ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 230 ชัยชนะแรกในการสู้รบ
ผู้ที่ค้นพบความไม่ชอบมาพากลทางด้านช่องเขาหลิงอู่กลับไม่ใช่คนสอดแนม แต่เป็นนายทหารที่หยางว่านหลี่ส่งออกไป เหล่าแม่ทัพจึงรีบมารวมตัวกันบริเวณหนึ่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาหาบริเวณที่พอจะบังลมได้เพื่อรับฟังคำกล่าวรายงานของทหารชั้นผู้น้อย ฉินเฉิงว่างเสนอหน้าเข้ามาด้วยความใส่ใจอย่างยิ่งเช่นกัน เพียงแต่สำหรับเขามันคือการใส่ใจความปลอดภัยของตนเองเสียมากกว่า
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ไปแจ้งทหารรักษาการณ์ทางด้านปากช่องเขาหลิงอู่ว่า กลุ่มเราต้องการผ่านทางช่องเขาไปเพื่อจะได้หาที่หลบพายุหิมะ ทหารรักษาการณ์ของช่องเขากลับซักถามเราอย่างระแวดระวังว่ามีจำนวนคนเท่าใด ต้องการไปแห่งหนใด ข้าน้อยเคยอารักขาเพื่อผ่านช่องเขาหลิงอู่มานักต่อนัก ช่องเขาหลิงอู่จะมีทหารรักษาการณ์อยู่แค่สามร้อยนายเท่านั้น ที่เฝ้าประตูก็มีไม่กี่คน ต่อให้ไม่ถึงขั้นเรียกชื่อได้ทุกนาย แต่ทั้งหมดล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าทหารรักษาการณ์นั่นดูหน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย ข้าน้อยจึงไม่รีบให้คำตอบกลับไป โดยได้ย้อนถามเขาไปว่าวันนี้โจวเชวียนไม่มาผลัดเวรยามหรือ ทหารรักษาการณ์นั่นพยักหน้าอย่างคลุมเครือ แล้วเร่งรีบซักถามข้าน้อยขึ้นมาอีกครั้ง ข้าน้อยจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะโจวเชวียนคือช่างคุมเตาไฟเครื่องจักร แล้วเขาจะมาผลัดเวรได้อย่างไรกัน ข้าน้อยก็เลยตอบเขาไปว่า เราเป็นผู้ส่งเสบียงอาหาร กำลังจะมุ่งหน้าไปซาอี เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่ามีจำนวนกี่คน ข้าน้อยไม่กล้าพูดมากก็เลยตอบไปว่าห้าร้อยนาย อยากอาศัยสถานที่ทางด้านพวกเขาหลบพายุหิมะสักหน่อย เขาเลยเอ่ยขึ้นมาว่าต้องไปขอความคิดเห็นสักหน่อย ไม่นานนักเขากลับมาบอกกล่าวข้าน้อยว่าได้ ข้าน้อยอาศัยช่วงที่เขากลับเข้าไปรายงานแอบสังเกตสถานการณ์บริเวณช่องเขาหลิงอู่ จึงค้นพบว่ารูปแบบด่านด้านหน้าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ข้าน้อยพูดคุยกับเขาอีกสองสามประโยคหลังจากนั้นจึงรีบกลับมารายงานขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยบอกกล่าวสถานการณ์อย่างละเอียดในคราเดียว
หยางว่านหลี่คุ้นเคยพื้นที่ผืนนี้ เขามีสิทธิ์ออกคำสั่งมากที่สุด หนิงซิ่งจึงให้เขาเป็นฝ่ายออกคำสั่งมาก่อน
หยางว่านหลี่เผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังระหว่างครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “จากสถานการณ์ที่เห็น ช่องเขาหลิงอู่ถูกพวกทู่เจวี๋ยยึดครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เขาชักดาบยาวที่อยู่ช่วงเอวออกมาขณะกล่าว แล้วจรดปลายดาบลากลงบนพื้นหิมะพลางกล่าวอธิบาย “จากเซิ่งโจวไปถึงซาอี ระหว่างทางต้องผ่านช่องเขาทั้งหมดสามแห่ง ก่อนหน้านี้พวกเราข้ามผ่านช่องเขาชิงเฟิงมาแล้ว เมื่อผ่านช่องเขาหลิงอู่ไปได้ก็จะเป็นไป๋หู่กวน เกรงก็แต่ว่าไป๋หู่กวนที่อยู่เบื้องหน้าก็คงถูกตีพ่ายแล้วเช่นกัน”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี เส้นทางนี้ไปต่อมิได้แล้ว พวกเรารีบเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นกันเถอะ” ฉินเฉิงว่างตีโพยตีพายด้วยความกลัวตายทันทีที่ได้ยินว่ามีภัยอันตราย น้ำเสียงที่สั่นเครือนั้น ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะตื่นกลัวหรือเพราะหนาวสั่นกันแน่
ฉินเฉิงว่างเป็นรองทูต ทุกคนจึงไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าว่าเขามันเป็นไอ้ขี้ขลาดเสมือนหนูตัวเล็กๆ ทว่าภายในใจล้วนพากันตำหนิเหยียดหยามเขา เมื่อมองท่าทีอันสุขุมเยือกเย็นของใต้เท้าหลี่แล้วนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ทุกคนยิ่งนึกดูหมิ่นเหยียดหยามฉินเฉิงว่างขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
“มิได้หรอกขอรับ เวลานี้พายุหิมะปิดทางช่องเขาเล็กๆ น้อยๆ ไปหมดแล้ว อีกทั้งยังมองเส้นทางไม่ชัดเจน หากถอยหลัง เกรงว่าจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ หากรออยู่บริเวณนี้ ต่อให้ชาวทู่เจวี๋ยไม่มารังควาน แต่ด้วยพายุหิมะตกหนักเพียงนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ บรรดาทหารคงได้หนาวตายเช่นกันขอรับ” หยางว่านหลี่กล่าวโต้แย้งกลับไปทันควัน
หลี่หมิงอวินเอ่ยถามทหารชั้นผู้น้อยคนนั้น “ที่ว่าช่องเขาหลิงอู่ไม่ชอบมาพากล เจ้ามั่นใจจริงๆ ใช่หรือไม่”
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยเอาหัวเป็นประกันได้เลยขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยถามหยางว่านหลี่อีกครั้ง “บริเวณสามปากช่องนี้หากมีบริเวณหนึ่งเผชิญภัยอันตราย จะแจ้งช่องเขาอื่นๆ ให้ทราบได้อย่างไรหรือ”
หยางว่านหลี่กล่าว “จะจุดไฟเป็นสัญญาณขึ้นมาขอรับ เพราะเส้นทางเทือกเขามีความอันตราย พวกเราจึงเดินทางอย่างเชื่องช้า ตามจริงตำแหน่งของทั้งสามช่องเขาไม่ได้ห่างไกลกันแต่อย่างใด การจุดไฟเป็นสัญญาณจึงมองเห็นถึงกันได้ขอรับ”
ทุกคนอดเงยหน้ามองท้องนภาที่เต็มไปด้วยพายุหิมะไม่ได้ หิมะตกหนักเช่นนี้ต่อให้จุดไฟเป็นสัญญาณขึ้นมาได้แล้วใครกันจะมองเห็นได้ แต่จะเห็นได้ว่าการป้องกันที่ดูเสมือนถูกวางไว้อย่างหนาแน่น จริงๆ แล้วยังมีจุดบอดอยู่บ้าง
ทุกคนอดรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งไม่ได้ โชคดีที่นายทหารที่ส่งไปบอกกล่าวมีไหวพริบ หากบุ่มบ่ามเข้าสู่ปากช่องเขาแล้วคงไม่ต่างจากลูกแกะเข้าปากเสือ ใครจะรู้ว่าหลังช่องเขานั่นมีทหารทู่เจวี๋ยจำนวนกี่นาย
หนิงซิ่งขมวดคิ้วก่อนกล่าวขึ้นฉับพลัน “ในเมื่อไม่มีทางให้ถอย เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันเพื่อข้ามผ่านไป” สายตาดุดันของเขากวาดมองบรรดาแม่ทัพเบื้องหน้าขณะเอ่ย
รองแม่ทัพเก๋อเปียวเก๋อแห่งค่ายซีซานขานรับเป็นคนแรก “ข้าน้อยยินดีนำหน้าบุกเข้าสู่ช่องเขา เก็บกวาดไอ้พวกสารเลวทู่เจวี๋ยให้สิ้นซากขอรับ”
แม่ทัพอีกจำนวนหนึ่งที่เหลือก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน พวกเขาต่างยินยอมพุ่งเขาใส่ ไม่รีรอที่จะเสนอตัวน้อมรับคำบัญชาเพื่อวิ่งเข้าสู่การสู้รบเป็นคนแรก ทว่าแม่ทัพของค่ายเป่ยซานกลับมองดูความประสงค์ของหม่าโหยวเหลียง หม่าโหยวเหลียงไม่เอ่ยปาก พวกเขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ
หนิงซิ่งเข้าใจความนึกคิดในใจของหม่าโหยวเหลียงเป็นอย่างดี กลัวว่าเขาจะคว้าบรรดาพี่ๆ น้องๆ แห่งค่ายเป่ยซานมาเป็นผู้ตั้งรับด่านหน้าไม่ใช่หรือ ได้ ผลงานชั้นยอดนี้พวกเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นพวกเราค่ายซีซานขอคว้าไปเองก็ย่อมได้ เชิญพวกเจ้าค่ายเป่ยซานหดหัวกลับเข้าไปในกระดองอยู่ด้านหลังนั่นได้เลย
เรื่องของการจัดกองกำลังทหารประเภทนี้เป็นหน้าที่ของหนิงซิ่ง หลี่หมิงอวินจึงไม่ออกคำสั่งใดๆ
หนิงซิ่งยกมือขึ้นปัดไหล่ กลุ่มแม่ทัพถึงเป็นอันเงียบสงบ เดิมคิดว่าต้องไปถึงซาอีแล้วถึงจะได้เริ่มศึก คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางโอกาสก็มาเยือนเสียแล้ว นี่จึงเป็นผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่ง! หากกลัวตายก็ไสหัวไปอยู่ท้ายกองเสียสิ หรือไม่ก็กลับบ้านไปอยู่กับภรรยาและลูกๆ นอนบนเตียงอุ่นๆ เป็นสิ้นเรื่อง ดังนั้นบรรดาแม่ทัพของค่ายซีซานจึงมองบรรดาแม่ทัพของค่ายเป่ยซานที่เอาแต่นิ่งเงียบด้วยสายตาที่เผยให้เห็นถึงการดูหมิ่นเหยียดหยาม
นี่ทำให้บรรดาแม่ทัพของค่ายเป่ยซานค่อนข้างอึดอัดใจ ก่อนหน้านี้ที่ผิงหนาน ค่ายเป่ยซานไม่ทันได้มีส่วนร่วมด้วย ทำให้ค่ายซีซานได้หน้าไปฝ่ายเดียวเต็มๆ นั่นจึงเท่ากับพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้งในการขับเคี่ยวกันอย่างลับๆ ของสองค่ายทหาร ครั้งนี้มาเยือนพื้นที่ตอนเหนือ หากให้คนของค่ายซีซานฉกฉวยไปอีก เช่นนั้นพวกเขาคงได้อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้แห่งหนใดจริงๆ ทั้งๆ ที่ภายในใจรู้สึกกระสับกระส่าย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหม่าโหยวเหลียงยังคงเผยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา ก็เพราะไม่พูดไม่จาอันใด จึงทำให้ทุกคนอึดอัดไปตามๆ กัน สีหน้าค่าตาของเขาบึ้งตึงเสียยิ่งกว่าคนท้องผูกก็ว่าได้
หนิงซิ่งเอ่ยเรียกหยางว่านหลี่ “หยางเซี่ยนเว่ย สถานการณ์หลักๆ ของช่องเขาหลิงอู่เป็นอย่างไร ท่านช่วยบอกกล่าวกับทุกคนหน่อยสิ”
หยางว่านหลี่เผยสีหน้าเคร่งขรึม ยกมือซ้ายวางไว้บนหมัดขวาในท่าทางคารวะพลางกล่าว “แม่ทัพหนิง อย่างที่ข้าได้กล่าวแจกแจงไว้ว่า ครั้งนี้ชาวทู่เจวี๋ยยกพลมาจู่โจมถึงช่องเขาหลิงอู่ จำนวนคนคงไม่ได้มากมายนัก หากกระทำการกระโตกกระตากเกินไป ก็คงไม่อาจหลุดรอดสายตาทหารสอดแนมที่ข้าส่งไปก่อนหน้านี้ได้ ข้าจึงมั่นใจว่าตอนนี้หลังช่องเขาหลิงอู่อย่างมากที่สุดคงมีทหารไม่เกินห้าร้อยนาย หากแม่ทัพเชื่อมั่นในตัวข้า ก็ขอให้ข้าพากำลังคนห้าร้อยนายบุกเข้าช่องเขาได้เลยขอรับ” เขาชำเลืองมองใต้เท้าหลี่ขณะกล่าว ตามด้วยเผยรอยยิ้มซื่อสัตย์ “เมื่อยึดช่องเขามาได้ จะได้ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้แด่ใต้เท้าหลี่กับแม่ทัพอย่างไรล่ะขอรับ”
หนิงซิ่งกับหลี่หมิงอวินมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างตระหนักเข้าใจได้ หยางเซี่ยนเว่ยมีประสบการณ์ในการสู้รบกับชาวทู่เจวี๋ยโชกโชน และยังคุ้นเคยกับสถานการณ์ของช่องเขาเป็นอย่างดี การส่งเขาไปจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด
หนิงซิ่งกล่าว “หยางเซี่ยนเว่ย ตั้งใจฟังคำสั่ง นำทหารจำนวนห้าร้อยนายตามที่ท่านกล่าวมุ่งหน้าไปโจมตีช่องเขา เก๋อเปียว เจ้าเตรียมกำลังพลที่เชี่ยวชาญการใช้ดาบจำนวนห้าร้อยนายและมือธนูสามร้อยนายเตรียมพร้อมสำหรับให้ความร่วมมือหยางเซี่ยนเว่ย เคลื่อนที่ให้ไว ต้องยึดเอาช่องเขาหลิงอู่มาให้จงได้”
ทั้งสองขานรับบัญชาอย่างขึงขังก่อนแยกย้ายไปเตรียมพร้อม
ฉินเฉิงว่างกล่าว “แม่ทัพหนิง เจ้าต้องส่งคนมาคอยอารักขาใต้เท้าหลี่ด้วยถึงจะถูก เขาเป็นถึงผู้รับบัญชาของฮ่องเต้ จะให้เกิดความผิดพลาดอันใดไปมิได้โดยเด็ดขาด”
ประโยคคำพูดดังกล่าว เสมือนเขาเป็นห่วงเป็นใยความปลอดภัยของหลี่หมิงอวิน อารักขาใต้เท้าหลี่ ไม่เท่ากับเป็นการอารักขาตัวเขาเองด้วยหรอกหรือ ตนเองกลัวตายแท้ๆ ยังจะลากคนอื่นเขามาหนุนหลังให้อีก
หนิงซิ่งกระตุกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มเหยียดหยัน “กองทัพทหารข้าจำนวนห้าพันนายต่อกรกับพวกทหารทู่เจวี๋ยไม่กี่ร้อยคนยังต้องกลัวอันใดอีกหรือ หากรองทูตฉินหวาดกลัวจริงๆ ก็ให้แม่ทัพหม่าจัดเตรียมพี่ๆ น้องๆ ของค่ายเป่ยซานไว้อารักขาท่านรองทูตสิขอรับ!”
แม้จะเป็นการเอาชีวิตไปเดิมพัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงต้องแสดงท่าทีชาญฉลาดออกมาให้เห็นกันบ้าง รองทูตฉินจึงสรรหาวาทกรรมที่ฟังดูสมเหตุสมผลมากล่าว “แม่ทัพหนิงอย่าได้เข้าใจผิดไป ครั้งนี้หน้าที่สำคัญของพวกเจ้าคือการอารักขาใต้เท้าหลี่ รักษาความปลอดภัยของใต้เท้าหลี่ ข้าก็แค่คำนึงสิ่งนี้เท่านั้นเอง”
ฉินเฉิงว่างยอมขายหน้าได้ หม่าโหยวเหลียงทำตัวเป็นผู้ชมขอบสนามได้ ทว่าบรรดาพี่ๆ น้องๆ ของค่ายเป่ยซานไม่อาจทนรับได้ จึงมีคนกล่าวพึมพำขึ้นมา “พวกเราพี่น้องแห่งค่ายเป่ยซานก็มิใช่พวกประเภทขี้ขลาดตา…”
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ หม่าโหยวเหลียงจ้องเขม็งมองไป คนผู้นั้นหยุดชะงักคำพูดอย่างจำใจ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หม่าโหยวเหลียงก็คงสูญเสียความพึงพอใจของคนอื่นๆ ลงไปเรื่อยๆ มาถึงที่นี่กันแล้วแท้ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้ หากเขายังเอาแต่คำนึงถึงตนเอง ไม่ช้าก็เร็วตนเองคงได้ทำให้ตนเองถูกเกลียดขี้หน้าไปด้วยจนได้
ทหารที่ไม่ต้องไปลงสนามสู้รบก็ไม่ใช่ว่าจะมัวอยู่เฉยๆ กันได้ หนิงซิ่งสั่งการให้ทหารทุกนายเตรียมพร้อมสู้รบทุกเมื่อ ทุกคนรับคำบัญชาแล้วแยกย้ายไปเตรียมพร้อม
ฉินเฉิงว่างรีบเข้าไปหลบพายุหิมะในรถม้า แล้วยังให้บรรดาทหารมาคอยอารักขาอยู่ด้านหน้าเขาอย่างหนาแน่นเป็นสิบชั้นแถว ถึงเป็นอันวางใจลงได้
หลินหลันกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการตรวจนับวัตถุดิบยา ระหว่างที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือว่าจะยึดครองช่องเขาหลิงอู่ได้อย่างไร นางได้ยินว่ายามที่ข้ามผ่านเส้นทางขนาดเล็กและขรุขระ มีรถบรรทุกเสบียงร่วงหล่นหน้าผาไป นางจึงเกรงว่าวัตถุดิบยาจะได้รับความเสียหายไปด้วย แต่หลังได้ตรวจนับวัตถุดิบยาเป็นที่เรียบร้อย ถึงค้นพบว่าวัตถุดิบยายังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ หลินหลันจึงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความโล่งอก
องครักษ์ข้างกายหลี่หมิงอวินมาหาหลินหลัน หลินหลันจึงรีบติดตามไป หลี่หมิงอวินถึงเป็นอันคลายความกังวลลงได้เมื่อเห็นหลินหลัน
“เมื่อครู่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเลยไม่ทันได้มาหาเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ายังสบายดีใช่หรือไม่” แม้หลินหลันยังยืนตัวเป็นๆ อยู่เบื้องหน้าเขา แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปยังเส้นทางช่วงก่อนหน้า มันยังคงชวนให้เขาขาสั่นไม่หายก็ว่าได้ แล้วนับประสาอันใดกับหลินหลันที่เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง
หลินหลันกลับเผยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “ข้าจะเป็นไรไปได้หรือ เมื่อก่อนปีนเขาไปเก็บสมุนไพรเส้นทางอันตรายกว่านี้ด้วยซ้ำ สำหรับข้านี่จึงไม่ต่างจากการเดินบนพื้นราบเรียบ เพียงแต่หิมะนี่มันตกหนักเกินไปจริงๆ ข้าก็เลยเป็นกังวลว่าวัตถุดิบยาจะได้รับความเสียหาย ยังดีที่สวรรค์ช่วยปกปักษ์รักษาไว้ เมื่อครู่ข้าได้ลองไปตรวจนับดูรอบหนึ่ง จึงได้รู้ว่ามันยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี”
หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “เจ้านี่นะ! อย่าเอาแต่สนใจวัตถุดิบยาเหล่านั้นอยู่เรื่อย ความปลอดภัยของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า”
“จะได้อย่างไรกัน เสบียงลดน้อยลงไปแล้วก็แค่ทุกคนต้องอดทนหิวไปสองสามมื้อ แต่หากวัตถุดิบยาลดน้อยลงไป มันเท่ากับชีวิตคนเชียวนะ” หลินหลันเบิกตาโตโต้เถียงเขา
หลี่หมิงอวินรู้ดีว่าตนเองไม่อาจพูดเอาชนะนางได้ จึงทำเพียงฉีกยิ้มขมขื่นให้ “ช่องเขาด้านหน้าเป็นไปได้ว่าถูกชาวทู่เจวี๋ยยึดครองไว้แล้ว ตอนนี้ใต้เท้าหยางนำกำลังทหารมุ่งหน้าไปโจมตี เกรงว่าจะมีฉากการสู้รบอันดุเดือด เจ้าคอยอยู่ข้างๆ ข้าไว้ ห้ามหายไปไหนทั้งสิ้น”
หลินหลันได้ฟังเรื่องทางช่องเขานั่นมาบ้างแล้ว ทว่านางไม่รู้สึกเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย นางแอบสังเกตในยามที่ผ่านช่องเขาชิงเฟิงมา จากลักษณะพื้นที่ดังกล่าวต่อให้ยัดคนเข้ามาจนเต็มก็คงได้ไม่เกินเจ็ดแปดร้อยคนเท่านั้น ขณะที่ทางด้านนี้มีจำนวนทหารถึงห้าพันกว่านาย!
หลินหลันหันมาเป็นฝ่ายกล่าวปลอบใจเขา “นี่คงเป็นเพียงศัตรูกลุ่มเล็กๆ ที่มาแอบโจมตีกระมัง พวกเราจำนวนคนมากมายเพียงนี้ ไม่ต้องกลัวพวกเขาหรอก ถือเสียว่าได้เอามาเป็นเครื่องมือฝึกซ้อม จะได้สร้างความฮึกเหิมขึ้นมาด้วยอย่างไรล่ะ”
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เจ้าดูมีราศีในการเป็นแม่ทัพกับเขาเหมือนกันนะ”
หลินหลันคัดค้าน “ต่อให้แม่ทัพใหญ่ของพวกทู่เจวี๋ยมาเยือน พวกเราก็อย่าได้เกรงกลัวไปเชียว! การสู้รบมิใช่มีเพียงกลยุทธ์และทักษะการต่อสู้ก็เป็นพอ ประเด็นสำคัญคือต้องมีความกล้าหาญอีกด้วย หากตนเองขี้ขลาดตาขาว ยังไม่ทันเริ่มรบก็พ่ายแพ้ไปสามส่วนแล้วก็ว่าได้” ตามจริงเรื่องของการสู้รบ หลินหลันไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย แต่นางรู้หลักการหนึ่งที่ว่า การเผชิญหน้าศัตรูบนเส้นทางแคบไร้หนทางให้ถอยหลัง ผู้ใดกล้าหาญ ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายชนะ
จ้าวจัวอีผู้รับผิดชอบอารักขาหลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้เป็นเป็นสตรีที่ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเลยนะขอรับ ประโยคเช่นนี้ควรเรียกรองทูตฉินมาสดับรับฟังนะขอรับ”
หลี่หมิงอวินหันไปจ้องเขม็งใส่ จ้าวจัวอีจึงหัวเราะเจื่อนและสงบปากสงบคำแต่โดยดี
จ้าวจัวอีเป็นคนใต้บังคับบัญชาของหลินเฟิงซึ่งมีฝีมือดีมากที่สุด ศิลปะการต่อสู้ก็ล้ำเลิศอย่างยิ่งเช่นกัน หลินเฟิงจึงให้เขานำคนอีกสิบกว่าคนมาคอยอยู่ข้างกายหลี่หมิงอวินเพื่อให้การอารักขา
หลังเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงจึงได้รับการรายงานจากด้านหน้าว่ายึดช่องเขาหลิงอู่ไว้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปลิดชีพทหารคู่ต่อสู้ไปทั้งหมดสามร้อยนาย ชาวทหารจึงพากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจพร้อมกับหยาดโลหิตในกายที่เดิมทีแทบแข็งทื่อกลับเดือดพลุ่งพล่านขึ้นมา