ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 226-1 ผู้ทำชั่วได้รับผลสำหรับความชั่วร้าย
ติงหลั้วเหยียนเร่งตัดเย็บชุดติดต่อกันหลายวันหลายคืน ในที่สุดก่อนหลินหลันออกเดินทางก็ตัดเย็บเป็นที่เรียบร้อย นางทำเสื้อคลุมขนสัตว์สองชุดสำหรับหลี่หมิงอวิน แล้วยังมีเสื้อตัวในทำจากขนสุนัขจิ้งจอกไว้สวมใส่ใต้เสื้อผ้าสำหรับหลินหลัน เช่นนี้จะไม่ดูหนาเทอะทะและยังให้ความอบอุ่นได้อีกด้วย
ทักษะงานฝีมือของติงหลั้วเหยียนคงไม่ต้องให้บรรยาย ประเด็นสำคัญคือยังทำโดยรอบคอบและใส่ใจเป็นพิเศษถึงเพียงนี้ นั่นทำให้หลินหลันซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง จึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าก็ไม่อาจช่วยอันใดอื่นได้ หวังว่าเจ้าจะชอบมันก็พอ”
หลินหลันกอดเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกไว้แน่นด้วยความดีใจ “ชอบสิเจ้าคะ ชอบมากๆ เลยละ ตัวข้าเองยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวเชิงหยอกล้อ “เจ้าน่ะ ในใจเอาแต่นึกถึงน้องรองอย่างเดียวจนลืมนึกถึงตนเอง”
หลินหลันหน้าแดงระเรื่อแล้วออดอ้อน “ยังดีที่พี่สะใภ้เอาใจใส่ข้านะเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนแอบถอนหายใจเล็กน้อย “ยามนี้ตระกูลหลี่เหลือเพียงสองพี่น้องแล้ว พวกเจ้าไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือครานี้จะต้องดูแลตนเองให้มากๆ แล้วกลับมาอย่างปลอดภัยให้จงได้”
หลินหลันวางเสื้อผ้าขนสัตว์ลงแล้วจูงมือติงหลั้วเหยียนไปนั่งลงด้านข้าง “พี่สะใภ้อย่าได้เป็นห่วงพวกเราไปเลยเจ้าค่ะ ท่านเองต่างหาก แม้ว่ายามนี้คนในตระกูลมิได้รุ่งโรจน์ ทว่าการจะรักษาไว้ซึ่งครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างยังมีท่านย่าที่ต้องคอยดูแล แม่เหยาเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่งและซื่อสัตย์ไม่น้อยเช่นกัน ให้นางเป็นลูกมือท่านจะได้ช่วยเบาแรงนะเจ้าคะ ส่วนสาวใช้ในเรือนข้า ท่านแค่เอ่ยปากเรียกใช้นางก็เป็นพอ แม่โจวเป็นคนรอบคอบ กระทำการใดๆ ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน มีเรื่องอันใดต้องการคำปรึกษาหรือต้องการความช่วยเหลือ ท่านไปเรียกหานางได้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้พี่ใหญ่คงได้แต่ว่างงานอยู่ที่บ้าน จึงไม่มีรายได้ ทรัพย์สินภายในบ้านทั้งหมดล้วนถูก…เฮ้อ! ข้ารู้ดีว่าหลายเดือนมานี้ท่านนำเงินส่วนของตนเองมาใช้จ่ายภายในบ้าน การไปของข้ากับหมิงอวินในครั้งนี้อย่างน้อยๆ อาจต้องกินเวลานานถึงครึ่งปี หากจัดการเรื่องราวให้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น ฮ่องเต้พึงพอพระทัย หมิงอวินจะลองไปขอร้องดูอีกสักตั้ง เผื่อว่าพระองค์จะคืนตำแหน่งขุนนางให้พี่ใหญ่ได้ เพียงแต่ช่วงระยะนี้ จะอย่างไรก็คงไม่อาจอยู่เฉยๆ นอนกินสมบัติเก่าไปได้หรอกนะเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ พี่ใหญ่เจ้าไม่เชี่ยวชาญในการทำสิ่งอื่นใดนอกเสียจากทางด้านวิชาความรู้ แล้วยังจะทำอะไรได้บ้างหรือ”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “แม้ข้าส่งมอบห้องแถวร้านค้าที่ตงจื๋อเหมินให้ท่านลุงตระกูลเยี่ยจัดการทั้งหมดแล้ว ทว่ายังคงมีเหลืออีกสองห้องที่ยังไม่มีผู้เช่า ข้าเห็นว่าปกติแล้วพี่ใหญ่ค่อนข้างให้ความสนใจและเชี่ยวชาญทางด้านใบชา หากเขาสนใจ ลองเอาไปเปิดร้านใบชาก็ไม่เลวเช่นกันนะเจ้าคะ ภายในร้านทำเป็นห้องนั่งดื่มชาส่วนตัวสักสองห้อง นำภาพอักษรที่แขวนอยู่ในห้องหนังสือของท่านพ่อเหล่านั้นไปแขวนประดับไว้ แล้วยังมีภาพอักษรฝีมือของหมิงอวินก็น่าจะดึงดูดลูกค้านักปราชญ์ที่มีความสนใจทางด้านนี้ได้บ้าง และไม่ว่าจะทำกำไรได้มากหรือน้อย ประเด็นสำคัญคือมีอะไรให้ทำ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยอย่างไรเจ้าคะ ท่านลุงตระกูลเยี่ยมีพ่อค้าใบชาที่ท่านรู้จักอยู่พอดีด้วย หากพี่ใหญ่ตัดสินใจได้แล้ว เพียงแค่ให้พี่ใหญ่ไปพบท่านลุงก็พอเจ้าค่ะ ท่านลุงเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวาง เขาจะต้องช่วยเหลือเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนไม่ค่อยมีหัวทางด้านการค้าเท่าใดนัก จึงไม่ค่อยมีความสนใจต่อเรื่องเปิดร้านค้าอะไรพวกนี้ ทว่าที่หลินหลันพูดก็ถูก หมิงเจ๋อเพิ่งเผชิญเรื่องราวย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่อง เดิมก็สภาพจิตใจไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากได้แต่ว่างงานอยู่ที่บ้าน เกรงว่าจะมีแต่เศร้าโศกเสียใจยิ่งขึ้น ไม่สู้ให้เขาได้หาอะไรทำสักหน่อยจะดีเสียกว่า บุรุษหาเงินเลี้ยงครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ฟ้าดินกำหนดมาแล้ว ไม่ว่าจะหาเงินได้มากได้น้อยก็ตาม แต่นั่นคงทำให้หมิงเจ๋อรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ไร้ค่า อีกอย่าง ด้วยวิธีการที่หลินหลันเสนอแนะ ให้เปิดร้านขายใบชาและดึงดูดลูกค้าเหล่านักปราชญ์ที่มีความชื่นชอบในภาพวาดอักษร ก็จะทำให้หมิงเจ๋อได้พบปะเหล่าสหายจำนวนมาก ติงหลั้วเหยียนยิ่งไตร่ตรองยิ่งคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไว้ข้าจะลองถามหมิงเจ๋อดูก่อนแล้วกันว่าเขาคิดเห็นอย่างไร หากเขาอยากทำจริงๆ ข้าจะสนับสนุนเขาเอง” ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย อย่าขับไล่ข้าน้อยออกไปเลยนะเจ้าคะ! ข้าน้อยเต็มใจอยู่ปรนนิบัติต้าเส้าหน่ายนายทั้งชั่วชีวิตนะเจ้าคะ…” อนุภรรยาเว่ยพุ่งพรวดเข้ามาแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้านายหญิงสะใภ้ใหญ่ ตามด้วยกล่าวอ้อนวอนทั้งน้ำตา พลางคำนับศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง
หลินหลันและติงหลั้วเหยียนมองหน้ากันไปมา ติงหลั้วเหยียนกล่าวขึ้นด้วยความงุนงง “เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน ข้าไปไล่เจ้าเมื่อใดกันหรือ”
“เป็นข้าเองที่ไล่นาง” หลี่หมิงเจ๋อเดินสาวเท้ายาวตามเข้ามาติดๆ หมิงเจ๋อคาดไม่ถึงว่าหลินหลันก็อยู่ด้วย จึงเผยสีหน้าอับอายขึ้นชั่วขณะ
หลู่ฉีแสดงออกอย่างเศร้าเสียใจหนักยิ่งขึ้นเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ นางฉุดรั้งชายกระโปรงของนายหญิงและร้องห่มร้องไห้อย่างสาหัสสากรรจ์ “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้าน้อยอยู่ในฐานะอนุภรรยาก็เพื่อปรนนิบัติต้าเส้าหน่ายนาย ที่ผ่านมาข้าน้อยทุ่มเทแรงกายแรงใจมาโดยตลอด ไม่เคยละเมิดกฎระเบียบใดๆ เลยแม้แต่น้อย ต่อให้ต้าเส้าหน่ายนายเห็นข้าน้อยเป็นวัวเป็นม้า ข้าน้อยก็เต็มใจเจ้าค่ะ ขอเพียงต้าเส้าหน่ายนายโปรดให้ความเมตตาช่วยเกลี้ยกล่อมต้าเส้าเหยียหย่าได้ขับไล่ข้าน้อยไปเลยนะเจ้าคะ…” นางกล่าวทั้งเสียงสะอึกสะอื้น
ติงหลั้วเหยียนจ้องมองหมิงเจ๋อด้วยความงุนงง “เว่ยอี๋เหนียงกระทำผิดอันใดหรือ”
หมิงเจ๋อกล่าว “นางมิได้กระทำผิดอันใด แต่เป็นข้าเองที่กระทำผิดไป ข้าไม่อยากผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำร้ายคนคนแล้วคนเล่า”
ติงหลั้วเหยียนยิ่งงุนงงสับสนหนักเข้าไปใหญ่ ทว่าหลินหลันกลับพอจะคาดเดาสาเหตุได้บางแล้ว เห็นทีว่าหลี่หมิงเจ๋อคงกลับตัวกลับใจคิดจะเป็นสามีที่แสนดีกับเขาแล้วจริงๆ สินะ
นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกเขา ขืนหลินหลันอยู่ต่อมีแต่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก นางจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อพี่ใหญ่และพี่สะใภ้มีเรื่องต้องสะสาง เช่นนั้นหลินหลันขอตัวก่อนเลยแล้วกันเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงฝีก้าวฉับไวตามมาด้วยเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เฉียวเจวียนวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและกล่าวทั้งหายใจหอบ “ต้าเส้าเหยีย ต้าเส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าเหยียเรียนเชิญพวกท่านรีบไปยังโถงรับแขกส่วนหน้าเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนสีหน้าตื่นตระหนก หลินหลันจึงเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วหรือ”
เฉียวเจวียนส่ายหน้าแล้วกล่าว “ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ เป็นเหวินซานที่วิ่งหน้าตาตื่นมากล่าวรายงานเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวทันควัน “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
อนุภรรยาเว่ยยังคงฉุดรั้งชายกระโปรงของติงหลั้วเหยียนไม่ยอมปล่อย “ต้าเส้าหน่ายนายเจ้าคะ…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกทั้งน้ำตานองหน้า
ติงหลั้วเหยียนเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ตอนนี้พวกเรามีธุระอื่น เรื่องของเจ้าเอาไว้กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที” นางแกะมืออันเหนียวหนึบของอนุภรรยาเว่ยขณะกล่าว
ทั้งสามคนรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกส่วนหน้า
ภายในโถงรับแขกส่วนหน้า ฮว๋าเหวินไป่กลับออกไปแล้ว หลี่หมิงอวินเห็นทั้งสามคนเดินตามๆ กันมา เขาจึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับแล้วเอ่ย “เมื่อครู่ฝ่ายตรวจการลาดตระเวนมารายง่านว่า เกิดเรื่องกับท่านพ่อระหว่างทาง เขาจึงถูกส่งตัวกลับมายังเมืองหลวง เวลานี้ท่านพี่ฮว๋ากำลังเร่งรีบไปช่วยชีวิตเขา”
หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “สรุปแล้วเกิดเรื่องอันใดกับท่านพ่อหรือ” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ
หลี่หมิงอวินมองดูสตรีทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้าง จึงดึงหลี่หมิงเจ๋อไปอีกด้านหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระซิบกระซาบ หลังจากนั้นเห็นเพียงสีหน้าของหลี่หมิงเจ๋อที่ซีดเผือดและกล่าวขึ้นมาด้วยความร้อนรนใจ “เช่นนั้นยังมัวรออันใดอยู่อีก พวกเรารีบไปดูกันหน่อยเถอะ” เขาดึงหมิงอวินให้เดินมุ่งออกไปด้านนอกขณะเอ่ย
หลินหลันรีบร้อนส่งเสียงตะโกนเรียกทั้งสอง “แล้วพวกข้าล่ะ”
หลี่หมิงอวินกับหลี่หมิงเจ๋อหันมองหน้ากัน หลังจากนั้นหมิงอวินจึงกล่าวขึ้น “พวกเจ้ารอฟังข่าวคราวอยู่ที่บ้านแล้วกัน!”
เฮ้อ! พ่อผู้ไร้ยางอายนี่ช่างลูกไม้เยอะเสียจริง จากไปแล้วแท้ๆ ยังจะมีเล่ห์กลชั่วร้ายไม่เลิกไม่ราอีก
ทันใดนั้นหลินหลันนึกบางเรื่องขึ้นมาได้จึงกล่าวด้วยความร้อนใจ “หมิงอวิน อย่าลืมล่ะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าให้ แล้วเดินไปพร้อมกับหมิงเจ๋อ
หลินหลันเฝ้ารอแล้วรอเล่า รอจนกระทั่งหยินหลิ่วพวกนางกลับมาแล้ว ทว่าหมิงอวินยังคงไม่กลับมาเสียที
ภายในห้องขังใหญ่ของสถานที่ราชการประจำเมืองหลวง ฮว๋าเหวินไป่ช่วยใส่ยาและพันแผลให้หลี่จิ้งเสียนเป็นที่เรียบร้อย
หลี่หมิงเจ๋อมองดูบิดาที่อยู่ในสภาพหมดสติ ภายในใจเต็มไปด้วยความร้อนรนใจ “ฮว๋าย่วนซื่อ ท่านพ่อข้าบาดเจ็บสาหัสหรือไม่”
ฮว๋าเหวินไป่หยิบเศษผ้าขึ้นมาเช็ดหยาดโลหิตบนมือแล้วกล่าวต่อพวกเขาในนั้น “ออกไปข้างนอกแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ทุกคนจึงพากันออกไปจากห้องขังใหญ่ เพื่อไปพูดคุยกันบริเวณห้องโถงส่วนหน้า
“บาดแผลของท่านลุงค่อนข้างสาหัสทีเดียว แม้ห้ามเลือดได้แล้ว ทว่าเข้ารับการรักษาช้าไปหน่อยจึงพลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไป ในตอนนี้ทำได้เพียงช่วยสุดความสามารถที่มีแล้ว หากพรุ่งนี้ฟื้นขึ้นมาก็อาจยังพอรักษาชะตาชีวิตเอาไว้ได้” ฮว๋าเหวินไป่บอกกล่าวตามความเป็นจริง
หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคาราวะพร้อมกล่าว “รบกวนท่านพี่ฮว๋าด้วยขอรับ”
ฮว๋าเหวินไป่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ พลางโบกมือ “พี่หลี่มิจำเป็นต้องเกรงใจไป เดี๋ยวข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน จะได้ไปจัดตัวยาดีๆ มารักษาบาดแผลสักหน่อยขอรับ”
หลี่หมิงอวินกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งแล้วคารวะส่งฮว๋าเหวินไป่เดินจากไป
สีหน้าหลี่หมิงเจ๋อราวกับรู้สึกเหลือเชื่อ พลางบ่นพึมพำ “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้…”
ใต้เท้าตู้รองเจ้าเมืองประจำเมืองหลวงกล่าวด้วยความลำบากใจ “ใต้เท้าหลี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องรายงานต่อราชสำนักด้วยความจริงที่เกิดขึ้นนะขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า บิดาเป็นนักโทษของราชสำนัก เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจึงเป็นธรรมดาที่ต้องรายงานต่อราชสำนัก “ใต้เท้าตู้ปฏิบัติตามหน้าที่เถิดขอรับ มิจำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจแต่อย่างใด หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่ขอรับ”
ใต้เท้าตู้เผยสีหน้าผ่อนคลายขึ้น เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ว่าตระกูลหลี่เกิดเรื่องขั้นนี้แล้วแท้ๆ ทว่าหลี่หมิงอวินไม่เพียงแต่ไม่ได้รับโทษทัณฑ์ไปด้วย ฮ่องเต้ยังคงมอบหมายภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งให้แก่เขาอีก การที่ฮ่องเต้ให้ความโปรดปรานต่อหมิงอวินเพียงนี้ หากการออกไปทำหน้าที่ทูตของหมิงอวินในครานี้กลับมาอย่างราบรื่นได้ เกรงว่าหน้าที่การงานในภายภาคหน้าคงไร้ขีดจำกัดเป็นแน่ จึงเกิดความนึกคิดอยากซื้อใจของหลี่หมิงอวินสักหน่อย “ข้าจะรายงานทางราชสำนักไปว่าใต้เท้าหลี่เกิดล้มป่วยกะทันหันระหว่างคุ้มกันเดินทางออกนอกเมือง ด้วยอาการไม่สู้ดีนักจึงอนุญาตพาตัวเขากลับมายังเมืองหลวงเสียก่อน ไว้รอรักษาหายดีแล้วค่อยคุมตัวไปส่งยังถิ่นแดนไกลอีกที”
หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าว “ขอบคุณการผ่อนผันของใต้เท้าตู้ขอรับ ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากรบกวนท่าน”
ใต้เท้าตู้กล่าวด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “เชิญใต้เท้าหลี่ว่ามาได้เลยขอรับ”
“ข้าอยากเห็นหน้าค่าตาสตรีที่เป็นคนทำร้ายผู้นั้นขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว
ใต้เท้าตู้เผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวสั่งการคนใต้บัญชา “พาใต้เท้าหลี่ไปพบสตรีบ้าคลั่งผู้นั้น ค่อยระมัดระวังปกป้องใต้เท้าหลี่ไว้ด้วย อย่าให้สตรีบ้าคลั่งผู้นั้นทำร้ายอันใดขึ้นมาอีก”
เมื่อนึกถึงคราบเลือดบริเวณที่หลี่จิ้งเสียนได้รับบาดเจ็บนั่น ใต้เท้าตู้ถึงกับอดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ สตรีผู้นี้ไปมีความเคียดแค้นอันใดกับหลี่จิ้งเสียนกันแน่ถึงได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมปานนี้ หลี่จิ้งเสียนที่น่าสงสาร ต่อให้รักษาชีวิตรอดปลอดภัยได้ก็คงกลายเป็นคนไร้ค่าเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะพร้อมกล่าวขอบคุณ หลังจากนั้นจึงเดินติดตามเจ้าหน้าที่ขุนนางผู้นั้นไปยังห้องขังสตรีพร้อมด้วยหมิงเจ๋อ
หลี่หมิงเจ๋อกัดฟันแน่นตลอดทาง “สตรีบ้าผู้นี้ช่างอำมหิตเสียจริง น้องรอง เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ใต้เท้าตู้ลงโทษนางสตรีชั่วร้ายผู้นี้ด้วยโทษสถานหนักไปเสียเลย”
หลี่หมิงอวินชำเลืองตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่หมิงเจ๋อยังคาดเดาไม่ได้หรือว่าสตรีบ้าคลั่งที่ว่านี้เป็นใคร ยังจะมีผู้ใดเคียดแค้นถึงขั้นฆ่าบิดาได้อีกหรือ คงต้องขอเอ่ยว่า การลงมือครานี้ของนางฮานนับว่าอำมหิตอย่างยิ่ง นางไม่ฆ่าเจ้า แต่ทำให้เจ้าไร้ความหมาย ทำให้ชั่วชีวิตของเจ้าหมดสภาพความเป็นคนอีกต่อไป การโจมตีเช่นนี้ สำหรับบิดาเขาถือเป็นสิ่งที่หนักหน่วงที่สุดก็ว่าได้