ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 267 เจรจา (3)
หลี่จิ้งอี้ไม่อาจระงับอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป สถานการณ์ดำเนินไปห่างไกลจากที่คาดการณ์ไว้ ด้วยคำพูดนี้ของน้องสาม ทำให้เขาตกสู่สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากเขาดื้อดึงยืนหยัดให้หมิงเจ๋อและภรรยาหมิงอวินรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของพิธีศพมารดา เขาก็จะกลายเป็นบุตรชายอกตัญญูที่ไม่รู้สำนึกคุณมารดาที่เลี้ยงดูมา แต่เดิมทีเขาคิดจะอาศัยประเด็นนี้นำหัวข้อสนทนาโยงไปสู่การถกเถียงเรื่องทรัพย์สมบัติ จากนั้นสองพี่น้องร่วมมือกันต่อกรภรรยาหมิงอวิน ตอนนี้เขาไม่อาจฝากความหวังไว้ที่น้องสามได้เสียแล้ว อีกทั้งเขายังเข้าใจชัดเจนว่า วันนี้หากทวงคืนสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สมบัติจากภรรยาหมิงอวินไม่ได้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ เขาต้องลองดูสักตั้ง หลี่จิ้งอี้ครุ่นคิดอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพินิจพิจารณาเปรียบเทียบสิ่งที่ให้ประโยชน์มากกว่า ท้ายที่สุดเขายอมกลั้นใจจ่ายเงินสามพันตำลึงนี้ออกไปแล้วกัน
“ในเมื่อเหล่าไท่ไททิ้งคำสั่งเสียไว้ เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงเคารพในความปรารถนาสุดท้ายของเหล่าไท่ไท โดยจัดพิธีศพให้อย่างเรียบง่าย ส่วนที่ว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด ภรรยาหมิงอวิน เจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่บ้านเกิด ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงคิดคำนวณไปหรอก” หลี่จิ้งอี้ยอมประนีประนอม ทว่าในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมปรามภรรยาหมิงอวินด้วยเช่นกัน เพื่อที่นางจะได้ไม่คิดว่าตนเองถูกต้องเสมอจนมากเกินไป
ท่าทีของอาสามเสมือนหัวใจดวงหนึ่งที่แน่วแน่ ทำให้หลินหลันมั่นใจมากยิ่งขึ้น ลุงใหญ่ได้รับแรงกดดันจนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ภายในใจคงรู้สึกไม่พึงพอใจเป็นธรรมดา นางจึงไม่สนใจต่อการจิกกัดสองสามประโยคนั่น การใส่อารมณ์กับคนประเภทนี้ เท่ากับสร้างความหงุดหงิดให้ตนเองเสียเปล่า
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ก็จริงเจ้าค่ะ ท่านลุงต้องมีประสบการณ์มากกว่าหลานสะใภ้แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ในดวงตาของหลี่จิ้งอี้ฉายความจงเกลียดจงชังขึ้นมาชั่ววูบ จากนั้นแสดงท่าทีอันน่าเกรงขามอย่างผู้เป็นเจ้าบ้านขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเมื่อหญิงชราไม่อยู่แล้ว เขาก็คือเจ้าบ้านอย่างชอบธรรม ทว่าเพราะก่อนหญิงชราสิ้นลมหายใจไป ดันนำทรัพย์สมบัติมอบให้ภรรยาหมิงอวิน ทำให้อำนาจการเป็นเจ้าบ้านของเขาโดนคุกคาม เรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าสำคัญแล้ว ฐานะตำแหน่งก็สำคัญมากเช่นกัน นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาผูกใจเจ็บต่อภรรยาหมิงอวิน
“ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เหล่าไท่ไทฝากฝังไว้ก่อนสิ้นลมเถอะ” หลี่จิ้งอี้ยืดลำตัว แสดงความมั่นอกมั่นใจในตัวเอง
หลินหลันชำเลืองมองอาสาม เห็นอาสามพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ทำให้หลินหลันประหลาดใจ นี่ท่านอาสามกำลังสื่อว่าเขายืนฝั่งนางเช่นนั้นหรือ
หลี่หมิงเจ๋อกล่าว “ท่านลุงยังมีข้อกังขาต่อคำฝากฝังสุดท้ายของท่านย่าอีกหรือขอรับ หลานเข้าใจเช่นกันว่าท่านลุงคงยากที่จะทำใจยอมรับได้ต่อผลลัพธ์เช่นนี้ ทว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ท่านย่ากระทำออกมาหลังได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแล้ว ซึ่งนางคงมีความคิดของนางเองแน่นอนขอรับ” หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกว่าตนเองไม่อาจมัวหลบอยู่ด้านหลังน้องสะใภ้อยู่เรื่อย ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายคนโตในบ้านนี้ หมิงอวินไม่อยู่ ตามหลักการเขาควรเป็นผู้ปกป้องน้องสะใภ้ เขาจึงยืนออกมารับแรงกดดันเป็นคนแรก จะได้ช่วยแบ่งเบาน้องสะใภ้ด้วยเช่นกัน
หลินหลันคาดไม่ถึงว่าหมิงเจ๋อจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เพียงเอ่ยปากกล่าวก็อุดคำพูดของลุงใหญ่ไว้ก่อน ด้วยการสื่อความหมายที่ว่าพวกเรารู้ดีว่าท่านมีข้อกังขา ท่านรับไม่ได้ แต่นี่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อนี่เป็นผล ‘การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง’ ของเหล่าไท่ไท! ส่วนที่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้หรือ ท่านคงต้องค่อยๆ คิดด้วยตนเองแล้วละ!
นางอวี๋เห็นสามีตนเองเข้าเรื่องอย่างผิดขั้นตอนไปหน่อย จึงมาช่วยแก้ต่างทันควัน “ใครบอกหรือว่านี่เป็นการตัดสินใจหลังเหล่าไท่ไทได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแล้ว ช่วงท้ายของหลายวันก่อนหน้านี้ เหล่าไท่ไทล้วนสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่จดจำผู้คนก็จดจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าจึงต้องขอถามไถ่สักหน่อยว่านางจะไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งได้อย่างไรกันหรือ จะไตร่ตรองอย่างรอบคอบได้อย่างไรหรือ”
“ก็นั่นน่ะสิ เหล่าไท่ไทจับมือของข้า ประเดี๋ยวเรียกเสียน ประเดี๋ยวเรียกเหริน นางจดจำใครต่อใครไม่ได้ชัดเจนด้วยซ้ำไป ไอ้ที่เรียกว่าคำฝากฝังไว้ก่อนจากไป ข้าคิดว่ามันมีปัญหาใหญ่ทีเดียวเลยละ” หลี่จิ้งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบิดามารดาไม่นำสิ่งของมอบให้บุตรชาย แต่กลับมอบให้หลานสะใภ้ผู้หนึ่ง พูดออกไป ใครเขาจะเชื่อหรือ ต่อให้มอบให้แก่หลานสะใภ้ เช่นนั้นก็ต้องมอบให้หลานสะใภ้คนโตมิใช่หรือ จะอย่างไรก็คงไม่ตกไปถึงมือภรรยาหมิงอวินไปได้ นี่มันต้องมีปัญหาอันใดแฝงอยู่เป็นแน่” นางอวี๋กล่าวเสริม
พวกเขาสามีภรรยาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต้นตอของการมีข้อกังขาของพวกเขาก็คือหญิงชราสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนชัดเจน ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจของหญิงชราเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง กล่าวลึกลงไปหน่อยก็คือมีคนยุยงหลอกล่อหญิงชรา คงต้องกล่าวว่า นี่เป็นการเข้าสู่ประเด็นที่ยอดเยี่ยมทีเดียวเชียว หลินหลันไม่รีบร้อนโต้ตอบแต่อย่างใด เพราะบางครั้งหญิงชราก็เลอะเลือนไปบ้างจริงๆ แต่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าหญิงชราไม่มีช่วงเวลาที่สติสัมปชัญญะครบถ้วนเช่นกัน หลินหลันจึงอดทนรอฟังการพร่ำพรรณนาของหลี่จิ้งอี้ในลำดับต่อไป
ภายในห้องโถงหรูหราปราศจากเสียงใดๆ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงโต้ตอบ และไม่มีผู้ใดส่งเสียงตอบสนอง ทำเพียงมองดูพวกเขาสามีภรรยาขับขานละคร นี่ทำให้หลี่จิ้งอี้คู่สามีภรรยาประหม่าและอับอายอย่างเห็นได้ชัด หลี่จิ้งอี้จึงส่งสายตาไปยังน้องสาม แสดงท่าทีให้เขาให้ความร่วมมือกันหน่อย หลี่จิ้งเหรินทอดถอนใจออกมาหนึ่งเฮือก จากนั้นเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต่อให้เหล่าไท่ไทตัดสินใจอย่างเลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำสั่งเสียของเหล่าไท่ไท ตอนนั้นผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มองเห็น และได้ยินแล้วเช่นกัน ทั้งหมดกลายเป็นตัวตัดสินสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ ข้าว่าเรื่องนี้ ก็ว่ากันตามนี้เถอะ!”
ถุย! เจ้าไอ้น้องสารเลว ภรรยาหมิงอวินซื้อตัวเจ้าไว้ด้วยแล้วเช่นนั้นหรือ มิเช่นนั้น ช่วงเวลาสำคัญเยี่ยงนี้จะทรยศกันได้อย่างไร หลี่จิ้งอี้เดือดดาลอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน จ้องมองน้องสามอย่างดุดัน จากนั้นกล่าวสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าก็รู้เช่นกันนี่ว่าคงมีเลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง หากนั่นเป็นช่วงเวลาที่เหล่าไท่ไทเลอะเลือนอยู่จริง เช่นนั้นพวกเราก็จะปล่อยให้มันผิดซ้ำซากหรือ นี่ไม่ใช่การทำให้เหล่าไท่ไทนอนตายตาไม่หลับหรือ”
“ก็นั่นสิเจ้าคะ เกิดนี่มิใช่ความตั้งใจที่แท้จริงของเหล่าไท่ไท นางอยู่ในสรวงสวรรค์ก็คงไม่อาจสงบสุขได้เช่นกัน ต้องเข้าใจไว้ว่าเหล่าไท่ไทให้ความสำคัญต่ออนาคตของตระกูลหลี่มากเสียยิ่งกว่าชะตาชีวิตตนเองด้วยซ้ำ แล้วจะนำสิ่งสุดท้ายที่เหลือในตระกูลมอบให้หลานสะใภ้ที่ไม่เคยดูแลจัดการอันใดไปได้อย่างไรหรือ” นางอวี๋กล่าวเสริมทุกช่องว่างที่เห็นว่าจะก่อเกิดประโยชน์ได้
“แต่ข้าว่าภรรยาหมิงอวินก็ดูมีความสามารถทีเดียวเชียว ได้ยินว่ายามที่ครอบครัวน้องรองประสบปัญหา ล้วนเป็นภรรยาหมิงอวินที่แบกรับไว้ ทั้งต้องวิ่งเต้นเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ทั้งต้องดูแลเหล่าไท่ไท ยุ่งวุ่นวายทั้งเรื่องภายนอกและภายในบ้าน และดูจากการจัดพิธีศพครั้งนี้ จัดการได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ทั้งในและนอกล้วนจัดการได้อย่างเหมาะสม ด้วยความสามารถนี้ คนชรารุ่นเราๆ ก็ต้องรู้สึกละอายแก่ใจด้วยซ้ำ ข้าคิดว่าในบรรดาลูกสะใภ้รุ่นหลัง ไม่มีใครทำได้ดีเยี่ยมอย่างภรรยาของหมิงอวินด้วยซ้ำไป” หลี่จิ้งเหรินเรียบเรียงเหตุและผล
“น้องสาม เจ้ากินยาผิดแล้วหรือไร” หลี่จิ้งอี้รู้สึกถึงเพลิงโกรธเกรี้ยวที่กำลังเผาไหม้ ในที่สุดเขาก็มองออกแล้วว่า น้องสามไม่ได้มาเพื่อช่วยเป็นกองหนุน แต่มาเพื่อทำลายจุดยืนของเขา จึงอดกล่าวตำหนิด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่ได้
หลี่จิ้งเหรินสงบปากสงบคำลง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อื่นใด
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน “ท่านอาสามกล่าวชมกันเกินไปแล้วเจ้าค่ะ หลานมีความสามารถมากมายเพียงนั้นที่ไหนกันเจ้าคะ ก็แค่ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ภายในบ้านมีพี่สะใภ้ใหญ่ช่วยจัดการดูแล มีเหล่าไท่ไทอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นที่พึ่งทางใจของทุกคน ด้านนอกมีผู้สูงศักดิ์คอยให้การช่วยเหลือสนับสนุน หลานก็แค่ออกแรงวิ่งจนขาขวิดเท่านั้นเองเจ้าค่ะ เมื่อก่อนเหล่าไท่ไทเคยสั่งสอนหลานสะใภ้ไว้ว่า คนเราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ต่อให้ปัญหาใหญ่เพียงใดก็จะแก้ไขได้ ตระกูลหนึ่งหากต้องการยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ต้องการยืนยาวไปเป็นร้อยๆ ปี จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดที่โดดเด่นยิ่งๆ ขึ้นไป ทว่าที่สำคัญไปกว่านั้น คือคนในครอบครัวต้องมีจิตใจนึกคิดไปในทางเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจไปในทางเดียวกัน หากแต่ละครอบครัวล้วนนึกถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน เช่นนั้นคงต้องบ้านแตกสาแหรกขาดในไม่ช้า หลานสะใภ้จดจำคำสั่งสอนนี้ของเหล่าไท่ไทไว้ขึ้นใจเสมอมา เมื่อประสบปัญหาและนึกถึงคำพูดของเหล่าไท่ไท ช่วยให้เกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่ ท่านว่า เหล่าไท่ไทพูดไว้มีเหตุมีผลหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่จิ้งอี้มีหรือจะฟังไม่ออก นี่ภรรยาหมิงอวินกำลังหยิบยกคำพูดของหญิงชรามาสั่งสอนเขา เขาตำหนิเด็กรุ่นหลังได้ แต่กล่าวว่าที่หญิงชราพูดนั่นไม่ถูกต้องไม่ได้ หลี่จิ้งอี้จึงกล่าวด้วยความจำใจ “สติปัญญาของเหล่าไท่ไทล้ำเลิศกว่าสตรีทั่วไปในครอบครัวคนอื่นเขา หากไม่มีคำชี้นำสั่งสอนของเหล่าไท่ไท น้องรองหรือจะมีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ไปได้”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป หลี่จิ้งอี้ก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองพูดผิดพลาดไปแล้ว ปัจจุบันนี้น้องรอง ‘มีความสามารถโดดเด่น’ ก็จริง โดนเด่นจนถูกเนรเทศไปถิ่นแดนไกลกันเลยทีเดียว นี่ไม่เท่ากับเป็นการถากถางหญิงชราหรอกหรือ และประเด็นนี้ถูกภรรยาหมิงอวินกล่าวไปเพียงไม่กี่ประโยคก็ดูเหมือนจะเบี่ยงเบนออกไปอีกครั้งเสียแล้ว
นางอวี๋ถึงกับกะพริบตาด้วยความร้อนรนใจ พลางบ่นพำพึมในใจ นี่มันพูดไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาความเหมาะสมเลยจริงๆ
หลินหลันกลั้นรอยยิ้มด้วยความยากลำบากกว่าจะกลั้นไว้ได้ ว่ากันตามจริง คำพูดท่านลุงใหญ่นี้ก็ไม่ได้บิดเบือนไปจากความจริงสักเท่าใด สติปัญญาของหญิงชราล้ำเลิศกว่าสตรีทั่วไปในครอบครัวคนอื่นเขา มิเช่นนั้น จะสั่งสอนบุตรชายทั้งสองออกมาอย่างย่ำแย่สุดขีดได้อย่างไรกัน และกลายเป็นว่าบุตรชายที่ป่วยออดๆ แอดๆ ซึ่งนางไม่ค่อยใส่ใจ กลับมีเหตุมีผลอยู่บ้าง
หลี่จิ้งเหรินแอบถอนหายใจ ขืนพี่ใหญ่ยังพูดต่อไป จะพาลให้ตนเองอับอายขายหน้าไม่เหลือชิ้นดีไปเปล่าๆ
หลี่จิ้งอี้ส่งเสียงกระแอมสองครั้งด้วยความอับอาย กล่าวว่า “โดยสรุป ข้าไม่เชื่อในการตัดสินใจเช่นนี้ที่เหล่าไท่ไทกระทำออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ที่ว่าคำสั่งเสียสุดท้ายของเหล่าไท่ไท ข้าคนหนึ่งละที่ไม่ได้ยินเลยสักคำ ล้วนเป็นแม่จู้ที่เอื้อนเอ่ยออกมาทั้งนั้น สรุปแล้วเป็นความประสงค์ของเหล่าไท่ไทหรือไม่ นี่ต่างหากที่ควรต้องได้รับการตรวจสอบความจริง”
แม่จู้ที่ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ มาโดยตลอดเอ่ยปากขึ้น “นายท่านใหญ่ ความหมายของท่านคือ คำสั่งเสียของเหล่าไท่ไทล้วนเป็นบ่าวแต่งคำหลอกลวงขึ้นมาหรือเจ้าคะ”
หลี่จิ้งอี้ส่งเสียงสบถฮึ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้นี้เช่นกัน”
แม่จู้โกรธเกรี้ยวจนเลือดขึ้นหน้า นางลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “แม้บ่าวเป็นคนพูดน้อย ทว่าทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ย ทุกเรื่องราวที่กระทำล้วนเห็นคุณค่าต่อมโนธรรมความถูกต้องในตนเองทั้งสิ้น ในเมื่อวันนี้นายท่านใหญ่พูดกันถึงขั้นนี้ บ่าวก็ขอบังอาจกล่าวสักหนึ่งประโยคเช่นกัน นายท่านใหญ่กล่าวโทษเพียงว่าเหล่าไท่ไทเลอะเลือน แต่กลับไม่เคยนึกย้อนมองตนเอง ว่าเหตุใดเหล่าไท่ไทต้องนำสิ่งที่เหลืออยู่มอบให้คู่สามีภรรยาหมิงอวิน แทนที่จะเป็นท่านซึ่งเป็นบุตรชายคนโต”
“แม่จู้…เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว อย่าคิดว่าเจ้าและภรรยาหมิงอวินจะรวมหัวกันหลอกเหล่าไท่ไทได้ หรือกระทำเรื่องโกหกหลอกลวงแล้วก็จะไม่มีผู้ใดรับรู้ โบราณกล่าวไว้ว่า เรื่องชั่วที่เคยทำไว้ จะอย่างไรก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน” นางอวี๋ลุกพรวดขึ้นยืนปกป้องสามีของตนเอง
แม่จู้เผชิญหน้ากับสายตาของนางอวี๋อย่างไร้ท่าทีอ่อนข้อ “ฮูหยินใหญ่ แม้ว่าบ่าวจะต่ำต้อย แต่ก็มีศักดิ์ศรี ในเมื่อท่านกล่าวว่าบ่าวกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายรวมหัวกัน เช่นนั้นท่านก็เอาหลักฐานออกมายืนยันสิเจ้าคะ”
นางอวี๋แสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าเหล่าไท่ไทไม่อยู่แล้ว คนเสียชีวิตไปแล้วคงมาเป็นหลักฐานยืนยันให้มิได้ พวกเจ้าก็เลยวางมาดบาตรใหญ่เช่นนั้นหรือ ต้องการหลักฐานใช่หรือไม่ ได้เลย วันนี้ข้าจะฉีกหน้ากากจอมปลอมของเจ้า ให้ทุกคนได้เห็นกันให้เต็มตาว่าทาสรับใช้ที่จงรักภักดีนั้นมันจงรักภักดีกันอย่างไร”
นางอวี๋ตะโกนเสียงดังลั่น “ชุนซิ่ง”
ชุนซิ่งพยักหน้าเป็นการขานรับ
นางอวี๋เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเด็ดเดี่ยว และกล่าวด้วยท่าทางมั่นใจในตนเอง “ชุนซิ่ง เจ้านำคำพูดที่เจ้าได้ยิน บอกกล่าวออกไปต่อหน้าทุกคน มิต้องเกรงกลัวใดๆ มีข้าอยู่ทั้งคน ใครหน้าไหนก็ทำอันใดเจ้าไม่ได้”
ชุนซิ่งบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ มองไปยังฮูหยินใหญ่และนายท่านใหญ่อย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่แล้วนางก็เดินก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าสองสามก้าวอย่างกะทันหันแล้วคุกเข่าลงดังตุบ จากนั้นก้มคำนับศีรษะลงบนพื้นให้นางอวี๋และกล่าวอ้อนวอน “ฮูหยินใหญ่ ท่านให้อภัยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ! ท่านให้ข้าน้อยพูดคำพูดเหล่านั้น ข้าน้อยไม่กล้าพูดจริงๆ เจ้าค่ะ และไม่อาจพูดได้ด้วยเจ้าค่ะ…”
นางอวี๋ยังเข้าใจว่าชุนซิ่งช่างแสดงได้ทุ่มสุดตัวจริงๆ จึงกล่าวอย่างฮึกเหิม “ชุนซิ่ง มีข้า มีนายท่านใหญ่ช่วยตัดสินใจแทนเจ้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะเกรงกลัวอันใดหรือ”
ชุนซิ่งกล่าวทั้งน้ำตา “ฮูหยินใหญ่ ข้าน้อยทำมิได้จริงๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่อาจให้ร้ายเอ้อร์เส้าหน่ายนายและแม่จู้ได้จริงๆ เจ้าค่ะ…”
นางอวี๋และหลี่จิ้งอี้รู้สึกราวกับแก้วหูระเบิดในทันทีทันใด ทั้งดวงตาและปากค้างเติ่งขณะมองดูชุนซิ่งที่กำลังคุกเข่าร้องห่มร้องไห้บนพื้น นี่…นี่มันเกิดอันใดขึ้นหรือ