ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 265 เจรจา (1)
หลินหลันตื่นนอนแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น แต่มีคนตื่นเช้ายิ่งกว่านาง นั่นก็คือผู้ดูแลของตระกูลเยี่ย ซึ่งมาถ่ายทอดคำพูดของนายท่านใหญ่เยี่ยที่ว่า…หากต้องการกำลังสนับสนุน เขาจะรีบมาทันที
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเป็นคนหนึ่งที่ชาญฉลาดเช่นกัน เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าเมื่อพ้นเจ็ดวันแรก นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ก็คงอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ลูกไม้ที่นางอวี๋ใช้เมื่อช่วงก่อนหน้า ด้วยการคิดจะทำลายชื่อเสียงของหลินหลันเหล่านั้นทำให้เขาเดือดดาลแทบแย่ เยี่ยเต๋อฮ๋วยให้ท้ายบุตรหลานของตนเองเป็นที่สุด หากมีคนรังแกหลานสะใภ้เขา หากเขายอมปล่อยไปโดยง่ายก็ไม่ใช่คนแซ่เยี่ยอีกต่อไป หากไม่ใช่เพราะนางหวังเกลี้ยกล่อมไว้ เขาคงอาละวาดไปนานแล้ว เขาเกรงว่าหลินหลันจะเกรงใจไม่จึงไม่อยากรบกวนผู้เป็นลุงอย่างเขา ดังนั้นจึงตั้งใจส่งคนมาบอกกล่าวเป็นการเฉพาะ
หลินหลันให้ผู้ดูแลบ้านกลับไปบอกกล่าวท่านลุงว่า เรื่องนี้นางยังพอจัดการด้วยตนเองได้ ขอบพระคุณความปรารถนาดีของท่านลุงอย่างยิ่ง หลังผ่านพ้นสถานการณ์ในระยะนี้ ตลอดจนได้สังเกตอาสาม ตัวหลินหลันคิดว่า ยังพอมีความมั่นใจเกือบเต็มเปี่ยม ทว่าหากตระกูลเยี่ยแทรกแซงเข้ามา จะกลายเป็นข้ออ้างให้ลุงใหญ่หยิบเอามาพูดเสียๆ หายๆ ได้
ปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ ยังไม่ทันรับประทานมื้อเช้าเสร็จสิ้น หลี่จิ้งอี้ก็ส่งคนมาบอกกล่าว โดยเอ่ยว่าให้ทุกคนไปยังโถงรับแขกส่วนหน้า เพราะมีเรื่องต้องการพูดคุยด้วย
“พี่หลันเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์ต้องการไปด้วยขอรับ” ซานเอ๋อร์ขยี้ดวงตาที่กำลังงัวเงีย และค่อยๆ เขยิบเท้าไปยืนข้างกายพี่สาว
หลินหลันเห็นเขายังสะลึมสะลืออยู่เลย ก็กล่าวว่าต้องการไปร่วมวงด้วยเสียแล้ว นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ซานเอ๋อร์เด็กดี พวกผู้ใหญ่จะพูดคุยเรื่องทางการกันน่ะ! เด็กๆ ไปด้วยมิได้หรอก”
ดวงหน้าน้อยๆ ของซานเอ๋อร์เงยขึ้น สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความกังวล “ซานเอ๋อร์เกรงว่าคนชั่วนั่นจะรังแกพี่สาวอีกขอรับ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน และบีบจมูกเล็กๆ ของซานเอ๋อร์อย่างเบามือ ตอนนี้นางถึงรับรู้ได้เสียทีว่าเหตุใดหมิงอวินถึงชอบบีบจมูกของนางและลูบใบหน้าของนางอยู่เรื่อย เพราะยามที่นางเองเผชิญหน้ากับซานเอ๋อร์ ก็มักจะเกิดแรงปลุกปั่นให้ทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน
“ซานเอ๋อร์วางใจได้ ใครหน้าไหนก็รังแกพี่ไม่ได้ทั้งนั้น พี่มีความสามารถมากมาย เจ้าดูนี่…”
หลินหลันดึงปิ่นที่เสียบอยู่บนผม เพียงสะบัดข้อมือเดียว ปิ่นปักผมก็พุ่งออกไปประดุจคันศร ผู้คนต่างรู้สึกเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปึก’ จากนั้นผู้คนต่างเร่งรีบไปตามหาปิ่นปักผมด้ามนั้น
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อยู่ด้านหลังชั้นวางของน่ะ!”
จิ่นซิ่วเดินอ้อมชั้นวางสิ่งของไป จากนั้นเสียงร้องตระหนกตกใจก็ดังขึ้นมา “ปิ่นปักอยู่บนตู้เสื้อผ้าเจ้าค่ะ”
ตอนแรกที่อยู่ในอาคารหนังสือ นายหญิงสะใภ้รองสะบัดมือเพียงครั้งเดียวก็ตรึงงูพิษไว้บนเสา และตรึงงูตัวยาวซึ่งพบเห็นได้ยากไว้ได้อีกด้วย ทักษะนี้ หยินหลิ่วและคนอื่นๆ เคยเห็นมาก่อน ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนนายหญิงสะใภ้รองสะบัดมืออย่างไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ทว่าปิ่นนั่นกลับรอดทะลุชั้นวางสิ่งของซึ่งเป็นเพียงช่องแคบๆ ระหว่างงานแกะสลักที่งดงาม แล้วพุ่งไปปักบนตู้ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่าสี่เมตรอย่างแม่นยำ ทักษะนี้ ทำให้ทุกคนจ้องมองและอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ซานเอ๋อร์ตะลึงงันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกสะลึมสะลือหายไปเป็นปลิดทิ้ง จากนั้นกล่าวด้วยความนับถือผสมความประหลาดใจ “พี่หลันเอ๋อร์ ท่านช่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ครั้งก่อนซานเอ๋อร์ดูพี่จ้าวยิงธนู เขาเรียกตนเองว่านักยิงแม่นเสมือนจับวาง ปรากฏว่าสิบดอกธนู มีเพียงเก้าดอกที่เข้าใจกลางสีแดง ท่านพี่ ท่านเก่งกาจเสียยิ่งกว่าพี่จ้าวอีกขอรับ”
หลินหลันยิ้มเจื่อน เมื่อครู่นางก็แค่นึกสนุกขึ้นมาชั่วครู่ เลยแสดงให้ซานเอ๋อร์ดูก็เท่านั้น เพื่อจะได้ทำให้เจ้าเด็กน้อยยี่ไม่ต้องวิ่งตามนางไปเหมือนครั้งก่อน หลินหลันจึงส่งเสียงกระแอมสองครั้งและกล่าว “ซานเอ๋อร์ พี่จ้าวของเจ้ายิงเข้าใจกลางสีแดงได้ถึงเก้าดอกก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ซานเอ๋อร์ยังคิดว่าท่านพี่เก่งกาจกว่าอยู่ดี ไม่ได้การละ ซานเอ๋อร์ต้องเรียนรู้ทักษะนี้บ้างแล้ว ท่านพี่ ซานเอ๋อร์ต้องการให้ท่านเป็นอาจารย์ของซานเอ๋อร์” ซานเอ๋อร์กระตือรือร้นเสียยิ่งอะไรดี แม้มารดาเขามักคุยโวว่าท่านพ่อเขาเก่งกาจอย่างไร แต่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อพี่หลันเอ๋อร์เผยทักษะนี้ออกมา จึงสร้างความตะลึงให้เขาสุดขีด
“ได้สิ หากซานเอ๋อร์เชื่อฟัง พี่ก็จะสอนเจ้า” หลินหลันให้คำมั่นสัญญา ซานเอ๋อร์เจ้าเด็กน้อยจ้ำม่ำควรออกกำลังกายเสียหน่อย จะได้ลดน้ำหนักลงบ้าง
ซานเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจังทันทีที่ได้ยินว่าพี่สาวจะช่วยสอนเขา มีหรือจะยังไม่ยินยอมตกลง “ซานเอ๋อร์รับประกันว่าจะเชื่อฟังคำพูดของท่านพี่ ท่านพี่ให้ซานเอ๋อร์ทำอย่างไร ซานเอ๋อร์ก็จะทำเช่นนั้นแน่นอนขอรับ”
เมื่อจัดการซานเอ๋อร์เป็นที่เรียบร้อย หลินหลันและแม่โจวต่างมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นพยักหน้าอย่างรู้กันโดยปริยาย
ครั้งนี้ หลินหลันพาหยินหลิ่วและจ้าวจัวอี้มุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกส่วนหน้าด้วยกัน
ภายในโถงรับแขกส่วนหน้า หลี่จิ้งอี้นั่งอยู่บนที่นั่งหลักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โดยมีนางอวี๋นั่งถัดลงมาในที่นั่งแรกซ้ายมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน หลี่หมิงเจ๋อและหลี่หมิงจูยืนคอยอยู่อย่างว่าง่าย เพราะลุงใหญ่ไม่ได้บอกให้นั่งลง ส่วนอาสามหลี่จิ้งเหรินและบุตรชายทั้งสองยังมาไม่ถึง
หลินหลันเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นคารวะให้ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วกล่าวอย่างอ่อนน้อม “ไม่ทราบว่าลุงใหญ่เรียกทุกคนมาพร้อมเพรียงกัน ต้องการพูดคุยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ขณะนี้หลี่จิ้งอี้จับจ้องไปยังบุรุษร่างกำยำมาดขึงขังซึ่งอยู่ด้านหลังของภรรยาหมิงอวินผู้นั้น ดวงตากลมโตรับกับคิ้วเข้ม แสงนัยน์ตาฉายความดุดันเย็นชาให้เห็น ทำให้เขาหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว ทว่า ไม่ทันไรเขาก็กลับคืนสู่สภาวะสงบนิ่ง บุรุษหนุ่มผู้นี้ต่อให้ดุดันเพียงใด ก็เป็นแค่ข้ารับใช้ผู้หนึ่ง แล้วจะกล้าลงไม้ลงมือกับเขาเช่นนั้นหรือ ครั้งก่อนเสียท่าให้ไอ้เด็กพิเรนทร์นั่น เขาไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยได้ และไม่กล้าคิดเล็กคิดน้อยด้วยเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเด็กพิเรนทร์นั่นมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาถึงเพียงนั้น ต่อให้เขาอาจหาญมากมายเพียงใด เขาก็ไม่กล้าพออยู่ดี หลังหลี่จิ้งอี้ดึงสีหน้ากลับ ไม่หยิ่งผยองได้อีกครั้ง จึงตวัดสายตาเรียบเฉยจับจ้องไปที่ศีรษะหลินหลัน วางมาดอย่างผู้อาวุโส กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย “อีกเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
หลินหลันเผยรอยยิ้มมุมปาก จากนั้นยืดตัวตรงเดินไปถึงที่นั่งถัดจากนางอวี๋แล้วหย่อนตัวลงนั้น และยังกล่าวต่อหลี่หมิงเจ๋ออีกด้วย “พี่ใหญ่กับหมิงจูมัวยืนอยู่ทำไมหรือ รีบนั่งลงเถอะเจ้าค่ะ!”
หลี่จิ้งอี้ชักสีหน้าบึ้งตึง และส่งเสียงสบถฮึด้วยความไม่พอใจ แต่กลับไม่เอ่ยปากตำหนิ ถึงอย่างไรน้องสามก็ยังไม่มา และสิ่งที่ต้องจัดการวันนี้เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง จึงไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับสะใภ้ของหมิงอวินขึ้นมาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
หลี่หมิงเจ๋อมองดูสีหน้าของลุงใหญ่ แล้วจึงมองไปยังท่าทีของน้องสะใภ้ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แยแสและไม่สะทกสะท้าน จึงเดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่สองทางด้านซ้ายเช่นกัน
เมื่อพี่ชายหย่อนตัวลงนั่งแล้ว แน่นอนว่าหมิงจูก็ไม่ขอยืนอีกต่อไปเช่นกัน โดยนั่งเว้นกับที่นั่งหลินหลันไปหนึ่งตำแหน่ง สายตาหลุบมองล่างตลอดเวลา ไม่สื่อสารใดๆ กับหลินหลันทั้งสิ้น
สีหน้าของหลี่จิ้งอีจึงบึ้งตึงหนักเข้าไปใหญ่ นางอวี๋ส่งสายตาให้เขา แสดงความหมายให้เขาใจเย็นๆ เข้าไว้
หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ หลี่จิ้งเหรินเดินเข้ามาโดยมีบุตรชายทั้งสองคอยประครองแขน หลี่จิ้งเหรินทักทายพี่ชายและพี่สะใภ้อย่างเป็นกันเอง ขณะที่หลินหลันและคนอื่นๆ ซึ่งเป็นเด็กรุ่นหลัง พากันลุกขึ้นยืนและคารวะให้เขา
“ทุกคนนั่งลงเถอะ!” น้ำเสียงของหลี่จิ้งเหรินยังคงแหบพร่า ด้วยระยะนี้ร้องไห้มากเกินไป
หลี่จิ้งอี้รู้สึกไม่พึงพอใจ น้องสามต้องให้ความเกรงอกเกรงใจพวกเขาถึงเพียงนี้ไปทำไมกัน
แม่จู้ ชุ่ยจือและชุนซิ่งตามหลังมาติดๆ เช่นกัน หลินหลันให้แม่จู้นั่งลง ทว่าแม่จู้กล้านั่งลงเสียที่ไหนกันล่ะ นางเป็นข้าทาส ในห้องนี้ล้วนเป็นนาย หากทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้กฎระเบียบเละเทะไปหมดหรือ
หลี่จิ้งเหรินกล่าว “แม่จู้ ท่านปรนนิบัติเหล่าไท่ไทมานานหลายปีเพียงนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงของตระกูลหลี่พวกเราเช่นกัน นั่งลงเถิด มิเป็นไรหรอก”
แม่จู้ถึงยินยอมนั่งลง โดยมีชุ่ยจือและชุนซิ่งยืนอยู่ด้านหลังนาง
หลี่จิ้งอี้กวาดสายตามองโดยรอบอย่างเคร่งขรึม ก่อนกล่าวขึ้นมาอย่างใจเย็น “ในเมื่อมาครบถ้วนกันแล้ว พวกเราก็เริ่มเลยแล้วกัน!”
หลี่จิ้งเหรินส่งเสียงไอสองสามครั้งอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาอันเหมาะสม หลี่จิ้งอี้จึงชำเลืองมองน้องสามอย่างอดกลั้น
หลี่จิ้งเหรินก้มศีรษะลงเล็กน้อย ในเมื่อเขาเป็นวัณโรคปอด อาการไอนี้จึงไม่ใช่อะไรที่จะควบคุมด้วยตนเองได้
“พิธีศพของเหล่าไท่ไทล่วงเลยเจ็ดวันแรกแล้ว ข้าคิดว่าหลังผ่านพ้นสามสิบเจ็ดวัน ก็จะนำดวงวิญญาณกลับบ้านเกิด ครั้งก่อน ข้าได้ปรึกษาหารือกับหมิงเจ๋อและภรรยาหมิงอวินไว้แล้ว พวกเราจะจัดพิธีศพอย่างใหญ่โตให้เหล่าไท่ไท ตอนนี้พวกเราจึงต้องมาปรึกษาหารือกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับพิธีศพนี้”หลี่จิ้งอี้กล่าว
หลินหลันเข้าใจกลยุทธ์ของลุงใหญ่ได้ในทันที เอ่ยค่าใช้จ่ายจัดพิธีศพขึ้นมาก่อน จากนั้นค่อยชักนำเข้าสู่เรื่องสมบัติ นางจึงตั้งใจว่าจะอดทนรับฟังไปก่อน
หลี่จิ้งเหรินส่งเสียงไอสองครั้ง แล้วกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่สมควร พี่ใหญ่มีความนึกคิดเช่นไรเพียงแค่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็พอ ตราบใดที่เป็นการดีต่อเหล่าไท่ไท ข้าล้วนไม่คัคค้านทั้งนั้น”
เวลานี้เอง หลี่จิ้งอี้ถึงได้สุขใจขึ้นมาเล็กน้อย นับว่าน้องสามให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมทีเดียว
ยามที่หลี่หมิงเจ๋อจะมาที่นี่ในวันนี้ หลั้วเหยียนกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ทุกอย่างให้ดำเนินไปตามความประสงค์ของน้องสะใภ้ ดังนั้น เขาจึงไม่เอ่ยปากใดๆ โดยง่าย
หลี่จิ้งอี้ปรับเปลี่ยนสีหน้าที่เคร่งขรึมในก่อนหน้านี้ หันมาเผยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศก “น้องรองเป็นความหวังและที่พึ่งพาของตระกูลหลี่พวกเรามาโดยตลอด พวกเราตระกูลหลี่ต่างก็ภาคภูมิใจในตัวน้องรอง แม้แต่คนในหมู่บ้านก็เอ่ยถึงน้องรองด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่า ที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะน้องรอง ที่พังพินาศก็เพราะน้องรอง น้องรองทำอันใดไว้บ้าง ข้าขอไม่กล่าวถึง ต่อให้ข้าได้รับผลกระทบได้ด้วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เกรงกลัว ทว่า…น้องรองทำให้เหล่าไท่ไทล้มป่วยไปด้วย จนกระทั่งจากกันไปในท้ายที่สุด มันช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก…” หลี่จิ้งอี้กะพริบตาปริบๆ ขณะกล่าว เพื่อผลักดันหยาดน้ำตาอันน้อยนิดไหลรินออกมา
“พี่ใหญ่ น้องรองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เช่นกัน จะว่าไปแล้ว คงได้แต่โทษอิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายนอก ที่ชักนำให้ผู้คนก่อเรื่องไม่คาดคิด” เมื่อนึกถึงมารดาขึ้นมาหลี่จิ้งเหรินก็เศร้าโศกเช่นกัน
หลินหลันนึกตำหนิ แสดงละครอย่างเป็นจริงเป็นจังเพียงนี้ คงคิดจะให้นางออกเงินมากๆ หน่อยสินะ
“เมื่อยามอยู่ที่บ้านเกิด เหล่าไท่ไทสุขภาพร่างกายแข็งแรงเสียยิ่งอะไรดี หมอดูยังกล่าวไว้ว่าเหล่าไท่ไทจะมีชีวิตอยู่ถึงแปดสิบแปดปี ไม่คาดคิดเลยว่า พอมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่เท่าใด ก็ถูกคนเขาทำให้โกรธเกรี้ยวจนลมป่วยหนัก…” นางอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
“เห็นได้ชัดว่าหมอดูผู้นี้เป็นคนหลอกลวงผู้หนึ่งเท่านั้น” หมิงจูพึมพำเสียงบางเบา
นาวอวี๋ดันหูดีได้ยินเข้า จึงกล่าวตะคอกทั้งน้ำตา “ใครบอกกว่าหมอดูโจวที่ตาบอดเป็นคนหลอกลวงหรือ คนเขาถ่ายถอดคำพูดจากสรวงสรรค์โดยตรง ทำนายครั้งหนึ่งต้องจ่ายสองตำลึงเงินเชียวนะ!”
โชคดีที่นางอวี๋ไม่ได้กล่าวออกไปว่าทำนายครั้งหนึ่งต้องจ่ายทองพันชั่ง มิเช่นนั้นหลินหลันคงได้หลุดหัวเราะเป็นแน่ สามีภรรยาคู่นี้จะน่าเวทน่าเกินไปแล้วหรือไม่ แม้กระทั่งหมอดูตาบอดก็ยังต้องหยิบยกออกมาด้วย
หมิงจูกลายเป็นคนเงียบขรึม ตั้งแต่ประสบพบเจอการเปลี่ยนแปลง แทบจะไร้ตัวตนก็ว่าได้ ทว่านิสัยใจคอยังคงไม่เลือนหาย ครั้งแต่รู้จุดประสงค์การมาของลุงใหญ่จากปากพี่ชาย จึงเป็นธรรมดาที่นางจะโกรธเคืองผู้เป็นลุงและมองเป็นศัตรูผู้หนึ่ง ก็เสมือนที่รู้สึกต่อหลินหลันในตอนแรก โดยการเข้าใจไปแล้วว่าการกลับมาบ้านตระกูลหลี่ของหลินหลันกับพี่รองมีจุดมุ่งหมายอยู่ด้วย ก็เลยตั้งตนเป็นอริต่อพวกเขา แม้ตอนนี้นางสำนึกได้ว่าตนเองผิดพลาดไปแล้ว ทว่า ครั้งนี้ นางมั่นใจว่าตนเองจะไม่ผิดพลาดอีกเป็นแน่ ลุงใหญ่มาถึงที่ก็เพื่อเงิน เพื่อแย่งชิงสมบัติของท่านย่า คนผิดต้องเป็นท่านลุงใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้น นางจึงอดหลุดปากเย้ยหยันไม่ได้
“ในเมื่อหมอดูโจวที่ตาบอดนั่นทำนายแม่นยำเพียงนั้น ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ควรช่วยถามไถ่หมอดูโจวที่ตาบอดผู้นั้นก่อนที่ท่านย่าจะมาเมืองหลวงว่า การเดินทางมาครั้งนี้ของท่านย่าจะได้สุขสบายหรือได้เผชิญหายนะกันแน่ ถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
หลินหลันแอบรำพึงรำพันในใจ นิสัยของหมิงจูนี่นะ เหตุใดถึงโผงผางได้เพียงนี้!
หลี่หมิงเจ๋ออดจ้องเขม็งใส่หมิงจูไม่ได้ อุตส่าห์กำชับนางไว้แต่แรกแล้วเชียวว่า อย่าเที่ยวเอ่ยปากพูดสุ่มสี่สุ่มห้า เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังกันเลย
นางอวี๋โกรธเกรี้ยวจนหน้าเขียวปั๊ด เดิมทีวันนี้ก็ต้องการเอาเรื่องหมิงจูอยู่พอดี ยามนี้หมิงจูดันเป็นฝ่ายรนหาเรื่องเอง เช่นนั้นนางก็ไม่ขอเกรงใจแล้วเช่นกัน นางจึงชักสีหน้าบูดบึ้งขณะกล่าวออกไป “หมิงจู เจ้าช่วยปากพล่อยในที่แห่งนี้ให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องของเจ้าที่ก่อไว้ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”
หมิงจูถูกพี่ชายถลึงตาใส่ จึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำอย่างจำใจ ป้าสะใภ้ใหญ่จะพูดอันใด นางล้วนทำหูทวนลมใส่
นางอวี๋ไม่ได้รู้ถึงการเปลี่ยนไปของหมิงจู ทว่านางอวี๋รู้จักนิสัยของหมิงจู นางเป็นคนที่วู่วาม นิดๆ หน่อยๆ ก็อาละวาดได้ เดิมคิดว่าหมิงจูจะต่อปากต่อคำขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าหมิงจูกลับไม่ตอบโต้แม้แต่นิดเดียว
หลี่จิ้งอี้ยังไม่ทันกล่าวจบสิ้น ดันถูกนางอวี๋ก่อกวนขึ้นมาเช่นนี้เสียแล้ว! ความนึกคิดของเขาเริ่มเกิดความวุ่นวายสับสนเล็กน้อย จึงอดจ้องนางเขม็งไม่ได้ นี่ไม่ได้จะทำให้เรื่องราวมันเละตุ้มเปะไปกันใหญ่หรือ ทั้งที่คุยกันไว้ดิบดีแล้วแท้ๆ ว่าให้ค่อยเป็นค่อยไป