ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 225 จุดจบของเรื่องราว
หลี่จิ้งเสียนปาดน้ำตาร่ำลาหมิงเจ๋อพลางแอบสังเกตการกระทำของหมิงอวินกับเจ้าหน้าที่ขุนนาง ดูเหมือนหมิงอวินได้ยัดตั๋วเงินจำนวนหนึ่งให้เจ้าหน้าที่ขุนนาง เจ้าหน้าที่ขุนนางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลี่จิ้งเสียนอดใจเต้นระรัวขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าหมิงอวินซื้อเจ้าหน้าที่ขุนนางเหล่านั้นเพื่อให้กำจัดเขาให้สิ้นซากระหว่างทาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ น้ำตาของเขาจึงเป็นอันเหือดแห้งไปแต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นเข้ามาแทนที่
หลี่จิ้งเสียนรีบเอ่ยถามหมิงเจ๋อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างประหม่า “ยามที่พวกเจ้ามา น้องรองเจ้าได้พูดอะไรบ้างหรือไม่”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “ท่านพ่อ แม้น้องรองจะดูเย็นชาต่อท่านพ่อไปหน่อย แต่ลูกคิดว่าน้องรองยังเป็นห่วงท่านพ่ออยู่เช่นกันนะขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้งก่อนยามที่เขาไปเกลี้ยกล่อมหมิงอวินในห้องขังนั่น เขาสัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นที่หมิงอวินมีต่อเขา ยามนี้ เขาแบกรับโทษทัณฑ์ การที่หมิงอวินกับตระกูลเยี่ยจะต่อกรเพื่อเอาคืนเขาจึงเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง พูดตามจริงก็คือ การจะกำจัดเขาให้สิ้นซากเป็นอะไรที่ง่ายดายกว่าการบี้มดตัวหนึ่งให้ตายด้วยซ้ำไป หลี่จิ้งเสียนรู้สึกอยู่ไม่สุข กล่าวด้วยความกระวนกระวาย “พ่อเกรงว่าน้องรองเจ้าจะมีใจแค้นเคืองโกรธพ่อ อาจคิดจะฆ่าพ่อให้ตายไปเสียเพื่อเป็นการแก้แค้นให้ท่านแม่เขา หมิงเจ๋อ ตอนนี้พ่อมีเจ้าเป็นที่พึ่งพิงเดียวเท่านั้น เจ้าจะต้องช่วยชีวิตพ่อสักครั้งหนึ่ง”
หลี่หมิงเจ๋อตกตะลึงไปชั่วขณะ เหตุใดบิดาเขาถึงคิดเช่นนี้ไปได้
“ท่านพ่อคิดมากไปแล้วขอรับ น้องรองมิใช่คนเช่นนั้นนะขอรับ” หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่เชื่อว่าน้องรองจะเป็นคนประเภทไร้คุณธรรมเช่นนั้นเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีทางกระทำเรื่องเลวทรามเช่นการปลิดชีพบิดาของตนเองไปได้ หากเป็นเช่นนั้น น้องรองก็คงไม่ช่วยเหลือเขาออกมาด้วยเช่นนี้หรอก
หลี่หมิงอวินเห็นบิดาเผยสีหน้าหวาดเกรงเมื่อเขากลับมาหลังสั่งการเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าได้กำชับทางด้านเจ้าหน้าที่ขุนนางนั่นไว้ให้บ้างแล้ว คงพอช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ของท่านพ่อสบายขึ้นเล็กน้อย หลังออกพ้นเขตเมืองหลวง พวกเขาจะช่วยปลดตรวนโซ่ให้ท่านพ่อ”
ขณะเอ่ยเขาหยิบตั๋วเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วยื่นไปใส่มือของบิดา “ได้ยินมาว่านักโทษทุกคนเมื่อไปถึงถิ่นแดนนั้นล้วนต้องผ่านการเฆี่ยนโบยเสียก่อน ท่านพ่อนำตั๋วเงินเหล่านี้ไป เมื่อถึงเวลาจะได้ช่วยอันใดได้บ้าง อย่างน้อยๆ คงไม่ต้องเลือดตกยางออกกับเขา”
หลี่หมิงอวินไม่ต้องมองดูก็รู้ว่าดวงตาสองคู่ที่อยู่ด้านข้างนั่นกำลังจับจ้องมาไม่วางตา ซึ่งเงินเหล่านี้ที่ให้บิดาไว้ ไม่ทันถึงที่หมายก็คงตกไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งสองนั่นก่อนเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เขาได้ทำหน้าที่คนดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้น หาใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องกังวลไม่
มือที่ถือตั๋วเงินของหลี่จิ้งเสียนสั่นเทาไม่หยุด “หมิงอวิน พ่อทำผิดต่อเจ้า…” เขากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก
หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นทันทีเพื่อยับยั้งคำพูดของบิดา ในเมื่อคำเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำลวงหลอกที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
“ท่านพ่อ เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วก็อย่าได้เอ่ยถึงอีกเลยขอรับ ท่านรักษาสุขภาพตนเองให้ดีๆ แล้วกันขอรับ!” หลี่หมิงอวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาประหนึ่งคนไม่คุ้นเคยกัน ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นบุตรผู้กตัญญูอีกแล้ว ตลอดเส้นทางการแก้แค้นในหนึ่งปีกว่า แม้จะผิดพลาดไปบ้างและเกิดเรื่องราวไม่คาดคิดขึ้นมามากมายทีเดียว ทว่าท้ายที่สุดก็ดำเนินไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ท่านแม่ ท่านอยู่ในภพภูมินั้น สัมผัสได้ถึงความปลาบปลื้มนี้หรือไม่ขอรับ
เจ้าหน้าที่ขุนนางเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงเร่งเร้าให้ออกเดินทาง หลี่จิ้งเสียนมองดูบุตรชายทั้งสองอย่างอาลัยอาวรณ์และมองไปยังทิศทางเมืองหลวงอีกครั้ง ปรากฏเพียงกำแพงเมืองที่ดูแข็งแกร่งอยู่รำไร เขายังจำตอนแรกที่เข้าเมืองหลวงมาเป็นขุนนางได้ดี เขาที่กำลังขี่บนหลังม้าชี้นิ้วไปยังกำแพงเมืองที่เห็นอยู่ไกลๆ แล้วพูดคุยกับนางเยี่ย “อีกไม่นานข้าจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นหนึ่งให้จงได้…” ความมุ่งมั่น และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยการมองการณ์ไกลนั่น…ในวันนี้มันกลับหลงเหลือเพียงชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ที่สลายกลายเป็นหมอกควัน เขาไม่อาจกลายเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นหนึ่ง แล้วยังกลายเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศ โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงธรรม โลกนี้ไม่มีอะไรที่คาดเดาได้!
หลังร่ำลาบิดาเป็นที่เรียบร้อย สองพี่น้องจึงนั่งรถม้ากลับเข้าเมืองหลวงโดยไร้การสนทนาใดๆ หมิงเจ๋ออาจกำลังรู้สึกหดหู่ใจอยู่ลึกๆ หดหู่ใจต่อตนเอง หดหู่ใจต่อบิดา หดหู่ใจต่อตระกูลหลี่ เขาจึงมีสีหน้าเศร้าโศกเพียงนั้น ขณะที่หมิงอวินกำลังคิดว่าทรัพย์สมบัติที่บิดาซ่อนไว้ในเมืองเทียนจินนั่น จนถึงตอนนี้แล้วบิดายังไม่ยอมปริปากเอ่ยออกมา เป็นเพราะคิดว่าตนเองจะยังมีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินเหล่านี้หรือไร
เมื่อกลับมาถึงตระกูลหลี่ ติงหลั้วเหยียนซึ่งเฝ้าคอยอยู่หน้าประตูมาเนิ่นนาน เมื่อเห็นหมิงเจ๋อได้กลับมาเสียทีจึงอดร้องห่มร้องไห้ออกมาไม่ได้ หมิงเจ๋อซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ทั้งสองจับมือกันพลางจ้องมองดวงตาที่ปรากฏหยาดน้ำสีใสไหลรินออกมาของกันและกันอย่างเงียบๆ
หลินหลันมองดูภาพดังกล่าวอยู่ด้านข้างก็รู้สึกสะเทือนใจ นอกจากความสะเทือนใจแล้วยังรู้สึกหดหู่อยู่ลึกๆ มันต้องเป็นฉากสถานการณ์เช่นนี้สิ ถึงจะเหมาะสมแก่การได้พบเจอกันอีกครั้งหลังแยกจาก!
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายได้รับโทษที่สมควรได้รับโดยการถูกเนรเทศไปอยู่ถิ่นแดนทุรกันดารที่แสนห่างไกล ในวันรุ่งขึ้นเป็นพิธีงานแต่งของอวี้หลงกับฝูอาน สำหรับเรื่องนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง งานเลี้ยงจึงถูกจัดออกมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบและครึกครื้นสนุกสนาน
การได้มองดูผู้อาวุโสของครอบครัวสวี๋ยิ้มแย้มหน้าบานไม่หุบ ขณะที่ฝูอานเอาแต่มองดูเจ้าสาวคนงามด้วยรอยยิ้มใสซื่อ มันให้ความรู้สึกประเภทความรักใคร่และความสุขอันท่วมท้นที่พรั่งพรูออกจากหัวใจ ทำให้หลินหลันคิดว่าตนเองสายตาเฉียบคมไม่เลวเลยจริงๆ จึงช่วยหาคู่ครองที่ดีเยี่ยมผู้หนึ่งให้อวี้หลงได้ เฮ้อ! เดิมทีความสุขนี้เป็นของป๋ายฮุ่ย น่าเสียดายที่นางดื้อรั้นไม่ยอมรับ ทำให้ต้องพลาดความสุขนี้ไปจนได้
เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันแล้ว หลินหลันกับหลี่หมิงอวินจึงไม่ขอไปร่วมสนุกในพิธีการส่งตัวเจ้าสาวเข้าเรือนหออะไรนั่น หลังรับประทานอาหารในงานเลี้ยงฉลองเป็นที่เรียบร้อยจึงเตรียมกลับจวนหลี่กันก่อน ปล่อยให้คนอื่นๆ สนุกสนานกันต่อไป เดิมหยินหลิ่วต้องการติดตามไปด้วย ทว่าหลินหลันไม่อนุญาต ลำพังตัวนางเองก็ขอติดตามคนเขาไป หากจะพาอีกคนติดตามไปด้วยคงดูไม่ดีไปกันใหญ่ ด้วยเหวินซานพอมีทักษะการต่อสู้ หลี่หมิงอวินก็เลยพาเขาติดตามไปด้วย ทว่าคนอื่นๆ ล้วนถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นกุ้ยซ่าวคงได้อ้างขึ้นมาบ้างว่า ข้าจะติดตามไปทำอาหารให้ หรูอี้จะพูดว่า ข้าจะตามไปซักเสื้อผ้าให้…เช่นนั้นก็คงได้กลายเป็นยกโขยงไปทั้งครอบครัวกันพอดี
ดังนั้น หยินหลิ่วและเหวินซานจึงกลับจวนหลี่ไปพร้อมหลินหลัน ส่วนคนอื่นๆ พากันไปบ้านครอบครัวสวี๋เพื่อดำเนินพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวในลำดับต่อไป
หลังกลับมาถึงจวนหลี่ ข้ารับใช้เข้ามารายงานโดยเอ่ยว่า ท่านฮว๋าผู้ดูแลกิจการโรงหมอหลวงมารออยู่พักใหญ่แล้ว
หลินหลันและหลี่หมิงอวินจึงรีบไปยังโถงรับแขกส่วนหน้าเพื่อพบฮว๋าเหวินไป่
ฮว๋าเหวินไป่มาในวันนี้เพื่อนำพระราชโองการมาให้ ฮ่องเต้ทราบว่าหลินหลันจะไปหลางซานด้วย จึงตั้งใจพระราชทานชุดหมอหลวงแก่นางเป็นพิเศษ และมีพระบัญชาให้นางติดตามกองกำลังทหารไปด้วย สตรีที่ถูกแต่งตั้งเป็นหมอหลวงเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฮ่องเต้ก็เลยอาศัยดุลยพินิจนี้ เพื่อให้การที่หลินหลันติดตามไปในครานี้เป็นไปอย่างชอบธรรม
หลินหลันรู้สึกซาบซึ้งต่อฮ่องเต้พระองค์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าเป็นสุภาพบุรุษที่ดีงามท่านหนึ่งเสียจริง! เดิมทีนางติดตามหมิงอวินไปอย่างไม่ถูกต้องตามระบบ และยังถูกหมิงอวินกำหนดขอบเขตไว้ต่างๆ นานา ตอนนี้กลายเป็นว่านางไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกแล้ว
หลี่หมิงอวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยต่อความปรารถนาดีของฮว๋าเหวินไป่ แต่ก็พอรู้มาเช่นกันว่าคนผู้นี้มีน้ำจิตน้ำใจกว้างขวาง มีชื่อเสียงดีงาม เมื่อตนเองได้ไตร่ตรองดูอีกทีจึงเลิกคิดเล็กคิดน้อยในประเด็นเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงฉีกยิ้มให้และยกสองมือขึ้นคารวะ “รบกวนพี่ฮว๋าเสียแล้วขอรับ”
เขาเรียกขานว่าพี่ฮว๋า แทนที่จะเป็นฮว๋าย่วนซื่อ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มองเขาเป็นคนอื่นคนไกล
ฮว๋าเหวินไป่เผยรอยยิ้มอย่างตระหนักเข้าใจได้ “น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งเข้ารับตำแหน่งงาน มิเช่นนั้น ข้าก็อยากติดตามน้องหลี่ร่วมทางไปหลางซานด้วยเช่นกัน จะได้ไปเห็นสายลมแห่งทะเลทราย และเดินทางบนหลังม้าพร้อมกองกำลังทหารอย่างคนอื่นเขาบ้าง”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พี่ฮว๋าดูชื่นชอบการพจญภัยเผชิญความลำบากอยู่ไม่น้อยเลยนะขอรับ ความกล้าหาญที่ทุ่มเทในเขตโรคระบาดครั้งที่ผ่านมานั้นน่าเลื่อมใสอย่างยิ่งจริงๆ เพียงแต่การเดินทางไปหลางซานครานี้ ข้ายังคงหวังว่าจะไม่เกิดอันใดถึงขั้นจำเป็นต้องเรียกใช้ท่านพี่ฮว๋าน่ะขอรับ”
ฮว๋าเหวินไป่ถึงกับชะงักไป หลินหลันกลับเม้มปากเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนได้ยินหมิงอวินกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากเจรจาสำเร็จ ปราศจากการสู้รบ ไร้ทหารที่ต้องได้รับบาดเจ็บล้มตาย พี่ฮว๋ามิเท่ากับไปเสียเที่ยวแล้วหรือขอรับ”
ฮว๋าเหวินไป่ถึงเป็นอันเข้าใจได้ เขาจึงยกสองมือขึ้นคารวะ “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงลำบากน้องหลี่ พยายามเพื่อเจรจาให้เป็นผลสำเร็จให้จงได้ จะได้ทำให้กองกำลังทหารของเราไม่ต้องเลือดตกยางออก และทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่เขตชายแดนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะพยายามสุดความสามารถขอรับ”
หลินหลันรินน้ำชาให้ทั้งคู่ ระหว่างนั้นหงซางเข้ามาเรียนเชิญโดยเอ่ยว่านายหญิงสะใภ้ใหญ่เรียกหานาง หลินหลันจึงขอปลีกตัวออกไปก่อน ปล่อยให้พวกเขาทั้งสองได้พูดคุยกันตามลำพัง