ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 262 ยั่วยุปลุกปั่น
ข้ารับใช้นำชุดไว้ทุกข์มาให้หลี่จิ้งเหรินพร้อมบุตรชายเปลี่ยน หลี่จิ้งเหรินต้องการไปเฝ้าโลงศพหญิงชราให้ได้ หมิงต้งจึงกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อ ยามนี้ท่านพ่อยืนยังยืนไม่มั่นเลยด้วยซ้ำ แล้วจะไปเฝ้าโลงศพท่านย่าได้อย่างไรหรือ ให้ลูกไปเฝ้าแทนท่านพ่อดีกว่านะขอรับ ไว้ท่านพ่อร่างกายแข็งแรงขึ้นหน่อยแล้วค่อยไปแสดงความกตัญญูนะขอรับ ท่านย่าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ไม่มีทางตำหนิท่านพ่อเป็นแน่ขอรับ”
หมิงเจ๋อกล่าวเช่นกัน “นั่นสิขอรับอาสาม ท่านรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีๆ ก่อน พิธีศพของเหล่าไท่ไทยังต้องจัดการอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย หลานเองก็หวังพึ่งพาท่านอาสามด้วยนะขอรับ!”
ยามนี้เองหลี่จิ้งเหรินถึงได้พยักหน้าอย่างจำใจ
มีหมิงต้งและหมิงจู้อยู่ที่นี่ หมิงเจ๋อถึงพอปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องอื่นได้เสียที หลินหลันต้องไปจัดการรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ เช่นกัน โถงเซ่นไหว้วิญญาณผู้เสียชีวิตในยามนี้จึงเหลือเพียงหลี้จิ้งอี้และพี่น้องหมิงต้งสามคน
หลี่จิ้งอี้เห็นหมิงเจ๋อและหลินหลันต่างเดินออกไปแล้ว จึงกลับมายังห้องด้านข้างอีกครั้ง
“น้องสาม เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อคำสั่งเสียของเหล่าไท่ไทหรือ” หลี่จิ้งอี้เอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมา
หลี่จิ้งเหรินยังคงจมปลักอยู่ในความเศร้าโศก จึงกล่าวอย่างหดหู่ใจ “ในเมื่อเป็นคำสั่งเสียของเหล่าไท่ไท พวกเราในฐานะบุตร แน่นอนว่าต้องเคารพมัน”
หลี่จิ้งอี้กระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “น้องสามอ่าน้องสาม เจ้าก็รู้ว่าสิ่งของที่เหล่าไท่ไทเก็บไว้ในมือนาง แต่ดันเอาไปมอบให้ภรรยาของหมิงอวินทั้งหมดนั่นมิใช่เพียงเงินไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน น้องรองส่งเงินมาให้เหล่าไท่ไทเพื่อเป็นการแสดงความเคารพแต่ละปีมิใช่น้อยๆ จำนวนเงินล่อตาล่อใจขนาดนั้น แล้วยังมีโฉนดที่ดินซึ่งอยู่ภายใต้นามของเหล่าไท่ไทอีก เจ้าลองคำนวณดูสิว่ามันเท่าใด นี่อย่างน้อยๆ ก็คงหลายหมื่นตำลึงเงิน ทั้งหมดมอบให้ภรรยาหมิงอวินไปแล้ว เช่นนั้นคงไม่เหลืออะไรตกถึงพวกเราไปได้เสียแล้ว อีกอย่าง เจ้ากับข้าเราสองพี่น้องยังอยู่ทั้งคน มีสิทธิ์อันใดนำสิ่งของมอบให้ภรรยาหมิงอวินหรือ”
หลี่จิ้งเหรินเงยหน้ามองดูพี่ชายที่กำลังเดือดดาลอย่างสงบนิ่งและกล่าว “เหล่าไท่ไทกล่าวไว้แล้วว่า ภายภาคหน้าตระกูลหลี่คงต้องพึ่งพิงหมิงอวิน สิ่งของนี่มอบให้ภรรยาหมิงอวินก็สมควรแล้วเช่นกัน”
หลี่จิ้งอี้แทบกระอักเลือดออกมา “น้องสาม ข้าว่าเจ้าคงหน้ามืดตามัวไปแล้วสินะ เหล่าไท่ไทไม่ทิ้งวงศ์ตระกูลไว้ให้บุตรชาย แต่กลับมอบให้หลานสะใภ้คนหนึ่ง เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนที่อยู่ภายนอกจะคิดอย่างไรหรือ คงต้องกล่าวหาว่าบุตรชายบ้านนี้มันอกกตัญญู เหล่าไท่ไทถึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้ เมื่อถึงต้อนนั้น เจ้าและข้าจะเอาหน้าไปไหวที่ไหนหรือ จะไม่ถูกคนเขาด่าท่อจนเสียวสันหลัง ถูกคนเขาตำหนิและสาบแช่งจนตายกันไปข้างหรอกหรือ”
หลี่จิ้งเหรินแน่นิ่งไป ประเด็นนี้…เขาไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรเพียงนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าของน้องสามเปลี่ยนไป หลี่จิ้งอี้จึงใส่ไฟอีกครั้ง “เมื่อก่อนตระกูลหลี่มีน้องรองคอยคุ้มกะลาหัว เจ้าและข้าถึงมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ แม้หมิงอวินเป็นหลานชายแท้ๆ ของพวกเรา ทว่าต่อให้เป็นหลานชายแท้ๆ หรือจะสู้พี่น้องของตนเองได้ หลายวันมานี้ที่ข้ามาเยือน ได้ยินคำพูดสัพเพเหระบางอย่างที่ว่า หมิงอวินมีข้อกังขาต่อเจ้าและข้าอย่างใหญ่หลวง เจ้าลองคิดดูสิ ตอนแรกน้องรองแต่งงานซ้อน เรื่องนี้พวกเราต่างก็รับรู้สถานการณ์กันทั้งนั้น นางเยี่ยโอบกอดความเคียดแค้นและจากไป แล้วหมิงอวินจะไม่โกรธเกลียดพวกเราได้หรือ ภายภาคหน้าพวกเรายังจะหวังพึ่งพาเขา? น้องสามอ่า! เจ้าและข้าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เราต่างก็ล่วงเลยมาครึ่งชีวิตคนแล้ว ทว่าพวกเราจะไม่คำนึงถึงบุตรหลานรุ่นหลังของพวกเราคงมิได้กระมัง”
หลี่จิ้งเหรินขมวดคิ้วแน่น พี่ใหญ่พูดได้อย่างมีเหตุผล! ทว่านี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดา…หลี่จิ้งเหรินรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
“น้องสาม หลังเหล่าไท่ไทเป็นอัมพาต ปากก็เอื้อนเอ่ยใดๆ ไม่ได้แล้ว ข้าโชคดีได้ปรนนิบัติเหล่าไท่ไทอยู่สามสี่วัน ว่ากันตามความจริง เหล่าไท่ไทพูดไม่ชัดแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ แล้วจะมาทิ้งคำสั่งเสียไว้ได้อย่างไรกัน ข้าว่า ต้องเป็นภรรยาหมิงอวินดึงแม่จู้ไปเป็นพวกแล้วเป็นแน่ และจงใจก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ยามที่เหล่าไท่ไทใกล้สิ้นลม ข้าก็อยู่ด้วยเช่นกัน แต่ข้าไม่ได้ยินเหล่าไท่ไททิ้งคำสั่งเสียอันใดไว้เลยสักนิด” หลี่จิ้งอี้กล่าว
หลี่จิ้งเหรินตกตะลึงอย่างยิ่ง “เหล่าไท่ไทมิได้พูดหรือ”
หลี่จิ้งอี้จ้องมองเขาอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่ได้พูดแน่นอน ข้ากล้าฟันธงว่าต้องเป็นการร่วมมือก่อเรื่องสกปรกๆ ของภรรยาหมิงอวินกับแม่จู้เป็นแน่ เจ้าต้องเข้าใจว่าหลังน้องรองถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์สิน นอกจากบ้านหลังโตนี่ ทรัพย์สินกิจการอื่นๆ ก็ไม่หลงเหลือแล้ว ภรรยาหมิงอวินก็คงหวังอาศัยสิ่งของที่ควรเป็นของพวกเรานี่ละ”
หลี่จิ้งเหรินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “แล้วเหตุใดตอนนั้นพี่ใหญ่ถึงไม่โต้แย้ง”
หลี่จิ้งอี้ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ แล้วหย่อนตัวลงนั่งริมขอบเตียง “เจ้าคิดว่าข้าไม่โต้แย้งหรือ ตอนนั้นข้ากับพี่สะใภ้เจ้าเกือบสู้กับพวกเขาสุดชีวิต เพราะนี่มิใช่เพียงเรื่องของเงินๆ ทองๆ แต่ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเราพี่น้อง แล้วเหตุใดข้าจะนั่งมองดูหน้าตาเฉยได้หรือ แต่จะทำอย่างไรได้ พวกเขาพรรคพวกมากมาย ข้าและพี่สะใภ้เข้าจะทำอันใดได้หรือ นี่เป็นถิ่นของพวกเขา” หลี่จิ้งอี้ชะงักไปชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ดังนั้นข้ารอคอยน้องสามมาโดยตลอด ข้าคิดว่า หากเจ้าและข้าร่วมมือกันก็คงต่อกรพวกเขาได้”
หลี่จิ้งเหรินครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ภรรยาหมิงอวินเป็นคนเลวทรามประเภทนั้นหรือ ดูไม่เหมือนเลยสักนิด! เขาไม่รู้จักภรรยาหมิงอวิน แต่เกี่ยวกับตัวตนของแม่จู้ถือเป็นคนที่เชื่อถือได้ แม่จู้จงรักภักดีต่อหญิงชราอย่างยิ่ง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะหักหลังหญิงชราและไปช่วยภรรยาหมิงอวิน อีกอย่าง พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรเช่นกัน เดิมทีพี่ใหญ่ได้รับข่าวคราวที่ว่าหญิงชราล้มป่วยอาการสาหัสตั้งนานแล้ว กลับไม่บอกกล่าวเขา แต่ดันกระทำการเอิกเกริก ด้วยข้ออ้างสวยหรูที่ว่าปรับปรุงที่อยู่อาศัยของหญิงชรา จนกระทั่งภายหลัง เขาถึงเข้าใจว่า พี่ใหญ่กำลังค้นหาสิ่งของที่หญิงชราทิ้งไว้ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขามาส่งหญิงชราในวาระสุดท้ายไม่ทันการณ์ ดังนั้น หลี่จิ้งเหรินคิดว่าตนเองไม่อาจเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายเพียงฝ่ายเดียว หากหญิงชราทิ้งคำสั่งเสียไว้จริง คงเป็นเพราะพี่ใหญ่ทำให้หญิงชราผิดหวังแล้วเป็นแน่
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไว้รอให้พิธีศพของเหล่าไท่ไทจัดการเสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!” หลี่จิ้งเหรินกล่าวอย่างขอไปที
หลี่จิ้งอี้พยักหน้า “ข้าก็หมายความเช่นนี้ละ เหล่าไท่ไทเพิ่งสิ้นลมหายใจไปได้ไม่เท่าใด พวกเราไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โต เดี๋ยวคนที่เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางจะกล่าวว่าเราลุงและอาร่วมมือกันรักแกหลานสะใภ้เสียอีก เฮ้อ! ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าภรรยาหมิงอวินจะเป็นคนประเภทนี้”
ชุ่ยจือถืออุปกรณ์น้ำชาเดินเข้ามาในห้องน้ำชา เมื่อเห็นชุนซิ่งกำลังนั่งเหม่อลอย ชุ่ยจือจึงกล่าว “ชุนซิ่ง กำลังทำอันใดหรือ นำชาไปให้ในห้องรับแขกแล้วหรือ”
ชุนซิ่งได้สติกลับคืนมา และมีสีหน้าลนลานเล็กน้อย “อ้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
ชุ่ยจือหยิบชุดเครื่องน้ำชาใหม่ออกมาจากในตู้และเปิดกระป๋องชา ใช้ช้อนไม้ตักใบชาลงใส่ถ้วยชา พลางกล่าว “ช่างเถอะ ให้ข้าไปเถอะ! ดูสภาพเจ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ประเดี๋ยวคงทำหน้าชาหกรดบนตัวแขกเหรื่อจนได้”
ตอนนี้ชุนซิ่งกำลังจิตใจวุ่นวายสับสนจริงๆ เพราะเช้าวันนี้ฮูหยินใหญ่เรียกหานางเพื่อพูดคุย และให้คำมั่นสัญญาอันเป็นผลประโยชน์ดีๆ ต่อนางมากมาย ต้องการให้นางยืนยันว่าแม่จู้ถูกเอ้อร์เส้าหน่ายนายซื้อตัวไปเป็นพรรคพวก และแต่งเรื่องคำสั่งเสียของนายหญิงชราขึ้นมา ด้วยมุ่งหวังที่จะครอบครองสมบัติของนายหญิงชรา…นางรู้ดีว่าการที่ฮูหยินใหญ่ปฏิบัติอย่างดีต่อนางต้องมีความต้องการใดเป็นแน่ แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเพียงนี้ หากฮูหยินใหญ่เป็นฝ่ายชนะ นายหญิงสะใภ้รองก็จะกลายเป็นคนเลวทรามที่เป็นผู้ละโมบโลภมากเห็นแก่เงินทองทรัพย์สิน ถึงขั้นสร้างคำสั่งเสียลวงหลอกขึ้นมา เช่นนั้นนางก็เท่ากับทำร้ายนายหญิงสะใภ้รอง นางอยากทำเพื่ออนาคตของตนเอง ทว่านายหญิงสะใภ้รองปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดีมาโดยตลอด แล้วจะให้นางทำร้ายนายหญิงสะใภ้รองได้อย่างไร ด้านหนึ่งเป็นอนาคตของตนเอง อีกด้านเป็นชื่อเสียงของนายหญิงสะใภ้รอง ชุนซิ่งจึงรู้สึกสับสนอย่างมาก
ชุ่ยจือเห็นชุนซิ่งกำลังก้มหน้าก้มตาบิดผ้าเช็ดหน้าในมือและไม่พูดไม่จา จึงเอ่ยถามหลังครุ่นคิดชั่วครู่ “ชุนซิ่ง พวกเราอยู่ด้วยกันมาเกือบสี่ปีแล้วสินะ?”
ชุนซิ่งเงยหน้าขึ้นพร้อมสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าชุ่ยจือกำลังสื่อความหมายอันใด
ชุ่ยจือกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อก่อนพวกเราปรนนิบัติฮูหยินด้วยความรู้สึกเช่นไร เจ้ายังจำได้หรือไม่”
ชุนซิ่งนิ่งเงียบ ต้องจำได้อยู่แล้ว ฮูหยินเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ลงมืออย่างโหดเหี้ยม ในทุกๆ วันนางกับชุ่ยจือต่างใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็นำมาซึ่งหายนะต่อตนเอง
“เมื่อก่อน มีวันไหนบ้างที่พวกเราไม่ต้องใช้ชีวิตบนความหวาดระแวง กลวิธีเหล่านั้นของฮูหยิน คิดๆ ดูแล้วล้วนน่ากลัวทั้งนั้น ในตอนนั้น เจ้ายังบ่นอยู่บ่อยๆ ว่า หวังว่าหน้าที่ทำร้ายคนเหล่านั้นจะไม่ตกมาที่เจ้า ตามจริง ในใจข้าก็คิดเช่นนี้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน เจ้าและข้าต่างก็เห็นแล้วว่า จูจู แม่เถียน เฉียวโหร่วป๋ายฮุ่ย แม่เจียง พวกนางที่ช่วยฮูหยินต่อกรเอ้อร์เส้าเหยียและเอ้อร์เส้าหน่ายนาย กระทำเรื่องเลวทราม มีใครบ้างที่มีจุดจบที่ดีงาม? นี่มิใช่เพราะนายหญิงสะใภ้รองเก่งกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเรื่องเหล่านี้มันไร้คุณธรรม เจ้าลองมองดูบรรดาข้ารับใช้ของเรือนหลั้วเซี๋ยจายสิ มีวันไหนบ้างที่พวกนางไม่สุขใจ ทำไมน่ะหรือ เพราะนายหญิงสะใภ้รองเป็นคนดี เพราะนายหญิงสะใภ้รองไม่เคยให้พวกนางไปทำร้ายผู้ใด ชุนซิ่ง หลักการโดยรวมข้าเองก็ไม่เข้าใจหรอก และพูดไม่เป็นด้วย แต่ข้ารู้ว่า หากคนหนึ่งสั่งให้เจ้าไปทำร้ายผู้อื่น ต่อให้นางรับปากเจ้าไว้ดิบดีมากมายเพียงใด เจ้าก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งในมือเขาเท่านั้น เมื่อเรื่องราวสำเร็จ จิตใจของเจ้าและเขาจะสงบสุขได้อย่างไร หากเรื่องราวไม่สำเร็จ เจ้าก็แค่แพะรับบาปตัวหนึ่งเท่านั้น ชุนซิ่ง เจ้าคิดว่าทำไมฮูหยินใหญ่ถึงเลือกไปหาเจ้า เพราะข้าไม่ให้ความร่วมมือกับนางเป็นแน่อย่างไรล่ะ” ชุ่ยจือจ้องมองชุนซิ่งอย่างนิ่งเงียบ
ชุนซิ่งเผยสีหน้าตกตะลึงจนเกินบรรยาย จ้องมองชุยจื่ออย่างตระหนกตกใจ
“ข้ารู้ว่าฮูหยินใหญ่ไปหาเจ้าด้วยเรื่องอันใด เรื่องนี้ข้าเองก็มิได้เอ่ยกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอก และมิได้เอ่ยกับผู้ใดทั้งนั้น ข้าคิดว่าเจ้าและข้าเป็นคนที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว คงพอให้เข็ดหลาบและจำได้ขึ้นใจ ทว่าวันนี้ข้าเห็นเจ้าในท่าทีกระสับกระส่าย ข้ารู้สึกผิดหวังมากจริงๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินไปในทางที่ผิด ข้ากล้าพนันกับเจ้าได้เลย ฮูหยินใหญ่ไม่มีทางเป็นฝ่ายชนะ ฮูหยินใหญ่ชาญฉลาดกว่าฮูหยินเช่นนั้นหรือ ต่อให้ฮูหยินใหญ่คิดวิธีการมาต่อกรนายหญิงสะใภ้รองมากมายเพียงใด คิดว่าฮูหยินใหญ่จะทำอะไรนางได้หรือ ความนึกคิดตื้นๆ ของนางนั่น คิดหรือว่านายหญิงสะใภ้รองจะมองไม่ออก? ชุนซิ่ง เจ้าพินิพิจารณาด้วยตนเองให้ดีๆ แล้วกัน อย่าให้การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว กลายเป็นความเคียดแค้นชั่วนิจนิรันดร์เลย” ชุ่ยจือทิ้งประโยคดังกล่าวไว้แล้วยกน้ำชาเดินออกไป
ชุนซิ่งยังไม่ได้สติกลับคืนมาจากอาการตระหนกตกใจ นางคิดว่าคนเองปิดบังไว้อย่างดิบดีแล้ว คาดไม่ถึงว่าทุกอย่างตกอยู่ในสายตาชุ่ยจือแต่แรกแล้ว คำพูดของชุ่ยจือประหนึ่งค้อนหนักทุบลงมาใจกลางศีรษะจนวิญญาณในร่างนางหลุดลอย นั่นสิ…แม้แต่ชุ่ยจือยังมองออก แล้วมีหรือนายหญิงสะใภ้รองจะมองไม่ออก ชุนซิ่งรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง และคนทั้งคนจึงเป็นอันได้สติกลับคืนมา หากนางรับปากฮูหยินใหญ่ ก็เท่ากับจะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ อย่าว่าแต่ฮูหยินใหญ่ไม่อาจเอาชนะนายหญิงสะใภ้รองได้เลย ต่อให้ฮูหยินใหญ่เป็นฝ่ายชนะ เกรงว่าคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ไม่แน่นอนว่าจะเป็นจริงได้เสมอไป เมื่อถึงตอนนั้น นางจะเป็นคนไร้ที่ยืน ไม่ได้การละ นางจำเป็นต้องรีบไปบอกกล่าวนายหญิงสะใภ้รองให้ชัดเจนถึงจะถูก
ชุ่ยจือยืนอยู่หน้าประตูชั่วขณะหนึ่ง แอบถอนหายใจยาวๆ นายหญิงสะใภ้รองคาดการเรื่องราวได้ประหนึ่งเซียน! ตอนที่แม่โจวมาหานาง นางยังไม่เชื่อและยังช่วยแก้ต่างให้ชุนซิ่งด้วยซ้ำ คาดไม่ถึงว่าเมื่อนางพูดเช่นนี้ตามที่แม่โจวสอน สีหน้าของชุนซิ่งถึงกับซีดเผือด ที่แท้ มีเรื่องนี้จริงๆ ด้วย ชุ่ยจืออดรู้สึกใจหายวูบไม่ได้ โชคดีที่นางไม่ใช่คนที่ฮูหยินใหญ่เรียกหา ฮูหยินใหญ่ยังคิดว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของตนเองตบตาผู้คนได้ จึงไม่คาดคิดเลยว่า ทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ในการควบคุมของนายหญิงสะใภ้รอง ตอนนี้ได้แต่หวังวันชุนซิ่งจะตาสว่างได้ทันการณ์ มิเช่นนั้นคงได้ถูกฮูหยินใหญ่หลอกใช้เป็นแน่
“ชุ่ยจือ…” ชุ่ยจือเพิ่งก้าวเดินไป ชุนซิ่งก็เดินตามออกมาติดๆ ชุ่ยจือจึงหยุดชะงักฝีก้าว
ชุนซิ่งมองทั่วสารทิศ เมื่อมั่นใจว่าปราศจากผู้อื่นจึงดึงชุ่ยจือไว้และกล่าว “ชุ่ยจือ ตามจริง เรื่องราวมิใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ ฮูหยินใหญ่อยากให้ข้าทำเรื่องบางอย่างที่กระทำมิได้ แต่ข้ามิได้ตอบตกลง”
ชุ่ยจือนึกคิดในใจ เจ้ามิได้ตอบตกลง แล้วเหตุใดเจ้าต้องกลัดกลุ้มด้วยล่ะ จะกลัวอันใดหรือ
ชุนซิ่งอ้ำอึ้งเสียงอ่อน “ข้า…ข้ากำลังคิดมาโดยตลอดว่าจะบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนาย แต่ก็เกรงว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไม่เชื่อข้า”
ชุ่นจือกล่าวพลางเลิกคิ้ว “เจ้ามิได้ตอบตกลงจริงหรือ”
ชุนซิ่งยกมือขึ้นสาบาน “หากข้าโกหกเจ้า ขอให้ฟ้าผ่าข้า…”
ชุ่ยจือกล่าว “เอาละๆ อย่ามาเดิมพันด้วยคำสาบานอะไรแบบนี้ ข้าเชื่อเจ้าแล้ว เรื่องนี้ เจ้ารีบไปบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงจะถูก”
ชุนซิ่งกล่าว “ข้าอยากบอกกล่าว ทว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายมีคนอยู่ข้างกายด้วยตลอดเวลา ข้าจึงหาโอกาสไม่ได้สักที”
ชุ่ยจือครุ่นคิดชั่วครู่ “เรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”