ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 243 กลวิธีในการเจรจา
บุตรชายคนโตของครอบครัวเว่ยเดินพ้นประตูเข้ามา เห็นหลี่หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนกำลังมีดวงตาขึงขัง ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว อารมณ์ราวกับต้องการกลืนกินคนทั้งๆ ก็ว่าได้
“ยังมีอันใดให้ต้องเจรจาอีก หากไม่ตอบตกลงนำป้ายวิญญาณน้องสาวข้าเข้าโถงบรรพบุรุษ ก็ไม่มีอันใดต้องเจรจาทั้งนั้น” บุตรชายคนโตครอบครัวเว่ยเผยท่าทีแข็งข้อสุดฤทธิ์ ความยืนกรานคอแข็งนั่น ทำให้เส้นโลหิตใต้ผิวหนังผุดออกมา
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “ความต้องการของเจ้านี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ไปลองถามบ้านอื่นดูสิว่า เขามีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างการนำป้ายวิญญาณอนุภรรยาเข้าโถงบรรพบุรุษกันหรือ”
“ทำไมข้าต้องธรรมเนียมปฏิบัติบ้าบออันใดของเจ้าด้วย น้องสาวข้าตายไปพร้อมความคับแค้นใจ ข้าไม่อาจปล่อยให้นางเป็นวิญญาณเร่ร่อนได้” บุตรชายคนโตของครอบครัวเว่ยยืนกรานคอแข็ง กล่าวพลางจ้องเขม็ง “ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ตอบตกลง น้องสาวข้าก็จะไม่ได้ฝังลงดิน ก็เอาวางไว้ปากประตูบ้านพวกเจ้านี่ละ”
ติงหลั้วเหยียนมองดูหลินหลันด้วยความรู้สึกจนปัญญา ราวกับกำลังเอื้อนเอ่ยว่า เจ้าได้ยินแล้วสินะ! พวกเขาก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจเจรจาอันใดด้วยได้เลย
หลินหลันควบคุมสีหน้าให้ดูอารมณ์ดี เผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง แล้วกล่าวพร้อมกับก้าวเดินขึ้นไปเบื้องหน้า “บุตรชายสกุลเว่ย ช่วยฟังข้าพูดสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
บุตรชายคนโตของครอบครัวเว่ยถอนสายตาโกรธเคืองที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าหลี่หมิงเจ๋อในตอนแรก เบนสายตามองไปยังหลินหลัน ซึ่งก็เต็มไปด้วยการตั้งแง่เช่นกัน
หลินหลันกล่าว “ข้าเป็นนายหญิงสะใภ้รองของตระกูลหลี่”
สีหน้าของบุตรชายคนโตแห่งครอบครัวเว่ยคลายความบึ้งตึงลงเล็กน้อย เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเรืองนามของนายหญิงสะใภ้รองของตระกูลหลี่ ในเมืองหลวง นายหญิงสะใภ้รองตระกูลมีชื่อเสียงอันดีงามยิ่ง ผู้คนขนานนามว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่เมื่อนึกได้ว่า คนเขาเป็นคนของตระกูลหลี่ คงต้องช่วยพูดให้ตระกูลหลี่เป็นแน่ สีหน้าของบุตรคนโตครอบครัวเว่ยจึงเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง
“วันนี้ข้าเพิ่งเดินทางจากชายแดนมาถึงเมืองหลวง เรื่องของเว่ยอี๋เหนียง ข้าเองก็รู้สึกเสียใจมากเช่นกัน ในความทรงจำข้า เว่ยอี๋เหนียงเป็นสตรีที่อ่อนโยนเรียบร้อย และรู้จักหน้าที่ของตนเองผู้หนึ่ง นางก็เป็นคนที่พี่สะใภ้ใหญ่ข้าให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้มากที่สุด ดังนั้น ผู้ที่เจ็บปวดใจเรื่องเว่ยอี๋เหนียง มิได้มีเพียงพวกเจ้าเท่านั้น ข้าเชื่อว่าพวกเราตระกูลหลี่ทุกคนล้วนเสียใจอย่างสุดซึ้งเช่นกัน…น่าเสียดาย เรื่องราวมันเกิดขึ้นไปแล้ว มาซักไซ้ไล่เรียงว่าผู้ใดกระทำผิดต่อผู้ใดในตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่อาจช่วยให้เว่ยอี๋เหนียงฟื้นขึ้นมาได้ บุตรชายสกุลเว่ย ความรู้สึกของพวกเจ้า ข้าเข้าใจได้ พวกเจ้าก็คาดวังให้เว่ยอี๋เหนียงไปสู่สุคติได้เช่นกัน”
นายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่ไม่ได้แก้ต่างให้ตระกูลหลี่ทันทีที่เอ่ยปาก ไม่ได้ระบุว่าความต้องการของพวกเขามันไร้เหตุผลและมากเกินไป ซึ่งนี่ทำให้บุตรชายคนโตครอบครัวเว่ยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึกเป็นอริต่อนายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่จึงอ่อนลงไปมาก คำพูดของนางยังพอสดับรับฟังได้
“การเสียชีวิตของคนเราประดุจแสงเทียนที่มอดดับ และพวกเราคนที่ยังมีชีวิตอยู่เหล่านี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงทำให้ความปรารถนาของนางเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่สำเร็จ ซึ่งครอบครัวก็เป็นผู้ที่ผูกพันห่วงใยมากที่สุด ดังนั้น พวกเราตระกูลหลี่จะช่วยดูแลครอบครัวนางให้ดี บุตรชายสกุลเว่ย ได้ยินว่าพี่สะใภ้ของเว่ยอี๋เหนียงตั้งครรภ์อีกคน มารดาของเจ้าสุขภาพร่างกายก็ไม่สู้ดีนัก...” หลินหลันถอนหายใจ พลางสังเกตสีหน้าของบุตรชายครอบครัวเว่ย
ปรากฏว่า เมื่อกล่าวถึงความยากลำบากของครอบครัวเว่ย บุตรชายครอบครัวเว่ยกลับมีสีหน้าหมองหม่นลงทันใด ไม่แข็งกร้าวดังเช่นตอนแรกอีก เพียงช่วงเวลาชั่วพริบตาเดียว เขาเงยหน้าขึ้นกะทันหัน แล้วกล่าวปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการเงินของพวกเจ้า”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวานและกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้ามีไร่สวนอยู่นอกเมือง ยามนี้กำลังขาดแคลนคนงานพอดี หากเจ้าเต็มใจ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะมาช่วยจัดการภาระงานในไร่สวนได้ ใช้คนของตนเองข้าถึงจะค่อนข้างวางใจ แม้เงินเดือนไม่ได้สูงมากมาย แต่ก็เพียงพอให้พวกเจ้าได้เลี้ยงปากท้องไร้ทั้งครอบครัวความกังวล และจะว่าไป เว่ยอี๋เหนียงที่อยู่ในอีกภพภูมิก็คงสบายใจด้วยเช่นกัน”
บุตรชายของครอบครัวเว่ยเผยสีหน้าลังเลใจ ไม่เชื่อถืออยู่เล็กน้อย
หลินหลันจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “สัญญาการทำงานในไร่ ล้วนเป็นการลงนามห้าปีครั้ง หรือสิบปีครั้ง หากทำงานดี จะมีการปรับเงินเดือนให้และต่อสัญญา ภายภาคหน้า ข้ายังคิดจะรับลูกศิษย์สักกลุ่มหนึ่ง เพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับทักษะการรักษา บรรดาลูกหลานของคนในไร่สวนและร้านยาของตนเอง จะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก ภายภาคหน้า คนเหล่านี้ล้วนต้องเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง”
สีหน้าของบุตรชายครอบครัวเว่ยค่อยๆ เปลี่ยนจากลังเลใจเป็นคล้อยตาม นัยน์ตาเป็นประกายพร่างพราว ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน คล้ายกับกำลังหาเหตุผลที่โน้มน้าวตนเองได้มากขึ้น
ติงหลั้วเหยียนและหลี่หมิงเจ๋อมองดูบุตรชายครอบครัวเว่ยด้วยความกังวล รอคอยการเอ่ยปากของเขา ขอเพียงเขาตอบตกลง เรื่องนี้ก็ถือได้ว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลินหลันกล่าวเสริมด้วยความจริงใจอย่างยิ่งอีกระรอก “บุตรชายสกุลเว่ย ข้าไม่มีความสามารถอื่น ที่ทำเพื่อเว่ยอี๋เหนียงได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้ แต่ขอให้เจ้าเชื่อมั่นว่า พวกเราตระกูลหลี่มีความจริงใจเชื่อถือได้”
หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ส่วนเรื่องนำเว่ยอี๋เหนียงเข้าสุสานบรรพบุรุษ ตามจริงข้าก็หวังว่าจะทำเช่นนี้ได้ เพียงแต่ เจ้าก็รู้เช่นกัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติบ้านเมืองเรา อนุภรรยาที่ไม่มีบุตรสืบทอดให้วงศ์ตระกูล หลังเสียชีวิตไปแล้วจะเข้าร่วมสุสานบรรพบุรุษไม่ได้ หากทำเช่นนี้จริง ตระกูลหลี่พวกเราจะถูกผู้คนกล่าวตำหนิก็ช่าง เกรงก็แต่ว่าเว่ยอี๋เหนียงจะถูกผู้คนเขาประณามด้วยน่ะสิ จึงคิดว่านางอยู่ใต้พื้นดินก็คงไม่เป็นสุข ข้ากับพี่สะใภ้เลยปรึกษาหารือกัน และคิดว่าวิธีการประนีประนอมขึ้นมาได้ โดยการสร้างสุสานให้เว่ยอี๋เหนียง ในพื้นที่รอบนอกของสุสานบรรพบุรุษตระกูลหลี่ เช่นนี้ ทั้งไม่เป็นการขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ และเว่ยอี๋เหนียงก็ไม่ต้องโดดเดี่ยว บุตรชายครอบครัวเว่ย เจ้าคิดว่าการจัดการเช่นนี้ดีหรือไม่”
ติงหลั้วเหยียนอดรู้สึกละอายใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ เหตุใดนางคิดวิธีการประนีประนอมเช่นนี้ขึ้นมาไม่ได้ ทันทีที่เผชิญปัญหาก็เกิดความสับสนวุ่นวายอยู่กับตัวเองเป็นอันดับแรกจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอเป็นหลินหลันที่เผชิญปัญหา กลับสงบนิ่งและไตร่ตรองได้อย่างละเอียดรอบคอบ
“บุตรชายสกุลเว่ย หลู่ฉีเริ่มติดตามข้าเมื่อนางอายุเก้าปี ข้าเห็นนางเป็นเสมือนน้องสาวคนหนึ่งมาโดยตลอด เมื่อเกิดเรื่องอันเศร้าโศกเช่นนี้ขึ้น ทุกคนล้วนรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งทั้งนั้น หากธรรมเนียมปฏิบัติอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ มิต้องให้เจ้าเอ่ยปาก ข้าก็จะทำเช่นนั้น” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สีหน้าของบุตรชายสกุลเว่ยดูดีขึ้นมาหน่อย เขาก็รู้ตัวเช่นกันว่าความต้องการของตนเองไม่เหมาะสม เพียงแต่อยู่ดีๆ คนคนหนึ่งก็ตายจากไปเสียดื้อๆ เขาจึงไม่อาจอดกลั้นความโกรธเคืองนี้ได้ ยามนี้ นายหญิงสะใภ้รองเสนอวิธีการประนีประนอมนี้ขึ้นมา กลับยังพอให้พิจารณาได้บ้าง
“บุตรชายสกุลเว่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองให้ดีๆ เพื่อเว่ยอี๋เหนียง เพื่อสกุลเว่ยของเจ้า พูดตามจริง พวกเราตระกูลหลี่มิได้กลัวการที่พวกเจ้าโวยวายก่อปัญหาแต่อย่างใด แต่ไหนแต่ไรมาได้ยินเพียงว่าการจะเลิกรากับภรรยาหลวงสักคนต้องสรรหาเหตุผลมาอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดส่วน ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินว่าการจะเลิกรากับอนุภรรยาสักคนต้องสรรหาเหตุผลอันใดมาให้ ก็แค่ขับไล่คนเขาออกไปโดยตรงกันทั้งนั้น มีน้ำใจงามหน่อยก็ให้ค่าแยกจากกันเล็กๆ น้อยๆ ส่วนที่ไร้น้ำใจ เจ้าจะไปตายที่ไหนก็หาได้สนใจใยดีไม่ พี่เขยข้าถือว่าให้ความเมตตากรุณาแล้วก็ว่าได้ เขาให้คำมั่นสัญญาแก่นางไว้ว่า ตราบใดที่เว่ยอี๋เหนียงยังไม่แต่งงานใหม่ ก็จะดูแลนางไปเช่นนั้น เป็นเว่ยอี๋เหนียงเองที่ทำใจไม่ได้ จนตัดสินใจเดินไปทางผิด ทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าสลด เรื่องนี้ ว่ากันตามความรู้สึก พวกเราเองรู้สึกติดค้างนาง ว่ากันตามกฎหมาย ไม่ได้กระทำผิดอันใดเลยแม้แต่น้อย ว่ากันตามเหตุผล พวกเราเจรจาหารือกับพวกเจ้าทุกครั้งด้วยความจริงใจ บุตรชายสกุลเว่ย หากเจ้าคิดว่าไม่อาจยอมรับได้ เช่นนั้นพวกเราคงทำได้เพียงให้กฎหมายเป็นตัวตัดสินแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลหลี่เราก็มิใช่ครอบครัวขุนนางแต่อย่างใด ไม่มีอันใดต้องเป็นคำนึงถึงให้มากมายอีกแล้วเช่นกัน” น้ำเสียงของหลินหลันแข็งกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย เรียกว่าการทำให้ศัตรูร่นถอยด้วยการเดินหน้าเข้าใส่ ครอบครัวเว่ยเริ่มคล้อยตามแล้ว นางเพิ่มแรงกดดันลงไปอีกหน่อย ใช้เชือกฟางเส้นสุดท้ายในการเผด็จศึก ตราบใดที่บุตรชายครอบครัวเว่ยไม่โง่เขลาก็ควรรู้ว่าหากเรื่องราวใหญ่โตไปถึงขึ้นโรงขึ้นศาล มีแต่จะส่งผลร้ายต่อตัวเขาเท่านั้น
บุตรชายครอบครัวเว่ยกัดฟันแน่น จากนั่นจึงกล่าวต่อหลินหลัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ข้าเชื่อคำพูดของท่าน”
ทันใดนั้น คนที่อยู่เต็มห้องล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จ้าวจัวอี้สดับรับฟังอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกประทับใจในความยอดเยี่ยมของพี่สะใภ้ คนเขากล่าวว่าไม่ต้องการเงิน เช่นนั้นก็ไม่เอ่ยถึงเสนอเงินให้ แต่เป็นการให้เลี้ยงปากท้องได้ ตามจริงจะว่าไปแล้ว ครอบครัวเว่ยก็ยังต้องการเงินอยู่ดี เพียงแต่หากต้องการอย่างเปิดเผย ภายในใจตนเองคงรู้สึกรับไม่ได้ เพราะคิดว่าเป็นการเอาชีวิตของน้องสาวตนเองมาเป็นใบเบิกทาง พี่สะใภ้จึงใช้วิธีการหว่านล้อมโดยทางอ้อม ทั้งตอบสนองความต้องการของคนเขา แล้วยังรักษาหน้าของคนเขาไว้ด้วย จากนั้นก็หลอกล่อด้วยความประสงค์จะรับลูกศิษย์ สำหรับคนยากคนจน ไม่มีอะไรน่าดึงดูดได้เท่ากับอนาคตของบุตรหลานตนเอง พี่สะใภ้เล่นไพ่การแสดงความเห็นใจ เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายความตรึงเครียด จากนั้นต่อด้วยการประนีประนอม แล้วปิดท้ายด้วยการกดดันขมขู่ มีหรือครอบครัวเว่ยจะยังแข็งข้อได้อีก นี่แหละที่เรียกว่ากลยุทธ์! ซึ่งก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยจริงๆ
เห็นครอบครัวเว่ยยอมอ่อนข้อแล้ว หลินหลันจึงหยิบตั๋วเงินสองใบต้องการยัดให้บุตรชายครอบครัวเว่ย นางคิดไว้แต่แรกแล้ว หากคนเขาพูดคุยอย่างมีเหตุมีผล ก็จะให้เงินนี่แก่เขา นางผู้นี้ ไม่เคยรังแกคนซื่อสัตย์จริงใจมาแต่ไหนแต่ไร แต่หากเขาเล่นแง่ แม้แต่ตำลึงเดียวก็เลิกคิดไปได้เลย
บุตรชายครอบครัวเว่ยโบกมือระรัวพร้อมกับถอยหลังสามฝีก้าว ประหนึ่งโดนน้ำร้อนลวกมือ “ไม่ๆๆ ข้าบอกไว้แล้วว่าพวกเราไม่ต้องการเงิน”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “เงินนี่มิใช่ให้เจ้า แต่เป็นเงินให้เจ้านำไปจัดการงานศพของเว่ยอี๋เหนียง จะให้เว่ยอี๋เหนียงได้รับความอยุติธรรมมิได้ ส่วนบริเวณสุสานเดี๋ยวพวกเราตระกูลหลี่จะเป็นคนจัดการให้ ส่วนเรื่องอื่นๆ คงต้องรบกวนบุตรชายครอบครัวเว่ยลำบากหน่อยแล้วละ”
หลินหลันยืนหยัดนำเงินยัดให้บุตรชายครอบครัวเว่ยจงได้
บุตรชายครอบครัวเว่ยมองตั๋วเงินใบใหญ่ในมือ และต้องการยื่นกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึง “ใช้…ใช้ไม่มากมายเพียงนี้หรอกขอรับ…”
“เอาเก็บไว้ก่อนเถอะ อย่ากลัวสิ้นเปลือง จัดการดูให้เหมาะสม ทำให้เว่ยอี๋เหนียงได้จากไปอย่างสบายใจ พวกเราเองก็จะได้สบายใจด้วยมิใช่หรือ” หลินหลันดันกลับไป
บุตรชายครอบครัวเว่ยในเวลานี้ไร้ความโกรธแค้นอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้นยังซาบซึ้งใจต่อนายหญิงสะใภ้รองท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง เขาอยากพูดอะไรสักหน่อย แต่ด้วยความไม่รู้จักพูด จึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี จึงทำเพียงยกสองมือขึ้นคาราวะ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป
ติงหลั้วเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “น้องสะใภ้ วันนี้ขอบใจเจ้ามากจริงๆ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวขึ้นเช่นกัน “น้องสะใภ้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เจ้าเพิ่งกลับมาแท้ๆ ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อย ก็ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยใจไปด้วยเสียแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนหันไปจ้องเขม็งใส่เขา และกล่าวเชิงตำหนิ “ก็เพราะเจ้าที่ก่อปัญหาขึ้น เว่ยอี๋เหนียงไม่ดีตรงไหนหรือ เจ้าถึงต้องดื้อดึงให้นางออกไปให้จงได้”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางจะคิดสั้นเพียงนี้”
ติงหลั้วเหยียนจ้องเขม็งใส่เขาอีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปกล่าวต่อหลินหลัน “อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนนำเงินไปให้เจ้า เจ้าช่วยข้าไว้มากมายเพียงนี้แล้ว จะให้เจ้าสิ้นเปลืองเงินของเจ้าไปด้วยอีกมิได้เป็นอันขาด”
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “พี่สะใภ้นี่เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลหรือเจ้าคะ อีกทั้งมิใช่เงินทองมากมายเสียหน่อย เรื่องสุสาน พี่ใหญ่ ท่านรีบไปจัดการหน่อยแล้วกันนะเจ้าคะ พยายามให้เว่ยอี๋เหนียงได้เข้าหลุมฝังศพโดยเร็วที่สุดจะได้ไปสู่สุขติ และจะได้ไม่เกิดปัญหาอันใดขึ้นมาอีกเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าแล้วกล่าว “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ละ จริงสิ น้องสะใภ้ น้องรองสบายดีหรือไม่ ได้ยินว่าเขาคงยังกลับมาไม่ได้อีกพักหนึ่ง”
หลินหลันกล่าว “เรื่องราวถือได้ว่าดำเนินไปอย่างราบรื่น คงน่าจะกลับมาได้ในปีนี้เจ้าค่ะ!”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “เช่นนี้ข้าก็สบายใจแล้วละ” เขาเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ
หลินหลันพูดคุยกับติงหลั้วเหยียน “ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกับพี่ใหญ่ไปเจ้าค่ะ” นางรีบวิ่งตามออกไป
“พี่ใหญ่…”
หลี่หมิงเจ๋อชะงักฝีก้าวแล้วหันกลับมา
หลินหลันเดินเข้าไป เอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา “คือว่าเรื่องปี้หรูนั่น…”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าอึดอัด “ก่อนหน้านี้นางมาหาข้าที่โรงน้ำชา ข้าไม่ได้ตอบตกลงนาง…เรื่องนี้ ข้ายังปิดบังพี่สะใภ้เจ้าอยู่ เกรงว่านางจะโกรธเคือง…”
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย “ข้าเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่รีบไปทำธุระเถอะเจ้าค่ะ!”
เห็นทีว่าหรูปี้คงต้องการกลับมาอยู่ข้างกายหลี่หมิงเจ๋อ แต่ดันถูกปฏิเสธเสียได้ ด้วยเหตุนี้จึงอับอายและโกรธเคือง ประจวบเหมาะกับที่ครอบครัวเว่ยมาโวยวาย นางจึงถือโอกาสร่วมด้วย สตรีเหล่านี้ เหตุใดถึงคิดไม่ได้เช่นนี้นะ