ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 266 เจรจา (2)
หลังถูกนางอวี๋ขัดจังหวะเยี่ยงนี้ หลี่จิ้งอี้ถึงกับไม่รู้ว่าควรวกกลับไปหัวข้อเดิมอย่างไร เขาจึงจ้องเขม็งใส่นางอวี๋ด้วยความหงุดหงิดใจ
นางอวี๋กำลังกอบกุมความโกรธเกรี้ยวที่ไม่ได้ระบายออกไปจนอัดแน่นเต็มอก และท้ายที่สุดนางก็ต้องระบายออกมา “ตระกูลหลี่เรา หากกล่าวถึงความรู้ ก็มีน้องรองที่นับว่าความรู้สูง น้องรองเป็นบัณฑิตเหลี่ยงป่างจิ้นซื่อ หมิงอวินเป็นจอหงวนสาขาวิชาใหม่ หมิงเจ๋อถึงจะด้อยกว่าหน่อย แต่อย่างน้อยๆ ก็สอบผ่านหมิงจิ้ง สามพ่อลูกล้วนเป็นบัณฑิตในราชสำนัก อย่าว่าแต่ที่บ้านเกิดพวกเราเลย ต่อให้ในราชสำนักเองก็ปรากฏขึ้นน้อยนัก นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่นัก! ทว่าทุกคนยังซึมซับความสุขไม่เท่าใด พวกเจ้าก็ดันร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเสียแล้ว ตัวเองซวยลำพังก็แล้วไป แต่ดันพาลให้ทุกคนได้รับความทุกข์ทรมานไปด้วย บุตรชายคนที่สามข้า เดิมทีต้องเข้าร่วมการสอบปีนี้ หนังสือแนะนำตัวสำหรับส่งเข้าเขตโจวก็เขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ครานี้เป็นอย่างไรล่ะ เป็นอันต้องซวยไปด้วย ผู้ปกครองเขตเดิมทีรับปากตระกูลหลี่ไว้อย่างดิบดีว่าจะเว้นที่ไว้ให้ พอเกิดเรื่องราวขึ้นจึงเป็นจบกัน ตอนนี้ยังต้องกล่าวถึงการเลือกผู้นำวงศ์ตระกูลคนใหม่ ซึ่งความเป็นไปได้แทบจะทั้งหมดคือตำแหน่งหัวหน้าวงศ์ตระกูลของลุงใหญ่เจ้านี้คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วเช่นกัน…”
หลี่จิ้งอี้ถอนหายใจด้วยความอึดอัดใจ
หลี่จิ้งเหรินกล่าว “คนเราล้วนยึดติดกับคำเยินยอ และกดขี่เหยียดหยามผู้ที่ด้อยกว่า มันก็ไม่แปลกนี่”
นางมองค้อนใส่และกล่าวต่อไป “เรื่องเหล่านี้ไม่ขอเอ่ยถึงแล้วกัน เป็นเด็นสำคัญคือ เรื่องเหล่านี้ของน้องรองครอบครัวพวกเจ้า มันช่างชวนให้รู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดใจจริงๆ ทั้งๆ ที่น้องรองรู้ว่าเหล่าไท่ไทอายุมากแล้ว แต่ยังกระทำเรื่องสกปรกๆ เช่นนี้ ทำให้เหล่าไท่ไทเดือดดาลจนล้มป่วย หลานสาวแท้ๆ ของข้า ฝากฝังให้พวกเจ้าช่วยดูแล แล้วพวกเจ้าช่วยดูแลให้ข้าอย่างไรหรือ รังแกนางผู้อ่อนแอ ทำให้นางสตรีผู้บริสุทธิ์กลายเป็นสภาพเช่นไรไปแล้ว? ใครๆ ต่างกล่าวว่าคนมีความรู้คือผู้เข้าใจขนบธรรมเนียมและมรรยาท แต่ดูพวกเจ้ากระทำเรื่องเหล่านี้สิ มันใกล้เคียงกับคำว่าขนบธรรมเนียมและมารยาทหรือไรกัน หากว่ากันอย่างน่าเกลียดหน่อย ยังไม่สู้คนชนบทเหล่านั้นที่ไม่รู้จักหนังสือเลยด้วยซ้ำไป”
หลี่จิ้งเหรินได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่พูดจาอย่างน่าเกลียด จึงส่งเสียงไอสองสามครั้งด้วยความรู้สึกอับอาย หลี่หมิงต้งเห็นดังกล่าวจึงช่วยลูบแผ่นหลังเพื่อระบายเลือดลมให้บิดา
หลี่จิ้งอี้ก้มหน้าก้มตาพลางถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้ง “ฮูหยิน หยุดพูดได้แล้ว จะอย่างไรก็ไว้หน้าบรรดาเด็กรุ่นหลังบ้าง”
หลินหลันยิ้มเยาะในใจ เริ่มเล่นบทผู้ซื่อตรงทั้งๆ ที่เป็นผู้ร้ายแล้วสินะ
“ข้าก็อยากไว้หน้าพวกเขา ช่วงก่อนหน้าข้ายังกล่าวว่าเป็นอวี๋เหลียนเองที่หลงผิดไป จึงกระทำเรื่องน่าเกลียดเช่นนี้ ยังโทษพี่ชายและพี่สะใภ้ที่เลี้ยงดูบุตรสาวไม่ได้เรื่อง ตอนนี้เพิ่งรับรู้ว่า เป็นนางฮานกับหมิงจูร่วมกันวางแผนชักใยอวี๋เหลียน น้องรองนั่นก็ช่างตัณหากลับ จะแอบกินหญ้าอ่อนก็ดันมาคว้าคนกันเองเสียได้ แล้วนี่จะให้ข้าไปอธิบายต่อพี่ชายและพี่สะใภ้อย่างไรหรือ” นางอวี๋กอบกุมใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า พร้อมกับร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา
หมิงจูมองพี่ชายด้วยความกระวนกระวาย เรื่องนี้เป็นนางที่กระทำผิดอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นนางที่ทำลายอวี๋เหลียน แต่ตัวนางเองก็ได้รับกรรมตามสนองแล้วมิใช่หรือ
“เรื่องนี้ พวกเจ้ากระทำการเกินไปจริงๆ หากตระกูลอวี๋รับรู้เรื่องราวความจริงเข้าแล้ว คงไม่ยอมปล่อยผ่านไปเป็นแน่ นี่หากโวยวายขึ้นมา ตระกูลหลี่พวกเราคงไม่มีหน้าอยู่ที่บ้านเกิดต่อไปได้อีกแล้ว” สายตาดุดันของหลี่จิ้งอี้จับจ้องไปยังเรือนร่างหลี่หมิงเจ๋อ จะให้ง่ายดายหน่อยก็คงต้องเล่นงานผู้ที่อ่อนแอประเภทนี้ละ “หมิงเจ๋อ เรื่องนี้ เจ้าจะว่าอย่างไรหรือ จะอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องมีคำชี้แจงให้ครอบครัวอวี๋สักหน่อย”
หลี่หมิงเจ๋อรู้ดีแก่ใจว่านี่ลุงใหญ่กำลังต้องการเรียกเงิน ทว่า เขาค่อนข้างทุกข์ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ หลี่หมิงเจ๋อส่งสายตาไปซักถามน้องสะใภ้
หลินหลันเผยรอยยิ้มมุมปากเหยียดหยาม กล่าวอย่างใจเย็น “ป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนแรกที่ท่านพาอวี๋อี๋เหนียงมาเมืองหลวงด้วย มิใช่ก็เพราะอยากให้อวี๋อี๋เหนียงเป็นอนุภรรยาหมิงอวินหรอกหรือเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี จะเป็นให้พ่อ หรือให้เป็นลูกก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนมิใช่หรือเจ้าคะ หากพ่อสามีข้าไม่เกิดปัญหาขึ้น เกรงก็แต่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ในตอนนี้คงดีอกดีใจเสียยิ่งอะไรดีด้วยซ้ำ! เดิมคิดจะตกปลาตัวเล็ก คาดไม่ถึงดันตกได้ปลาตัวใหญ่เสียดื้อๆ”
อวี๋เหลียนที่ยืนรับฟังบทสนทนามาโดยตลอดด้านนอกประตู รู้สึกตระหนกตกใจทันทีทันใด ที่นายหญิงสะใภ้ร้องพูด เป็นความจริงหรือ
นางอวี๋โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง “ภรรยาหมิงอวิน จะพูดอะไรก็อย่าให้มันเลอะเทอะไปหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวว่าข้าพาอวี๋เหลียนมาเป็นอนุภรรยาคนอื่นเขาหรือ”
หลินหลันเผยสีหน้าเรียบเฉยดั่งเดิม และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะโกรธเกรี้ยวไปทำไมล่ะเจ้าคะ! การโมโหไม่ดีต่อสุขภาพหรอกเจ้าค่ะ ที่เรียกว่าอารมณ์โกรธมีผลเสียต่อตับ ขืนไม่ระวัง เลือดลมพุ่งขึ้นบน จะเส้นเลือดในสมองแตกได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้า…เจ้ากล้าสาปแช่งข้าหรือ” นางอวี๋โกรธเกรี้ยวจนริมฝีปากสั่น
“หลานสะใภ้จะกล้าสาปแช่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่ได้อย่างไรเจ้าคะ นี่เป็นคำบอกกล่าวด้วยใจจริงในฐานะหมอคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง หลานสะใภ้ก็แค่คำนึกถึงสุขภาพท่านป้าสะใภ้ใหญ่น่ะเจ้าค่ะ” หลินหลันลุกขึ้นอย่างใจเย็นแล้วย่างก้าวไปหยุดเบื้องหน้านางอวี๋ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย “คำบอกกล่าวด้วยใจจริงแม้ไม่น่าฟัง แต่มันก็เป็นความจริงที่สำคัญเจ้าค่ะ หลานสะใภ้เป็นคนตรงไปตรงมา พูดคำไหนคำนั้นมาแต่ไหนแต่ไร และไม่พูดอันใดที่ไร้หลักฐานยืนยัน หลานสะใภ้แค่อยากไว้หน้าที่เหลือน้อยนิดของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ทว่าหากท่านป้าดื้อดึงประสงค์ให้หลานนำหลักฐานออกมายืนยัน เช่นนั้นหลานก็จะนำออกมาให้ก็ได้ ทางที่ดีที่สุดเรียกอวี๋อี๋เหนียงมาด้วย จะได้ให้นางรับรู้ไว้ให้เต็มสองหู ว่าสรุปแล้วใครเป็นคนชักใยนางกันแน่ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันยิ้มอย่างคนไร้พิษสรง แต่กลับทำให้นางอวี๋อดเกิดความกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ ภรรยาหมิงอวินมีหลักฐานอยู่ในมือจริงๆ หรือ ทว่า…จะเป็นไปได้อย่างไรกันหรือ ในเมื่อตอนแรกก็มีแค่คำพูดนางฮานที่เอ่ยไว้ในจดหมายเท่านั้นเอง แต่ว่า…ท่าทีของภรรยาหมิงอวินดูเหมือนมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งเสียด้วยสิ!นางครุ่นคิดด้วยความสงสัย นางอวี๋จึงมองดูสีหน้าของสามีด้วยความกังวลใจ
หลี่จิ้งอี้ถึงกับสมองตื้อ เรื่องของบรรดาสตรีเหล่านี้ เขาไม่อาจเข้าใจกระจ่างแจ้งได้จริงๆ
นางอวี๋กัดฟันแน่น แล้วกล่าวเถียง “เจ้าอย่ามาพูดสองแง่สองง่ามด้วยคำพูดเหล่านี้เลย อวี๋เหลียนบอกกล่าวข้าหมดแล้ว เป็นหมิงจูที่ปะเหลาะให้นางไป”
หลินหลันหัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ! คนอื่นปะเหลาะไม่กี่ประโยคนางก็ไปด้วยแล้ว มิใช่ว่าคนอื่นเอามีดจ่อคอขู่เข็นให้นางไป หรือเอาเชือกผูกมัดจูงนางไปเสียหน่อยเจ้าค่ะ แล้วจะไปทำไมหรือ ไปยั่วยวนคนเขาสินะ! น่าเสียดายที่แผนการชั่วร้ายผิดพลาด ดันไปยั่วยวนผิดคน แล้วนี่จะโทษใครได้หรือ หากครอบครัวอวี๋เอ่ยถาม ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็พูดไปตามความจริงแล้วกัน! หากครอบครัวอวี๋ต้องการโวยวาย เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาโวยวายไป ถึงอย่างไรพ่อสามีข้าก็ถูกเนรเทศไปถิ่นแดนไกลแล้ว ชีวิตที่เหลือก็เป็นเช่นนี้แล้วละเจ้าค่ะ อยากหาเหาใส่หัวก็แล้วแต่ ข้าคิดว่า พ่อสามีข้าไม่ถือสาเช่นกัน และพวกเรายิ่งไม่ถือสาเข้าไปใหญ่ ข่าวคราวเสียหายอันใหญ่โตของตระกูลหลี่ล้วนผ่านพ้นกันมาแล้ว กับเรื่องแค่นี้ไม่ถือว่ามากมายหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ ป้าสะใภ้ใหญ่เคยคิดแทนอวี๋อี๋เหนียงบ้างหรือไม่ว่า เมื่อโวยวายไปโวยวายมา ผู้ที่ขายหน้ามากที่สุดเป็นใคร อวี๋อี๋เหนียงน่าเวทนามากพอแล้วเจ้าค่ะ ป้าสะใภ้ใหญ่ก็อย่าได้ผลักนางไปสู่เส้นทางจนตรอกเลยเจ้าค่ะ!”
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน ทั้งๆ ที่เป็นพวกเขากระทำผิด แต่พอถูกภรรยาหมิงอวินพูดเยี่ยงนี้ กลับกลายว่านางเป็นฝ่ายผิด นางอวี๋ถึงกับตามไม่ทัน ริมฝีปากล่างสั่นระริกหนักหน่วงยิ่งขึ้น
หลินหลันกล่าวเสริมขึ้นมาอีกครั้ง “เดิมข้าคิดไว้ว่ารอให้จัดพิธีศพของเหล่าไท่ไทให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ค่อยถามไถ่ความประสงค์ของอวี๋อี๋เหนียง หากนางยินดีที่จะอยู่บ้านตระกูลหลี่ต่อไป พวกเราก็จะไม่ทำให้นางต้องเสียเปรียบเช่นกัน มีพวกเราอยู่ทั้งคน ถึงอย่างไรก็ปล่อยปละละเลยนางไปไม่ได้ หากนางไม่อยากอยู่ที่นี่ และยินดีจะแต่งงานใหม่ ข้าก็จะช่วยนางจัดการเรื่องนี้ให้ดิบดี แน่นอนว่า ข้าจะเตรียมสินเดิมส่วนหนึ่งให้นางไปด้วย ทั้งหมดให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง ข้าคิดว่า การที่ข้ากระทำเช่นนี้ ก็ถือว่าให้ความยุติธรรมแล้วเช่นกัน…” หลินหลันหันไปมองยังอาสาม “ท่านอาสาม ท่านคิดว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“จะให้อวี๋เหลียนอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้เป็นอันขาด ข้าจะพานางกลับบ้านเกิด ส่วนเรื่องของนาง ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง…” นางอวี๋เอ่ยแทรกขึ้นมา นี่เป็นเรื่องของครอบครัวอวี๋ของนาง มีสิทธิ์อันใดไปถามไถ่อาสามหรือ
“หากป้าสะใภ้ใหญ่ยินดีที่จะเป็นผู้ตัดสินใจเองนั่นก็ดีที่สุดเจ้าค่ะ จะว่าไป ความโชคร้ายของอวี๋อี๋เหนียงก็คือการที่ป้าสะใภ้ใหญ่ละโมบโลภมาก จึงตัดสินใจให้นางมาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในแรกเริ่ม ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ถือเสียว่าทำความดีชดเชยความผิดไปแล้วกันเจ้าค่ะ!” หลินหลันตัดบทคำพูดของนางอวี๋อย่างสั้นง่ายได้ใจความ
นางอวี๋ถึงกับพูดไม่ออก นางกล่าวว่าเรื่องของอวี๋เหลียน นางจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งภรรยาหมิงอวินกำลังหมายความว่าในส่วนของค่าทำขวัญชดเชย ให้นางเป็นผู้รับผิดชอบ คาดไม่ถึงเลยว่าภรรยาหมิงอวินจะทำให้ตนเองกลายเป็นผู้บริสุทธิ์เอี่ยมอ่องได้ถึงเพียงนี้ แล้วนำความผิดทั้งหมดผลักมายังตัวนาง นั่นไม่เท่ากับนางคว้าน้ำเหลวอีกแล้วหรือ นอกจากนั้นยังเป็นการหาเรื่องใส่ตนเองอีกต่างหาก?
หลี่จิ้งอี้เห็นภรรยาบ้านตนเองถูกภรรยาหมิงอวินพูดใส่สองสามประโยคก็ถึงกับพูดไม่ออกเสียแล้ว จึงแอบด่าภรรยาตนเองว่าไม่ได้เรื่องได้ราว ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่าจะกู้สถานการณ์กลับมาอย่างไรดี ทันใดนั้นเขาฉุกคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงปั้นหน้าเคร่งขรึมขณะกล่าว “วันนี้เรียกพวกเจ้ามา มิใช่เพื่อเรื่องของเด็กสาวอวี๋เหลียน แต่เพื่อปรึกษาเจรจาเกี่ยวกับเรื่องพิธีศพของเหล่าไท่ไท พวกเจ้าทะเลาะกันเยี่ยงนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาได้หรือ ช่วยหุบปากให้หมดนั่นละ”
หลินหลันไม่ขอเปิดโอกาสให้หลี่จิ้งอี้ฉกฉวยไปได้อีกแล้ว โดยการกล่าวสวนทันควันด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านต้องการเอ่ยคำพูดเดิมๆ ขึ้นมาอีกครั้งหรือเจ้าคะ ขออภัยที่หลานสะใภ้พูดความจริงนะเจ้าคะ หากท่านต้องการให้พวกเราออกเงินสามหมื่นตำลึงเงิน พวกเราหามาให้มิได้หรอกเจ้าค่ะ ต่อให้หามาได้ก็ไม่อาจให้ได้เช่นกัน ประการแรก การจัดพิธีศพที่ใช้เงินมากถึงสามหมื่นตำลึงเงิน ต่อให้เป็นตระกูลที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็ไม่ใช้จ่ายมากเพียงนี้ อย่าลืมสิเจ้าคะ ว่าพ่อสามีข้ากระทำความผิดเรื่องรับสินบน ทางราชสำนักยึดทรัพย์สินของพวกเราไปหมดแล้ว เพราะพวกท่านอาศัยอยู่ที่บ้านเกิด ดังนั้นจึงรอดพ้นไปได้ หากจัดอย่างเอิกเกริกในเวลาเช่นนี้ หากทางบ้านเกิดนั่นมีผู้ประสงค์ร้าย จึงมาฟ้องร้องต่อทางการเข้า ท่านคิดว่าทางราชสำนักจะคิดเช่นไรหรือเจ้าคะ เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ประการที่สอง ค่าใช้จ่ายทางด้านเมืองหลวงนี้ ล้วนเป็นพวกเราจ่ายทั้งหมด ซึ่งจ่ายไปทั้งสิ้นประมาณหกเจ็ดพันตำลึงเงินแล้วเห็นจะได้ โดยพวกเราไม่ได้ทวงถามจากพวกท่านสักเหรียญเดียว ทั้งๆ ที่เหล่าไท่ไทมิได้มีพ่อสามีข้าเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียวเสียหน่อย และไม่ใช่ว่ามีหลานชายเพียงหมิงเจ๋อและหมิงอวินสองคนเท่านั้น จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเป็นพวกเราฝ่ายเดียวที่จ่ายออกไป มิเช่นนั้นคนอื่นคงได้คิดว่าเหล่าไท่ไทมีบุตรชายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ประการที่สาม ตอนที่เหล่าไท่ไทยังมีชีวิตอยู่ ได้บอกกล่าวไว้ว่า พิธีศพของนางให้จัดอย่างเรียบง่าย ข้าได้คิดคำนวณแทนพวกท่านแล้ว สุสานบรรพบุรุษของตระกูลหลี่เพียงพอที่จะฝังลูกหลานสามชั่วอายุคน ทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีมากที่สุดในบ้านเกิด มีแต่ครอบครัวระดับแนวหน้ามีหน้ามีตา ดังนั้นสุสานของเหล่าไท่ไทจึงไม่จำเป็นต้องจัดทำขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ท่านลุงต้องการเรียนเชิญแขกเรื่อง ญาติสนิท มิตรสหายมาร่วมงาน ต้องการให้มีมหรสพสามวันสามคืน ค่าใช้จ่ายก็ไม่เกินหกพันตำลึงเงินหรอกเจ้าค่ะ สิบกว่าปีมานี้ พ่อสามีข้าให้คุณประโยชน์แก่พวกท่านไว้ไม่น้อย เงินหกพันตำลึงเงินนี้ ต่อให้ท่านจ่ายผู้เดียว ก็ถือว่าขนหน้าแข้งไม่ร่วงเช่นกันเจ้าค่ะ แล้วยังเพิ่มชื่อเสียงเรียงนามความเป็นบุตรกตัญญูให้แก่ท่านด้วยนะเจ้าคะ!”
หลี่จิ้งเหรินได้ฟังจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เป็นอันเข้าใจได้ว่า เหตุใดมารดาเขาถึงต้องนำทรัพย์สมบัติที่เหลือมอบให้ภรรยาหมิงอวินเป็นผู้ดูแล ภรรยาหมิงอวินช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! นอกจากนาง คงไม่มีผู้ใดกำราบพี่ชายเขาได้อีกแล้วจริงๆ หลี่จิ้งเหรินส่งเสียงไอสองครั้ง จากนั้นกล่าวขึ้น “แน่นอนว่าพิธีศพของเหล่าไท่ไทนั้น บุตรทั้งสามคนต้องร่วมรับผิดชอบด้วยกัน ภรรยาหมิงอวิน ไว้ถึงเวลาข้าจะหาเงินสองพันตำลึงมาสมทบให้เจ้า พี่ใหญ่ ข้าจะออกเงินอีกสองพันตำลึง พวกเราออกรวมกันสี่พันตำลึงเงิน จัดการพิธีศพของเหล่าไท่ไทให้เสร็จสิ้นก็พอแล้ว ไอ้ที่ว่าจะเรียนเชิญแขกเหรื่อทั้งหมู่บ้านอะไรนั่นคงไม่ต้องหรอก ภรรยาหมิงอวินพูดถูก พวกเราอย่าทำให้เอิกเกริกไปจะดีกว่า อีกอย่าง นี่เป็นความประสงค์ของเหล่าไท่ไทด้วยเช่นกัน”
หลี่จิ้งอี้มองดูน้องสามอย่างเหลือเชื่อ เวลานี้เขารู้สึกเพียงเลือดลมที่ปะทุขึ้นอย่างหนักหน่วง เกือบกระอักเลือดออกมาก็ว่าได้ นี่น้องสามประสาทกลับไปแล้วหรือไร เหตุใดถึงช่วยเข้าข้างภรรยาหมิงอวินขึ้นมาเสียแล้ว
หลี่หมิงเจ๋อลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอาสาม ค่าใช้จ่ายทางด้านเมืองหลวงนี่ ท่านมิต้องเป็นกังวลไปหรอกขอรับ ท่านรักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรงเข้าไว้ก็พอขอรับ ปีหน้าหมิงจู้ต้องแต่งภรรยาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องใช้เงินนะขอรับ…”
หลี่จิ้งเหรินกล่าวโดยไม่สนใจสายตาของพี่ชายที่กำลังเดือดดาล “หมิงเจ๋อ น้ำใจของเจ้านี้ อาซาบซึ้งยิ่งนัก ทว่าต่อให้อายากจนเพียงใด ก็ต้องหาเงินมาจัดพิธีศพเหล่าไท่ไทให้จงได้ บุญคุณผู้เลี้ยงดูนั้นยิ่งใหญ่เกินท้องนภา กับเงินไม่กี่พันตำลึงนี่เทียบกันได้ด้วยหรือ อีกอย่าง เงินของอาล้วนเป็นเงินที่พ่อเจ้าให้ไว้ทั้งนั้นมิใช่หรือ เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ละ เจ้ามิต้องเกลี้ยกล่อมอาอีกแล้ว”