหว หยินหลิ่วที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูจึงเคาะประตูก่อนเดินเข้ามา
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้าค่าตาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่น
หลินหลันทำได้เพียงแสดงออกอย่างใจกล้าหน้าหนาเข้าไว้ โดยการแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง “เอ้อร์เส้าเหยียละ”
“เอ้อร์เส้าเหยียตื่นนอนแต่เช้าตรู่แล้ว เอ่ยว่าจะไปบ้านตระกูลเยี่ยสักหน่อย แล้วจะกลับมารับประทานมื้อกลางวันเจ้าค่ะ” หยินหลิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มระรื่น และพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค “เอ้อร์เส้าเหยียสั่งการไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ได้รบกวนเอ้อร์เส้าหน่ายนายจนตื่นนอนเจ้าค่ะ” ความหมายอันลึกซึ้งภายใต้ดวงตานั่นเผยให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ต่อให้หลินหลันพยายามทำหน้าหนาเข้าสู้ก็ยังแบกรับไม่ไหวอยู่ดี นางจึงแสร้งส่งเสียงกระแอมออกมาสองครั้ง “ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าทีสิ ข้าต้องการสระผม”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียสั่งการไว้ว่าเมื่อเอ้อร์เส้าหน่ายนายตื่นแล้วให้ช่วยเตรียมน้ำสำหรับแช่อาบให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของหลินหลันปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที นางรีบก้มหน้าและพยายามเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ไม่ต้องมากเรื่องขนาดนั้นหรอก”
ทางด้านนี้เพิ่งจัดการเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงของหรูอี้ดังขึ้นมาจากด้านนอก “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า…”
เมื่อเห็นตัวการผู้นี้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดชื่นสบายอกสบายใจ หลินหลันถึงกับกัดฟันแน่นด้วยความขุ่นเคือง พ่อหนุ่มนี่ จะแสดงให้เห็นว่าตนเองอึดถึกหรือไรกัน ตนเองตื่นนอนแต่เช้าตรู่แล้วยัง ‘เอาใจใส่’ สั่งการทุกคนไม่ให้ปลุกนาง จะได้ทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเป็นเทพบุตรผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งมากมายเพียงใดเช่นนั้นหรือ
หลินหลันส่งสัญญาณให้หยินหลิ่วออกไป หลังจากนั้นจึงกลอกตามองบนใส่หลี่หมิงอวินแล้วจ้องเขาเขม็ง
หลี่หมิงอวินเห็นท่าทีของนางเช่นนี้จึงรู้ได้ทันทีว่านางกำลังหงุดหงิดอันใด เขาถึงกับอมยิ้ม “เป็นไรไปหรือ ยังนอนไม่เต็มอิ่มหรือไร”
หลินหลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เหตุใดเจ้าถึงไม่ปลุกข้า”
หลี่หมิงอวินเข้าไปโอบกอดนางแล้วจรดจุมพิตลงไปบนพวงแก้มเนียนนุ่มสีแดงระเรื่อ “นี่มิใช่เพราะข้าเป็นห่วงเจ้าหรือไร ก็ข้าเห็นว่าระยะนี้เจ้าไม่ได้นอนให้เต็มอิ่มอย่างสบายใจ”
ลูกไม้นี้มันช่างเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว ไยถึงไม่พูดว่าเป็นตนเองต่างหากที่เป็นต้นเหตุ หากมิใช่เพราะเมื่อคืนเขาไม่ได้คืบก็จะเอาศอก นางหรือจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปได้
หลินหลันใช้สองมือยันแผงอกของเขาเพื่อรักษาระยะห่าง และเพื่อง่ายต่อการใช้สายตาแสดงออกถึงการต่อต้านของนาง
หลี่หมิงอวินหุบยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อม “เอาละๆ ข้าผิดเอง เราสามีภรรยาเพิ่งได้พบเจอกันหลังแยกจาก เรื่องอย่างว่านั่น…ทุกคนต่างเข้าใจได้ ก็แค่นอนตื่นสายไปนิดหน่อยเองมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเสียหน่อย”
หลินหลันเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “คนที่รู้สึกถูกนำไปพูดเป็นเรื่องขำขันมิใช่เจ้านี่”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเกินจริง “ใครกล้านำไปพูดเป็นเรื่องขำขันหรือ ข้าจะไล่ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
“พวกนางมิได้พูดออกมา แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าไม่ได้นึกคิดเป็นเรื่องขำขันกันอยู่ในใจ ข้า…ข้าไม่มีหน้าไปพบเจอใครแล้ว…” หลินหลันกำหมัดแล้วทุบลงไปที่เขาอย่างแรง
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า ปล่อยให้นางระบายอารมณ์โกรธตามอำเภอใจ เห็นท่าทางที่เขินอายจนกลายเป็นความโกรธเคืองของนางเช่นนี้ยิ่งรู้สึกน่ารักน่าทะนุถนอมเสียยิ่งอะไรดี
“เราเป็นสามีภรรยา การที่สามีภรรยาจะมีอะไรกันล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติที่ฟ้าดินกำหนดมาแล้ว ใครจะกล้าหัวเราะเยาะหรือ อีกอย่างหากต้องการหัวเราะเยาะก็ต้องหัวเราเยาะข้าก่อนถึงจะถูก เอาละๆ อย่าโกรธไปเลย กุ้ยซ่าวเตรียมมื้อกลางวันไว้เรียบร้อยแล้ว รีบไปกินอะไรรองท้องกันหน่อยเถอะ เดี๋ยวช่วงบ่ายพวกเราไปจวนจิ้งปั๋วโหว์กัน” หลี่หมิงอวินปลอบประโลม
หลินหลันถึงเป็นอันยอมปล่อยผ่าน หลังรับประทานมื้อกลางวันเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองพากันไปจวนจิ้งปั๋วโหว์ หมิงอวินเอ่ยการไปครั้งนี้เพื่อไปกล่าวขอบคุณ แต่หลินหลันคิดว่าหมิงอวินไปเพื่อขอคำแนะนำในปัญหาที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับการไปหลางซานในครานี้ หลายปีก่อน จิ้งปั๋วโหว์เคยทำสงครามสู้รบกวนชาวทู่เจวี๋ยที่ตะวันตกเฉียงเหนือเป็นระยะเวลาหลายปี จึงค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ของผู้ปกครองทู่เจวี๋ย ตลอดจนความเคยชินของชาวทู่เจวี๋ย และสถานการณ์การสู้รบของทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือเป็นอย่างดี ดังนั้นการรู้เขารู้เราจะช่วยให้วางกลยุทธ์รับมือได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
หมิงอวินกับโหว์เหยียไปห้องหนังสือเพื่อพูดคุย หลินหลันจึงไปหยอกล้ออยู่กับหรงเอ๋อร์ เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรเวลาช่วงบ่ายก็หมดลงไปเสียแล้ว
ช่วงเวลาที่เดินทางกลับ หลินหลันกำลังคิดเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนออกเดินทาง ทว่ายังมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้สะสางจึงรู้สึกกระวนกระวายใจ
หลี่หมิงอวินเห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงกล่าวขึ้น “เมื่อเช้าข้าไปบ้านตระกูลเยี่ย ได้ปรึกษาหารือกับท่านลุงเรื่องงานแต่งของอวี้หลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อวี้หลงอาศัยอยู่ที่ตระกูลเยี่ยเป็นเวลาสองเดือนกว่า ได้รับความโปรดปรานจากท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยว่าเดิมทีอวี้หลงก็เป็นคนของตระกูลเยี่ย เรื่องงานแต่งของนางก็ให้ตระกูลเยี่ยเป็นผู้จัดการแล้วกัน ถึงจะไม่หรูหราอันใดมากมายแต่ก็จะจัดไม่ให้น้อยหน้า ไว้ถึงตอนนั้น เจ้ารับผิดชอบแค่เพิ่มเงินสินเดิมให้นางสักหน่อยก็เป็นพอ”
หลินหลันเป็นกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องงานแต่งของอวี้หลง อวี้หลงติดตามนางมาเป็นระยะเวลาปีกว่าแล้ว นางเป็นผู้ที่จงรักภักดีและซื่อสัตย์ สำหรับหลินหลัน อวี้หลงกับหยินหลิ่วไม่ใช่เพียงสาวใช้ในฐานะธรรมดาทั่วๆ ไปเฉกเช่นคนอื่นๆ นางจึงไม่อยากกระทำในสิ่งที่ไม่ยุติธรรมต่ออวี้หลง แต่เรื่องการจัดพิธีงานแต่งงานประเภทนี้นางไม่ถนัดเอาเสียเลย ขนาดงานแต่งของตนเองยังทำพอเป็นพิธีไปเท่านั้น จึงเรียกได้ว่าไร้ประสบการณ์ทางด้านนี้ นางเลยไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ตอนนี้กลายเป็นว่าป้าสะใภ้ใหญ่ช่วยดึงเรื่องนี้ไปจัดการให้ และเชื่อว่าลุงและป้าสะใภ้จะต้องทำได้ดีกว่านางเป็นแน่ หลินหลันจึงรู้สึกวางใจ
“ส่วนหุยชุนถาง เจ้าก็วางใจส่งมอบให้ศิษย์พี่รองกับศิษย์พี่ห้าจัดการเถอะ อีกทั้งยังมีเหล่าอู๋กับฝูอาน คงไม่น่ามีปัญหาอันใดหรอก ฮูหยินขอรับ นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว ท่านยังมีเรื่องอันใดอื่นสั่งการอีกหรือไม่ขอรับ” หลี่หมิงอวินประจบประแจง
หลินหลันกลั้นหัวเราะขณะชำเลืองตามองเขา “ไว้อีกเดี๋ยวค่อยสั่งการเจ้าแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินมองดูนัยน์ตาและสีหน้าสุขสันต์ของนาง อารมณ์ดีมากนัก เขาจึงแสดงท่าทางคารวะให้นางแล้วกล่าว “สามีน้อมรับบัญชาขอรับ!”
หลินหลันหลุดหัวเราะออกมาจนได้ นางทุบหมัดลงไปที่หัวไหล่ของเขาอย่างเบามือแล้วเอนกายซบลงในอ้อมอกของเขา ภายในใจรู้สึกอิ่มเอม การมีสามีที่พึ่งพิงได้นี่มันเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
หลังหลี่หมิงอวินกลับออกมาได้ เขาวิ่งวุ่นทางนู้นทีทางนี้ทีอยู่ทุกวัน ทว่าในทุกๆ มื้อกลางวันจะรีบกลับมารับประทานมื้อกลางวันเป็นเพื่อนนางให้ได้ และได้บอกกล่าวรายงานถึงสิ่งที่ไปทำมา ส่วนหลินหลันอยู่บ้านตระเตรียมสัมภาระสำหรับไปหลางซานแล้วยังเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับงานแต่งของอวี้หลงอีกด้วย
หลินหลันให้แม่โจวไปร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวงเพื่อสั่งทำเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองอย่างละชุดไว้ให้อวี้หลง นอกจากนั้นยังสมทบเงินจำนวนห้าสิบตำลึงเงินให้นางเพื่อใช้สำหรับเสื้อผ้าหน้าผม บรรดาสาวใช้เห็นดังกล่าวจึงพากันอิจฉาตาร้อนอย่างยิ่ง
หลินหลันเห็นพวกนางแต่ละคนมองกันตาเขียวปั๊ด จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอเพียงพวกเจ้าตั้งใจทำงานให้ดีๆ ในภายภาคหน้าพวกเจ้าออกเรือน ข้าก็จะทำเช่นนี้ให้พวกเจ้าคนละชุดเช่นกัน”
ทุกคนต่างรู้สึกดีอกดีใจ รีบกล่าวขอบคุณเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นแต่ละคนต่างพากันทำงานอย่างขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น
เห็นทีว่าการกระตุ้นด้วยวัตถุล้ำค่าจะเป็นสิ่งที่ให้ประสิทธิผลชั้นดีเยี่ยมได้เสมอๆ
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง กว่าจะเคลื่อนพลไปยังหลางซานก็เข้าฤดูหนาวเสียแล้ว ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือสภาพอากาศหนาวเย็นและมีลมพัดแรงเป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วลำพังเสื้อผ้ากันหนาวทั่วไปไม่อาจรับมือได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องนำเสื้อผ้าขนสัตว์ติดไปด้วย
ตระกูลเยี่ยทำกิจการค้าขายผ้าไหม พวกเสื้อผ้าขนสัตว์อะไรนี่จึงไม่มีกับเขา หลินหลันทำได้เพียงไปเฟ้นหาจากสถานที่อื่น แต่แล้วหลินฮูหยินกลับให้คนส่งหนังสัตว์มาให้หลายผืนทีเดียว จึงช่วยเบาแรงหลินหลันไปได้ไม่น้อย
ติงหลั้วเหยียนมีทักษะในด้านงานเย็บปักถักร้อย จึงอาสาช่วยนางตัดเย็บให้ เวลานี้หลินหลันจึงไม่มีเรื่องอันใดให้จัดการ ว่างงานจนได้คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย
ในช่วงสามวันก่อนออกเดินทางนี้เอง ในที่สุดทางราชสำนักก็ประกาศบทลงโทษต่อหลี่จิ้งเสียนออกมา หลี่จิ้งเสียนถูกเนรเทศไปยังสถานที่ถิ่นทุรกันดารอันหนาวเหน็บ ทั้งยังถูกนำตัวไปในวันเดียวกันนั้นทันที ส่วนหลี่หมิงเจ๋อถูกถอดจากตำแหน่งขุนนาง ลดฐานันดรให้เป็นเพียงบุคคลชั้นสามัญชนและปล่อยตัวออกมา
หลี่หมิงอวินได้รับข่าวคราวดังกล่าวในช่วงหัววันแรก หลังจากนั้นจึงไปรับหมิงเจ๋อออกมาจากห้องขังในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
ช่วงเวลาที่หมิงเจ๋ออยู่ในห้องขังถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่กล้าเชื่อว่าตนเองจะถูกปล่อยออกมาได้ ยามที่ผู้คุมขังเรียกให้เขาออกมา เขายังคิดว่าตนเองกำลังฝันไปด้วยซ้ำ จนกระทั่งเห็นหมิงอวินถึงมั่นใจได้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไป
หลี่หมิงเจ๋อที่หลุดพ้นออกมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่างๆ นานา เขาโอบกอดน้องชายและเกือบน้ำตาไหลรินลงมา
หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจเขาสองสามประโยคแล้วจึงพยุงเขาขึ้นรถม้า ระหว่างทางนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นบอกเล่าให้เขาฟัง หมิงเจ๋อถึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า การที่ตนเองออกมาได้ทั้งหมดเป็นเพราะหมิงอวิน
รถม้าไม่ได้มุ่งกลับบ้านโดยตรง แต่เป็นกำลังมุ่งหน้าออกไปยังศาลาอู๋หลี่ถิงในตอนใต้ของเมืองหลวง
ภายในศาลา เจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งสองกำลังควบคุมผู้กระทำผิดคนหนึ่งซึ่งถูกโซ่ตรวนรัดตัวไว้และกำลังมองไปเบื้องหน้า ปรากฏรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาแต่ไกล เจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งสองจึงส่งสายตาให้กันและกันเป็นสัญญาณ
หลี่หมิงเจ๋อลงจากรถม้า เห็นบิดาที่กำลังถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้ เขาจึงเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบแล้วคุกเข่าลงบนพื้นตามด้วยมอบคารวะ “ท่านพ่อ ลูกมาช้าไปเสียแล้ว”
หลี่จิ้งเสียนรู้ดีว่าการจากไปของตนเองครานี้เกรงว่าจะกลับมาเมืองหลวงไม่ได้อีกแล้ว ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เขาคิดว่าหากสามารถพบบุตรชายได้อีกสักครั้งก็เพียงพอแล้ว ทว่ายามที่เขามองเห็นหมิงเจ๋อที่ปลอดภัยดีแล้วยังมีหมิงอวินในชุดฮั่นยืนอยู่ด้วย ภายในใจจึงเกิดความหวังหนึ่งแทรกเข้ามา
“ลูกพ่อ…” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ทันใดนั้นหยาดน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา เขาคิดจะดึงหลี่หมิงเจ๋อให้ลุกขึ้นยืนแต่เพราะโซ่ตรวนที่ผูกมัดไว้จึงไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“ท่านพ่อ ลูก…มาส่งท่านขอรับ” เมื่อเห็นบิดาเป็นเช่นนี้ หลี่หมิงเจ๋อจึงสะอึกสะอื้นขึ้นมาเช่นกัน เขาไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอันใดต่อบิดา เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดา ผู้ให้เลือดเนื้อเชื้อไข เมื่อเห็นบิดาที่เคยสง่าผ่าเผยตกอยู่ในสภาพชวนเวทนาเช่นนี้ ภายในใจจึงรู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง
หลี่หมิงอวินเดินเข้ามา เขายืนมองดูบิดาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นหมิงอวินเผยสีหน้าอารมณ์ที่สงบนิ่งเพียงนี้ หลี่จิ้งเสียนจึงรู้สึกสับสนอย่างน่าประหลาด เขารู้สึกจงเกลียดจงชัง หากตอนนั้นหมิงอวินช่วยเขาสักครั้ง โดยการตอบตกลงความต้องการของไท่โฮ่ว มีหรือเขาจะต้องถูกเนรเทศไปยังเฉียนซีและยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทนลำบากตรากตรำมากมายเพียงใด ทว่าเขาไม่อาจเผยสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความโกรธเกลียดนี้ได้ เขารู้มาโดยตลอดว่าหมิงอวินไม่ธรรมดา และจะต้องมีสักวันที่จะเจริญรุ่งเรือง ในภายภาคหน้าคงต้องยังพึ่งพาหมิงอวิน ซึ่งไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เขาจึงสะกดกลั้นความโกรธเกลียดที่มีต่อหมิงอวินไว้และปั้นหน้าชวนเวทนามากยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งจับไปที่หมิงเจ๋อ อีกข้างหนึ่งคิดจะจับไปที่หมิงอวิน แต่ด้วยความที่หมิงอวินเอามือไพล่หลังไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะจับมือกับเขา
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกผิดหวัง เขาจึงกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจและอับอายกว่าครั้งไหนๆ “เป็นพ่อเองที่กระทำผิดต่อพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากไปด้วย ยามนี้พ่อเห็นพวกเจ้าปลอดภัยดี ภายในใจก็โล่งมากขึ้นแล้ว การจากไปเฉียนซีของพ่อในครานี้ เกรงว่าพวกเราพ่อลูกชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจได้พบเจอกันอีกแล้ว พ่อ…พ่อ…” หลี่จิ้งเสียนพร่ำเอ่ยทั้งน้ำตา
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความเศร้าโศก “ท่านพ่อ ไว้เรื่องราวผ่านพ้นไปจนสงบแล้ว ลูกจะคิดหาวิธีรับท่านพ่อกลับมาให้ได้ ท่านพ่อจากไปในครั้งนี้จะต้องดูแลตนเองให้มากๆ นะขอรับ”
หลี่หมิงอวินไม่อยากเอ่ยร่ำลากับผู้เป็นบิดา จึงส่งสายตาให้เจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งสองเป็นสัญญาณ เจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งสองตระหนักได้จึงเดินตามเขาไปอีกด้านหนึ่ง
หลี่หมิงอวินหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาเพื่อรบกวนให้พวกเขาช่วยดูแลหลี่จิ้งเสียนให้ดี ไม่ใช่เพราะเขาเห็นใจบิดา แต่เพราะเขาไม่อยากให้บิดาทนความลำบากระหว่างเดินทางจนไปไม่ถึงเฉียนซี ชะตากรรมนี้ เขาต้องการให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสมันให้เต็มที่ ชีวิตที่สิ้นหวัง ณ ถิ่นทุรกันดาร ชีวิตที่ดำดิ่งลงเสมือนสุนัขตัวหนึ่ง