ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 264 การตัดสิน
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ส่งเสียงฮือฮาทันทีทันใด กฎระเบียบของจวนหลี่ช่างเคร่งครัดอย่างยิ่ง เฉพาะเรื่องนี้ ไม่ว่าบ้านไหน หากพบว่าข้ารับใช้ยักยอกเงินล้วนต้องได้รับการลงโทษสถานหนัก ทว่าด้วยวิธีการคุกเข่าต่อหน้าฝูงชนเป็นเวลาสามวันนี่ มันช่างเป็นโทษสถานหนักเอาเรื่องจริงๆ บ้านคนอื่นเขาเป็นการลงไม้โบย ทว่าจวนหลี่ไม่เพียงต้องถูกลงไม้โบย แต่ยังต้องอับอายขายหน้าอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนล้วนรับรู้ถึงความไร้คุณธรรมของป้าเฝิง แล้วหลังจากนี้ยังจะมีผู้ใดกล้ารับข้ารับใช้เช่นนี้หรือ
แม่เหยาเผยรอยยิ้มมุมปากเหยียดหยาม เมื่อเผชิญหน้ากับการอ้อนวอนของป้าเฝิง “เจ้าหลงผิดไปชั่วครู่เช่นนั้นหรือ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าการหลงผิดของเจ้ามันมิใช่เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว บอกมาเสีย เจ้าได้รับผลประโยชน์อันใดจากฮูหยินใหญ่อีกหรือ ถึงได้สร้างเรื่องให้ร้ายเอ้อร์เส้าหน่ายนายลับหลังเยี่ยงนี้”
ป้าเฝิงตกตะลึง แล้วส่งเสียงร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง “แม่เหยา นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีบ่าวชัดๆ ต่อให้บ่าวหาญกล้ามาเพียงใด บ่าวก็ไม่กล้าสร้างเรื่องให้ร้ายเอ้อร์เส้าหน่ายนายหรอกเจ้าค่ะ”
ภายในใจของทุกคนล้วนเกิดความฉงนสงสัย เมื่อครู่ยังพูดจาอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่ทันไรก็เปลี่ยนหน้าไม่ยอมรับเสียแล้ว
“เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกไปแล้วหรือไร เมื่อครู่เป็นผู้ใดหรือที่กล่าวว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายคิดจะฮุบสมบัติไว้ เจ้าคิดว่าไม่มีผู้รู้ว่าเจ้ากระทำสิ่งที่น่าอับอายเหล่านั้นหรือ หากไม่อยากให้คนรับรู้ก็อย่าได้ริอาจกระทำ หากเจ้าสารภาพมาแต่โดยดี บางทีเอ้อร์เส้าหน่ายนายอาจยังพอเมตตาเจ้าได้สักหน่อย หากรอให้ข้านำหลักฐานออกมา เจ้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเองแล้วกัน” แม่เหยากล่าวเชิงข่มขู่
แม่ติงกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเป็นคนเช่นไร ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างกล่าวขานว่านางเป็นผู้มีจิตใจดีมีเมตตาประหนึ่งพระโพธิ์สัตว์ ให้การรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยการกุศลมาแล้วครั้งหนึ่งเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน สละเงินทองไปมากมายเท่าใด นางเคยพร่ำบ่นหรือ แล้วคนอย่างเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะไปอยากได้สิ่งของแค่นั้นของเหล่าไท่ไทหรือ เจ้ามันโง่เง่า พูดจาให้ร้ายคนอื่นเขา ไม่กลัวว่าจะถูกฟ้าผ่าบ้างหรือไร”
“นั่นสิ! นายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่มิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย…”
“ก็นั่นน่ะสิ ทุกบ้านทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตนเอง ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะคนอื่นคิดจะใส่ร้ายป้ายสีเพื่อฮุบเงินทองทรัพย์สินในมือของสะใภ้รองตระกูลหลี่หรือไม่”
“ข้าก็ว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันเชื่อถือไม่ได้ ที่แท้มีคนสร้างคำลวงหลอกขึ้นมาจริงๆ ด้วย ข้าได้ยินมาว่าการรักษาการกุศลครั้งนี้ สะใภ้รองตระกูลหลี่จ่ายเงินออกไปตั้งหลายหมื่นตำลึงเงินเชียวนะ…”
ผู้คนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันปากต่อปากขึ้นมา
ป้าเฝิงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน หากยอมรับ เกิดนี่เป็นการที่แม่เหยาหลอกให้นางติดกับดัก จะไม่เท่ากับเป็นการเพิ่มปัญหาให้ตนเองหรอกหรือ ซึ่งนี่มันหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าการยักยอกเงิน นางคงได้จบสิ้นทุกสิ่งอย่าง หากไม่ยอมรับ ด้วยแนวโน้มท่าทีเดือดดาลและดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมของแม่เหยา ก็เกรงว่าจะพลาดโอกาสนี้ไป
“ช่างเถอะ ในเมื่อนางไม่รู้จักสำนึกผิดและปรับปรุงตัวใหม่ เช่นนั้นก็ให้คุกเข่าไปเช่นนี้แล้วกัน! แม่ติง เจ้าคอยจับตาดูอยู่ที่นี่ ไม่ครบสามวันห้ามมิให้ลุกขึ้นมาเป็นอันขาด” แม่เหยาสั่งการ จากนั้นหันหลังให้แล้วเตรียมเดินจากไป
ป้าเฝิงร้อนรนใจ นี่จะทิ้งนางไว้ทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ “ข้าสารภาพ ข้าสารภาพเจ้าค่ะ…” นางส่งเสียงตะโกน
แม่เหยาชะงักฝีเท้าลงทันทีทันใดและหันกลับมาอย่างช้าๆ มองดูป้าเฝิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ป้าเฝิงกัดฟันแน่น ในเมื่อหลุดปากออกไปแล้ว ก็ลองเดิมพันดูสักตั้งแล้วกัน นางชื่นชอบการเล่นพนันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะแพ้พนันเป็นจำนวนเงินมากเพียงนั้น เลยต้องนำทุนทรัพย์สำหรับเลี้ยงดูตนเองในวัยชราทั้งหมดชดเชยเข้าไป ก็คงไม่คล้อยตามฮูหยินใหญ่ไปได้
“เป็นฮูหยินใหญ่ให้เงินบ่าวยี่สิบตำลึงเงิน เพื่อให้บ่าวโพนทะนาทำลายชื่อเสียงเอ้อร์เส้าหน่ายนายที่ด้านนอก…แม่เหยา บ่าวก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน! เป็นฮูหยินใหญที่ข่มขู่บ่าวนะเจ้าคะ…” ป้าเฝิงกล่าวอย่างน่าเวทนา
ผู้คนต่างแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา และเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ฮูหยินใหญ่ที่ว่านี้หมายถึงใครกันหรือ เหตุใดถึงได้ร้ายกาจเพียงนี้ สรุปแล้วนายหญิงสะใภ้รองตระกูลหลี่ไปทำอันใดให้นางไม่พอใจแล้วหรือ
แม่เหยาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นหันไปกล่าวต่อทุกคนอย่างสง่างามผ่าเผยทันที “คำพูดของป้าเฝิงเมื่อครู่นี้ ขอทุกท่านช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย เพื่อเป็นพยานให้แด่นายหญิงสะใภ้รองของบ้านเรา นางหญิงสะใภ้รองบ้านเราปฏิบัติตนอย่างชอบธรรม ที่กล่าวขานว่าเป็นผู้จิตใจดีมีเมตตาหาใช่คำลวงหลอกไม่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะการใส่ร้ายป้ายสีของคนชั่วช้า”
ท่ามกลางฝูงชนมีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “แม่เหยา พวกเราต่างรู้ดีว่านายหญิงสะใภ้รองบ้านเจ้าเป็นคนดี พวกเราไม่เชื่อคำลวงหลอกนั่นหรอก ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่”
ผู้คนพร้อมกันส่งเสียงขึ้นมาทันที “ใช่ๆๆ”
แม่เหยาส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แม่ติง แม่ติงพร้อมคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปดึงป้าเฝิงลุกขึ้น จากนั้นควบคุมตัวนางออกไปจากตลาดสด
การวิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือดของทุกคนยังคงดำเนินต่อไป หลังกลุ่มแม่เหยาเดินจากไป
“ป้าเฝิงผู้นี้ช่างแย่จริงๆ เพื่อเงินไม่กี่ตำลึงก็ยอมทำร้ายผู้เป็นนายได้ คนประเภทนี้มิได้ตายดีเป็นแน่…”
“ก็นั่นน่ะสิ บรรดาข้ารับใช้ของตระกูลหลี่ต่างก็ยกนิ้วโป้งให้ทุกครั้งที่เอ่ยถึงนายหญิงสะใภ้รอง และกล่าวว่าใต้หล้านี้คงไม่มีผู้เป็นนายคนใดชาญฉลาดและใจกว้างยิ่งกว่านายหญิงสะใภ้รองของพวกนางอีกแล้ว”
“นี่…ข้าได้ยินมาว่า ฮูหยินใหญ่ตระกูลหลี่นั่นเป็นคนจากชนบท วงศ์ตระกูลหลี่พวกเขา ล้วนพึ่งพาครอบครัวทางด้านเมืองหลวงจนสูงศักดิ์ และครอบครัวสุขสบายขึ้นมาได้ คงเพราะเห็นว่าที่พึ่งพิงใหญ่โตนี้โค่นล้มลงแล้ว เลยคิดทำลายคนอื่นเขาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ครั้งสุดท้ายกระมัง”
“มีเหตุผล ข้าว่าส่วนใหญ่คงด้วยเหตุผลนี้นั่นละ…”
เนิ่นนานพอตัวกว่าผู้คนจะพากันแยกย้าย บรรดาหญิงวัยกลางคนออกจากตลาดสดไปพร้อมกับตะกร้าที่บรรจุผักสด แล้วกลับไปยังตระกูลเยี่ย หน้าที่ของพวกนางวันนี้ก็คือจุดประกายความคิดเห็นของประชาชน ผู้ใดกล้าทำลายนายหญิงหลานสะใภ้แห่งตระกูลเยี่ย ก็ต้องถูกเล่นงานคืนเป็นเท่าตัว
แน่นอนว่า หน้าที่นี้แม่โจวเป็นผู้วางแผน รวมถึงการที่ให้ป้าเฝิงออกไปจับจ่ายวัตถุดิบด้วยเช่นกัน และที่แม่เหยาออกไปปรากฏตัวได้ทันการณ์ ล้วนเป็นแผนการของแม่โจวทั้งสิ้น
แม่เหยาไม่ได้นำคนกลับมายังจวนหลี่ในทันที แต่ส่งไปขังไว้ที่บ้านชานเมืองแห่งหนึ่ง
หลังแม่ติงจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้น ภายในใจเกิดความกังวลอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นคนที่อยู่ใต้คำสั่งนางก่อเรื่องเลวทรามขึ้น ทว่านางกลับไม่ทันไหวตัวเลยสักนิด ดันเป็นแม่โจวที่มาเตือนนาง
“แม่เหยา ท่านว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะกล่าวโทษข้าหรือไม่” แม่ติงเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายใจ
แม่เหยาจ้องมองนาง “คนที่อยู่ใต้คำสั่งเจ้าประพฤติไม่ชอบ นั่นแสดงให้เห็นว่าแต่ละวันเจ้าควบคุมไม่รัดกุมเพียงพอ หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายจะกล่าวโทษเจ้าก็เป็นสิ่งที่สมควรเช่นกัน”
แม่ติงเผยสีหน้าสลด “ใช่ๆ…เป็นข้าเองที่ประมาทเลินเล่อ”
“ทว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอะไรประเภทนั้น ขอเพียงภายภาคหน้าอย่าให้เกิดเรื่องประเภทนี้อีกก็พอ วันหน้าวันหลังช่วยปฏิบัติหน้าที่ให้มันกระตือรือร้นหน่อย” แม่เหยาเห็นนางวิตกกังวลจนทำตัวไม่ถูก จึงกล่าวปลอบใจนางอีกสองสามประโยค
คำกล่าวเป็นการพูดให้แม่ติงสดับรับฟังก็จริง ทว่านางก็ผิดที่ไม่กำกับดูแลให้ดีด้วยมิใช่หรือ เมื่อวานนางยังแอบบ่นว่าเหตุใดนายหญิงสะใภ้รองถึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ที่แท้ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของนายหญิงสะใภ้รองแต่แรกแล้วนั่นเอง ความเคารพนับถือที่แม่เหยามีต่อนายหญิงสะใภ้รองจึงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว การปฏิบัติงานภายใต้นายหญิงสะใภ้รอง จะประมาทเลินเล่อไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
หลินหลันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อได้รับการรายงานของแม่โจวซึ่งจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม นางชักอยากดูแล้วว่านางอวี๋จะใช้ไม้ไหนออกมาอีก
เรื่องนี้ยังคงเก็บเงียบไว้เป็นการชั่วคราว หลี่จิ้งเหรินหลังได้พักผ่อนเป็นเวลาสองวันแล้ว ในที่สุดก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาอาศัยช่วงเวลาที่พี่ชายไม่อยู่ แอบไปหาหมิงเจ๋อเพื่อถามไถ่ ให้หมิงเจ๋อบอกกล่าวโดยเริ่มตั้งแต่ที่สถานการณ์ในบ้านเปลี่ยนแปลงไป จนมาถึงวันที่หญิงชราสิ้นลมหายใจ
หมิงเจ๋อเด็กหนุ่มผู้นี้เคยอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดมาเป็นเวลาหลายปี หลี่จิ้งเหรินจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของหมิงเจ๋อ ดั่งคำกล่าวที่ว่าคนเราในวัยสามขวบก็มองเห็นวัยชราภาพได้ หมายความว่าอุปนิสัยแก่นแท้ของมนุษย์เรา ล้วนมองออกได้ตั้งแต่เยาว์วัย หมิงเจ๋อมีอุปนิสัยเอ้อระเหยลอยชาย ไม่มีความนึกคิดเป็นของตนเอง แน่นอนละ นี่เป็นผลร้ายแรงจากการเลี้ยงดูของนางฮานที่เลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลยเกินไป ทว่าข้อดีของหมิงเจ๋อย่างหนึ่งคือไม่ใช่คนชอบพูดปด
กล่าวถึงช่วงต้นเดือนสามที่พวกเขาส่งข่าวคราวไปยังบ้านเกิด เกี่ยวกับอาการป่วยขั้นสาหัสของหญิงชรา อย่างช้าสุดช่วงต้นเดือนสี่ก็น่าจะได้รับข่าวคราวแล้ว ซึ่งในตอนนั้นเอง พี่ใหญ่ดันกล่าวขึ้นมากะทันหันว่าต้องปรับปรุงที่พักอาศัยของมารดา ปรับปรุงอยู่หลายวัน แต่แล้วก็หยุดชะงักลงกะทันหัน จากนั้นรีบร้อนมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง เดิมทีหลี่จิ้งเหรินเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น ยามนี้ได้รับหลักฐานยืนยันชัดเจน จึงอดโกรธเคืองพี่ใหญ่ไม่ได้ มารดาป่วยอาการสาหัสแล้วแท้ๆ พวกเขาไม่ร้อนใจมาดูอาการมารดา แต่กลับเร่งรีบค้นหาสิ่งของ น่าเสียดายที่คว้าน้ำเหลว ตอนนี้ หลี่จิ้งเหรินรับรู้ถึงธาตุแท้ของพี่ใหญ่ชัดเจนแล้ว บุตรผู้อกตัญญูผู้นี้ ทำให้เขาไม่ได้พบเจอหน้ามารดาเป็นครั้งสุดท้าย จึงต้องรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต
เห็นทีว่ามารดาเขาคงเห็นธาตุแท้แต่แรก ขืนนำสิ่งของมอบให้พี่ใหญ่ พี่ใหญ่คงฮุบไว้ลำพังเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ผู้อื่นคงต้องเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้รับสิ่งใดจากเขาแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ภรรยาหมิงอวิน จากที่ได้ฟังหมิงเจ๋อบอกกล่าว น่าจะเป็นคนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ชาญฉลาดมากความสามารถ มีน้ำจิตน้ำใจกว้างขวาง เปิดร้านขายยา ช่วยชีวิตผู้คนที่ยากลำบาก เป็นคนดีมีจิตใจเมตตาผู้หนึ่ง ยามที่พี่รองเผชิญปัญหา ก็ได้ภรรยาหมิงอวินวิ่งเต้นให้ทั่วสารทิศ อาการป่วยของมารดาเขาก็มีนางเป็นผู้ดูแล ในเมื่อมารดาเขามอบสิ่งของให้ภรรยาหมิงอวิน ก็แสดงให้เห็นว่าเชื่อใจนาง และมีเพียงนางเท่านั้นที่กำราบพี่ชายคนโตเขาไว้ได้
หลี่จิ้งเหรินไปหาแม่จู้เพื่อถามไถ่อีกครั้ง คำตอบที่ได้รับล้วนเป็นในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น ในใจเขาจึงเป็นอันได้คำตอบแล้วว่า เขายินยอมให้สิ่งของทุกอย่างตกอยู่ในมือหลานสะใภ้ ดีกว่าตกไปอยู่ในมือพี่ชายคนโต
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่เจ็ด พิธีกรรมตามแบบฉบับเจ็ดวันเป็นอันเสร็จสิ้นครบถ้วน บรรดาพระทั้งหลายแยกย้ายออกจากบ้านตระกูลหลี่และทำการเผาเครื่องหอม วางเครื่องเซ่นไหว้ตามเวลาที่กำหนดไว้ จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกลับไปนอนหลับพักผ่อนในห้องของตนเอง เพราะจากคำกล่าวที่สืบทอดต่อๆ กันมา วันนี้คือวันที่ ‘วิญญาณจะวนกลับมา’ ด้วยจิตใจคะนึงถึงคนญาติมิตรคนสนิท หากกลับมาแล้วเห็นญาติมิตรคนสนิท ก็จะไม่อยากจากไปไหน ซึ่งจะส่งผลให้วิญญาณไม่ยอมไปสู่สุคติ ดังนั้น ญาติมิตรคนสนิททุกคนจึงจำเป็นต้องหลบหลีกไป
ในที่สุดหลินหลันก็ได้พักผ่อนให้เต็มอิ่มเสียที และจำเป็นต้องพักผ่อนแล้วด้วยเช่นกัน หากนางคาดการณ์ไม่ผิด พรุ่งนี้คงได้มีสงครามครั้งใหญ่ นางจำเป็นต้องบำรุงจิตวิญาณให้เต็มที่สำหรับการรับมือ
หลายวันนี้ซานเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ และแทบไม่ปรากฏพฤติกรรมเอาแต่ใจเลยก็ว่าได้ เขารู้ดีว่าระยะนี้พี่สาวเขายุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง เขาจึงไม่กล้าสร้างปัญหาให้พี่สาว เกิดพี่สาวหงุดหงิดขึ้นมาแล้วส่งเขากลับบ้านเพราะความโกรธ อย่างนั้นคงไม่ดีแน่
เมื่อเห็นว่าพี่สาวมีสีหน้าอ่อนล้า ซานเอ๋อร์จึงปีนขึ้นไปบนเตียงนอนและกล่าวด้วยความห่วงใย “ท่านพี่ ซานเอ๋อร์ทุบหลังให้ท่านแล้วกัน! ซานเอ๋อร์ทุบหลังให้จะได้ผ่อนคลายสบายๆ ท่ามแม่ข้าชอบให้ซานเอ๋อร์ช่วยทุบหลังให้นางอย่างมากเลยละ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขณะมองดูมือน้อยๆ กลมๆ ของซานเอ๋อร์ เจ้าเด็กน้อยตัวแสบนี่รู้จักเอาใจคนอื่นกับเขาด้วย! เอาเถอะ! หลายวันนี้นางรู้สึกเหนื่อยแทบแย่จริงๆ ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด เหนื่อยกว่าตอนที่เดินทางกับกองทัพไปตอนเหนือด้วยซ้ำ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจด้วยเช่นกัน ให้มืออ้วนๆ เล็กๆ ของซานเอ๋อร์ช่วยทุบให้หน่อยก็ดีเหมือนกัน
“เอาสิ! เช่นนั้นซานเอ๋อร์ช่วยนวดให้พี่ทีนะ ถ้านวดได้ดี เดี๋ยวพี่มีรางวัลให้” หลินหลันพลิกตัวคว่ำลงนอนราบ
ซานเอ๋อร์ม้วนแขนเสื้อ จากนั้นเริ่มบรรเลงทุบหลังให้หลินหลันอย่างเอาจริงเอาจัง พลางกล่าว “ซานเอ๋อร์ไม่ต้องการรางวัลหรอก! ขอเพียงท่านพี่รู้สึกสบายตัวก็พอแล้วขอรับ” ขอเพียงพี่สาวสุขใจ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลอะไรยังต้องให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากร้องขออีกหรือ ซานเอ๋อร์ยิ้มกรุ้มกริ่ม หลักการนี้ เขาเข้าใจมาตั้งนานแล้ว
หลินหลันเผยรอยยิ้ม เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างถนัดในเรื่องประจบประแจงจริงๆ
จะว่าไป กำปั้นน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มนี้พอทบลุงมามันสร้างความสบายตัวให้มากจริงๆ หลินหลันปิดเปลือกตาลงด้วยความพึงพอใจ
ซานเอ๋อร์ออกแรงอยู่พักหนึ่ง กระทั่งท่อนแขนน้อยๆ เริ่มเมื่อยล้า ทว่าเห็นท่าทางของพี่สาวผ่อนคลายสบายอย่างยิ่ง จึงกัดฟันทน ฝืนตั้งหน้าตั้งตาทุบนวดต่อไป
“ไอโย่…คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ช่างมีน้ำใจจริงๆ รู้จักทุบนวดหลังให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายเสียด้วย!” หยินหลิ่วถือน้ำผึ้งผสมน้ำเข้ามา เห็นคุณชายน้อยซานเอ๋อร์กำลังทำท่าทำทางทุบแผ่นหลังให้นายหญิงสะใภ้รอง จึงอดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้
ซานเอ๋อร์รีบส่งเสียงชู่ “อย่าพูดเสียงดังไป ท่านพี่จะหลับแล้ว”
หยินหลิ่วหัวเราะคิกคัก จากนั้นกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณชายซานเอ๋อร์ช่างรู้ประสีประสาจริงๆ เลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันไม่ได้นอนหลับแต่อย่างใด ในหัวสมองของนางเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องการรับมือในวันพรุ่งนี้ หลังได้ยินคำพูดอย่างใส่ใจของซานเอ๋อร์ ถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ซานเอ๋อร์ช่วยทุบนวดให้นางมาพักใหญ่แล้ว มือน้อยๆ ของเจ้าเด็กคนนี้คงปวดเมื่อยแล้ว แต่กลับไม่ปริปากบ่นสักนิด หลินหลันอดรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ ตามจริง…การมีน้องชายสักคนก็ไม่เลวเช่นกัน ซานเอ๋อร์ก็คือซานเอ๋อร์ ตาผู้เฒ่านั่นก็ส่วนตาผู้เฒ่า หาใช่เรื่องเดียวกันไม่