ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 269 จัดการผลประโยชน์ระหว่างพี่น้องให้ชัดเจน
แววตาที่เปลี่ยนไปทั้งหมดของหลี่จิ้งอี้ไม่รอดพ้นสายตาของหลินหลันไปได้ หลินหลันจึงกล่าว “ส่วนทรัพย์สมบัติเหล่านี้ที่เหล่าไท่ไททิ้งไว้ วันนี้ข้าจะขอชี้แจ้งต่อทุกท่านไว้ให้ทราบกันถ้วนหน้า โฉนดที่ดินของเหล่าไท่ไทที่ทิ้งไว้ทั้งหมดหกสิบไร่ โฉนดเคหาสน์ ณ บ้านเกิดหนึ่งหลัง เงินแปดหมื่นตำลึงเงิน แล้วยังมีเครื่องประดับอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งคำนวณเป็นเงินประมาณห้าพันตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งอี้สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่หวังสงบสติอารมณ์ หญิงชราแอบซ่อนสิ่งของไว้มากมายอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ นั่นส่งผลให้เขาเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นทันใด ของเหล่านี้ เดิมทีมันควรเป็นของของเขา!
หลินหลันกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ทรัพย์สินเหล่านี้ข้าจะจัดการตามความประสงค์ของเหล่าไท่ไท ที่ดินหกสิบไร่ จะไม่มีการแบ่งแยกโฉนดใดๆ โดยข้าจะเป็นผู้ดูแลจัดการมัน พวกเราสามครอบครัว ครอบครัวหนึ่งยี่สิบไร่ ข้าและพี่ใหญ่ล้วนไม่อาจกลับไปปลูกไร่ทำสวนอะไรได้ ดังนั้น ส่วนของข้าและพี่ใหญ่นั่น ก็ให้ลุงใหญ่หรืออาสามเป็นผู้จัดการแทน โดยทุกๆ สามปีพวกท่านต้องส่งมอบผลกำไรสามส่วนเข้ากองกลาง เงินเหล่านี้จะรวมกับเงินแปดหมื่นตำลึงเงิน รวมไปถึงเครื่องประดับของเหล่าไท่ไท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลานสกุลหลี่ ให้ได้เล่าเรียนศึกษา และไว้เรียนเชิญอาจารย์ที่เก่งกาจที่สุด เพื่อฝึกฝนเลี้ยงดูบรรดาผู้สืบทอดสกุลให้มีความสามารถโดดเด่น สนับสนุนพวกเขาให้เติบใหญ่ก้าวหน้า ทุกคนคิดว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
หากกล่าวถึงเหตุที่หลี่จิ้งเหรินช่วยภรรยาหมิงอวินก่อนหน้านี้ ประการแรกเป็นเพราะคำสั่งเสียของมารดาเขา ตามจริงก็ยังมีจุดประสงค์ส่วนตัวหนึ่งอยู่ด้วย เพราะเกรงว่าหากตกไปอยู่ในมือของพี่ชาย พวกเขาบ้านสามคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ดื่มน้ำแกงด้วยซ้ำ ยามนี้ได้สดับรับฟังการวางแผนจัดการของภรรยาหมิงอวิน ด้วยเหตุและผลล้วนทำให้เขาคล้อยตามอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วมีหรือเขาจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย นี่มันเป็นผลสุดท้ายที่ดีที่สุดชัดๆ หลี่จิ้งเหรินแอบรู้สึกโชคดี หญิงชราช่างชาญฉลาดและตาถึงจริงๆ ภรรยาหมิงอวินนี่เก่งกาจเสียเหลือเกิน!
“หลานสะใภ้ การวางแผนจัดการของเจ้า อาเห็นด้วยอย่างแน่นอน” หลี่จิ้งเหรินแสดงความคิดเห็นทันทีทันใด
เมื่อได้รับการสนับสนุนของอาสาม หลินหลันจึงหันไปมองลุงใหญ่ “แล้วท่านลุงคิดว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
หลี่จิ้งอี้ลังเลด้วยความไม่เต็มใจยอมรับ ทว่าจะแย่งทรัพย์สมบัติเอามาไว้คงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งน้องสามก็แสดงความคิดเห็นออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
นางอวี๋กลับเป็นฝ่ายตาสว่างขึ้นมา ใบหน้ายังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา แต่พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มและกล่าว “ได้สิๆ หากหลานสะใภ้พูดเช่นนี้แต่แรก พวกเราก็…ก็คงไม่ทำอันใดเช่นนั้น…” นางอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ก่อนหน้าเป็นเพราะพวกเราเข้าใจหลานสะใภ้ผิดไปแล้ว ในเมื่อพวกเรารู้จักกันแค่ในเวลาอันสั้นเท่านั้น จึงไม่ค่อยเข้าใจกันและกันใช่หรือไม่ หากรู้ว่าหลานสะใภ้มองการณ์ไกลถึงระดับนี้ และเห็นประโยชน์ส่วนรวมแทนที่จะนึกถึงแต่ตนเอง มีหรือจะเกิดเรื่องราวมากมายเพียงนั้นได้! เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ละ ส่วนพื้นที่ของเจ้าและหมิงเจ๋อนั่น พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจไป มีลุงใหญ่และป้าอยู่ทั้งคน! ลุงใหญ่และป้าจะช่วยพวกเจ้าจัดการให้อย่างเหมาะสมและรอบคอบเป็นแน่”
หลินหลันนึกเหยียดหยามอยู่ลึกๆ ในใจ ระดับความรวดเร็วในการเปลี่ยนหน้าของนางอวี๋นี่เร็วพอๆ กับนักแสดงละครเปลี่ยนหน้ากากก็ว่าได้ เมื่อครู่ยังปั้นหน้ายักษ์หน้ามาร เพียงพริบตาเดียวก็เผยรอยยิ้มเป็นมิตร คงเกิดความนึกคิดต่อที่ดินยี่สิบไร่นั่นขึ้นมาแล้วสินะ เมื่อที่ดินตกไปอยู่ในมือพวกเขา แล้วยังขอคืนจากพวกเขาได้อีกหรือ นางยังคงลังเลใจและสับสนอยู่เลย!
“ป้าสะใภ้ใหญ่ เรื่องนี้มิใช่ข้าจะเป็นผู้ตัดสินได้ ข้ายังต้องปรึกษาหารือกับพี่ใหญ่อีกเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวอ้อมค้อม
นางอวี๋รบเร้า “ยังมีอันใดต้องปรึกษาหารืออีกหรือ พวกเจ้าไม่เชื่อใจป้าหรือไรกัน อาสามเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง จะช่วยดูแลที่ดินมากมายขนาดนั้นไหวที่ไหนกันล่ะ”
หลินหลันและหลี่หมิงเจ๋อนึกดูหมิ่นเหยียดหยามอยู่ในใจ เชื่อคนประเภทท่าน ไม่สู้เชื่อผีสางยังจะดีเสียกว่า!
หมิงต้งกล่าวด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ “ก็จริงอยู่ที่ท่านพ่อข้าร่างกายไม่แข็งแรง ทว่าพวกเราบ้านสามก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้อื่นแล้ว พี่สะใภ้ พี่ใหญ่ หากพวกท่านเชื่อมั่นในตัวข้า พื้นที่ยี่สิบไร่ของพวกท่าน ข้าจะช่วยท่านจัดการดูแล และเก็บเกี่ยวผลกำไรทั้งหมดให้พวกท่าน พวกท่านเพียงแต่จ่ายค่าต้นทุนและค่าแรงงานคนเท่านั้นก็พอขอรับ”
นางอวี๋ชักสีหน้าเคร่งขรึมในทันทีทันใด หมิงต้งผู้นี้ก็ช่างให้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง ทำให้เรื่องดีๆ ของนางพังพินาศแล้ว และยังทำให้นางต้องสูญเสียเงินไปก้อนหนึ่งเสียดื้อๆ อีก หากไม่ใช่เกรงว่าหลินหลันจะไม่พอใจและคิดไปว่านางอยากตักตวงผลประโยชน์จากตรงนี้ นางก็คงจะเอ่ยปากด่าทอให้หน้าหงายไปเสียตอนนี้เลย
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่เร่งด่วนแต่อย่างใด ในเมื่อทุกคนล้วนยอมรับการวางแผนของข้า เช่นนั้น ก็ประทับตรานิ้วมือในหนังสือยินยอมนี้แล้วกันเจ้าค่ะ!” ขณะกล่าว หลินหลันส่งสายตาเป็นสัญญาณให้จ้าวจัวอี้
จ้าวจัวอี้ล้วงหนังสือฉบับหนึ่งออกมาจากอ้อมอกแล้วกางออกบนโต๊ะน้ำชา จากนั้นหยิบตลับหมึกออกมาหนึ่งตลับแล้วเปิดฝาออก
สีหน้าของหลี่จิ้งอี้ไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่มันจำเป็นด้วยหรือ”
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “มีคำกล่าวที่ว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มักไม่เข้าใครออกใคร แม้จะเป็นญาติพี่น้องก็ตาม ดังนั้นทิ้งหลักฐานยืนยันไว้หน่อยจะเป็นการดีเจ้าค่ะ เพื่อที่ภายภาคหน้าเกิดมีผู้ใดนึกเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก จะได้ไม่หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นปัญหาเอาได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ นี่ก็จะได้ไม่ต้องพาลให้ทุกคนเสียความรู้สึกกันไปเปล่าๆ มิใช่หรือเจ้าคะ” การคบค้าสมาคมกับคนร้ายกาจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ประเภทนี้ จะไม่ป้องกันไว้หน่อยคงไม่ได้ เมื่อมีหลักฐานยืนยันชิ้นนี้อยู่ในมือ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวลูกไม้สกปรกๆ ของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่อีกต่อไป
ตั้งแต่จ้าวจัวอี้พ้นประตูเข้ามาจนถึงยามนี้ อดกลั้นมาเนิ่นนานพอตัวแล้ว หากไม่ใช่ช่วงเวลาสำคัญ คนไร้ยางอายหน้าไหนเล่นตุกติกขึ้นมา เขาคงอดลงมือสั่งสอนไม่ได้เป็นแน่ เขาชำเลืองตามองหลี่จิ้งอี้อย่างเรียบเฉย และกล่าวเนิบช้า “นายท่านใหญ่ เชิญท่านก่อนเลยขอรับ!”
หลี่จิ้งอี้เห็นมาดร้ายเย็นชาจากนัยน์ตาบุรุษหนุ่มร่างกำยำ อดหวาดเกรงไม่ได้ เอาเถอะๆ ถึงจะไม่ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย! จะว่าไป ยังมีแปลงที่ดินทำเลดีอีกยี่สิบไร่ ต่อให้ต้องมอบส่วนแบ่งผลกำไรสามส่วน ในส่วนที่เหลือก็เป็นจำนวนเงินไม่น้อยที่พอให้ร่ำรวยได้เช่นกัน
หลี่จิ้งอี้หน้าตาบึ้งตึง ไม่หือไม่อือใดๆ เขาเดินเข้าไปยื่นปลายนิ้วมือแตะลงไปที่น้ำหมึก ปลายนิ้วมือจ่ออยู่บริเวณหนังสือลงนามยืนยัน หลังลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยอมจรดปลายนิ้วลงไปด้วยความปวดใจ คราวนี้ แม้แต่โอกาสเปลี่ยนใจก็ไม่มีแล้วเช่นกัน
หลี่จิ้งเหรินเข้าไปประทับตรานิ้วมือ หลี่หมิงเจ๋อตัวแทนบ้านสองก็ประทับตรานิ้วมือลงไปด้วยเช่นกัน
ในที่สุดปัญหาวุ่นวายที่หญิงชราทิ้งไว้ก็เป็นอันจัดการเรียบร้อย หลินหลันแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกโล่งใจ
เมื่อกลับมายังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย แม่เหยามาขอความคิดเห็นว่าจะจัดการกับป้าเฝิงอย่างไร
นัยน์ตาหลินหลันปรากฏประกายเย็นชาขึ้นมาชั่ววูบ “ก็ว่าไปตามกฎระเบียบในจวนแล้วกัน ทาสผู้ประสงค์ร้ายต่อนาย ควรต้องจัดการเช่นไรก็จัดการไปตามนั้นแล้วกัน” คนประเภทนี้ที่ริอาจเล่นงานผู้เป็นนายเพื่อเงินไม่กี่ตำลึงเงิน ขายไปให้บ้านผู้อื่นก็จะพาลให้เขาเผชิญหายนะเสียเปล่า การต่อกรกับคนประเภทนี้ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยอ่อนข้อให้
แม่เหยาเป็นอันเข้าใจได้ “บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หยินหลิ่วยกน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวเข้ามาหนึ่งชาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ดื่มน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวให้ชุ่มคอสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”
มองน้ำแกงเห็ดหูหนูขาว หลินหลันก็ขมวดคิ้วกล่าว “หยินหลิ่ว นี่มันไม่สอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติน่ะสิ!” ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการวางตนเป็นบุตรหลานผู้กตัญญู คนในบ้านล้วนต้องนุ่งห่มชุดไว้ทุกข์ ดื่มชารสเฝื่อนอาหารรสจืด รับประทานของประเภทนี้ได้ที่ไหนกัน
หยินหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าสลด “นี่เป็นของที่กุ้ยซ่าวแอบต้มไว้เจ้าค่ะ กุ้ยซ่าวก็แค่เป็นห่วงเอ้อร์เส้าหน่ายนายที่เหน็ดเหนื่อยติดต่อกันหลายวัน…เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดรับรู้หรอกเจ้าค่ะ”
เอ่อ! จะให้นางแอบกินหรือ! ตอนนี้นางเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องในบ้าน หากตนเองกระทำผิดกฎระเบียบก่อนเสียแล้ว ภายภาคหน้าจะกำราบผู้คนได้อย่างไรหรือ ทว่านางก็ไม่อยากทำร้ายน้ำใจที่ดีงามของทุกคนเช่นกัน จึงกล่าว “เอานี่ไปส่งให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์แล้วกัน!”
ซานเอ๋อร์ไม่ใช่คนตระกูลหลี่ แต่กลับต้องได้รับความทุกข์ยากลำบากไปกับทุกคนด้วย นางจึงรู้สึกผิดต่อเจ้าเด็กน้อยผู้นี้จริงๆ ก็ถือเสียว่าเป็นการดูแลเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาแล้วกัน!
หยินหลิ่วเม้มปาก แต่ก็ยังคงเชื่อฟังคำพูดของนายหญิงสะใภ้รอง โดยนำน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวไปส่งให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์
แม่โจวกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านวางแผนเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียเปรียบนายท่านใหญ่ไปหน่อยหรือเจ้าคะ” แม่โจวคิดๆ ดูแล้วกลับรู้สึกไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก ในเมื่อของเหล่านั้นล้วนเป็นเงินของตระกูลเยี่ยทั้งสิ้น!
หลินหลันถอนหายใจแล้วกล่าว “คงทำได้เพียงยอมเสียเปรียบเขาเท่านั้นแล้วละ ใครใช้ให้เขาดันเป็นลุงแท้ๆ ของเอ้อร์เส้าเหยียล่ะ เอ้อร์เส้าเหยียแซ่หลี่ นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากข้ากระทำการเด็ดขาดเกินไป พวกเขาซึ่งเป็นคนประเภทที่เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิต เกรงว่าจะกระทำเรื่องใดออกมาได้ทั้งนั้น ตัวข้าน่ะไม่เกรงกลัวเขาแต่อย่างใด หากปัจจุบันนี้เอ้อร์เส้าเหยียไม่อยู่ในฐานะขุนนาง ไม่เดินอยู่บนอาชีพทางการนี้ เรื่องที่เขาจะได้อะไรจากข้าไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวก็เลิกคิดไปได้เลย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเอ้อร์เส้าเหยีย ข้าไม่ร้องขอให้ตระกูลหลี่โดดเด่นมีหน้ามีตาอันใดมากมาย แค่พวกเขารู้จักวางตนอยู่ในฐานะของตนเอง ไม่สร้างปัญหาวุ่นวายให้เอ้อร์เส้าเหยียก็พอแล้ว อีกอย่างก็เพราะเห็นแก่หน้าอาสาม อาสามเป็นคนมีเหตุมีผลผู้หนึ่ง ลูกพี่ลูกน้องอย่างหมิงต้งและหมิงจู้ทั้งสองท่านก็นิสัยดีทีเดียว พอช่วยพวกเขาได้ก็ช่วยพวกเขาสักแรงแล้วกัน”
แม่โจวกล่าวด้วยความอ่อนใจ “ยังดีที่คนของตระกูลหลี่ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด ในที่สุดก็มีคนที่พอได้เรื่องได้ราวปรากฏขึ้นมาอีกสองสามคนนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่นที่มุมปาก น่าเสียดายที่คนได้เรื่องได้ราว กลับสุขภาพร่างกายไม่ได้เรื่องได้ราว จากการที่นางสังเกตสีหน้าของอาสาม อาการดูไม่สู้ดีนัก หากเป็นยุคสมัยปัจจุบัน การรักษาโรควัณโรคไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ตราบใดที่ร่างกายไม่แพ้ยาปฏิชีวนะที่จ่ายให้ ส่วนมากล้วนรักษาให้หายดีขึ้นได้ ทว่าในสมัยโบราณรักษาได้เพียงการใช้ยาจีนแผนโบราณเท่านั้น ในสิบคนรักษาให้หายดีสองคนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว และนั่นยังต้องเป็นกรณีที่เพิ่งเริ่มป่วยและรักษาได้ทันท่วงทีถึงจะทำได้ ทว่าอาการป่วยของอาสามยากแก่การรักษาเสียแล้ว…หลินหลันกำลังคิดว่า ไว้วันไหนจะลองตรวจดูอาการอาสามให้ละเอียดสักหน่อย ต่อให้รักษาให้หายดีไม่ได้ ช่วยปรับสมดุลสักหน่อยก็ยังดี เขาจะได้ใช้ชีวิตต่อไปให้นานขึ้นอีกหน่อยก็ยังดี
ทางด้านหลินหลันขจัดปัญหายุ่งวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าหลายวันมานี้เฝิงซูหมิ่นแห่งจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนกลับกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ข่าวคราวการเสียชีวิตของนายหญิงชราแห่งตระกูลหลี่ นางรับรู้ตั้งแต่แรกแล้ว เดิมคิดจะส่งคนไปแสดงความเสียใจด้วยสักหน่อย ทว่านางได้โกหกคนไว้แล้วว่าตนเองไปซูโจว แน่นอนว่าจะส่งคนไปกล่าวแสดงความเสียใจด้วยไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือ ซานเอ๋อร์อยู่ที่ตระกูลหลี่…เฝิงซูหมิ่นกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง เหตุใดตนเองถึงเลือก ‘เวลาดีงาม’ ได้เพียงนี้นะ? ตอนนี้นางไม่ได้ข่าวคราวใดๆ ของซานเอ๋อร์ที่อยู่ในตระกูลหลี่เลยสักนิด ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของหลินหลันทำให้นางร้อนรนใจ ผู้เป็นสามีนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะกลับมาเมื่อใด ปัญหานี้จะให้นางเป็นคนมาจัดการ มันช่างลำบากเกินไปสำหรับนางจริงๆ
“ฮูหยินเจ้าคะ…” โม่เอ๋อร์เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“มีเรื่องอันใดหรือ” เฝิงซูหมิ่นกำลังกังวลใจ เบื้องหน้ากางหนังสือเล่มหนึ่งไว้ก็จริง แต่กลับอ่านไม่เข้าสมองเลยสักตัวอักษรเดียว
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านป้าใหญ่ทะเลาะกับแม่หลิ่วผู้ดูแลสวนเจ้าค่ะ ตอนนี้ยัง…ยังตบตีกันขึ้นมาแล้วด้วย ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!” โม่เอ๋อร์กล่าว
“อะไรนะ?” เฝิงซูหมิ่นทั้งตื่นตกใจทั้งโกรธเกรี้ยว ป้าใหญ่ผู้นี้ไม่เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมได้สักวัน เพิ่งมาที่จวนนี่ไม่กี่วัน ก็ทะเลาะเบาะแว้งกับคนนี้ทีคนนั้นที ตอนนี้ยังถึงขั้นลงไม้ลงมืออีกด้วย
“แม่หวังล่ะ”
“แม่หวังไปทางด้านนั้นตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ ทว่าครั้งนี้เกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ป้าใหญ่และสามีนางพร้อมบุตรชายทั้งสองท่านเลยตบตีแม่หลิ่วและบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งที่อยู่ในสวนด้วยความโกรธเกรี้ยวมาพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เดือดดาล ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทะเลาะกันด้วยเรื่องอันใดหรือ”
โม่เอ๋อร์กล่าวตอบ “ข้าน้อยก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกันเจ้าค่ะ ดูเหมือนเป็นเพราะท่านป้าใหญ่ต้องการตัดต้นไผ่ที่สวนหลังบ้านทิ้งเพื่อใช้ปลูกผัก ทว่าแม่หลิ่วไม่ยินยอมเจ้าค่ะ…”
“นี่มันไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว” เฝิงซูหมิ่นลุกขึ้นยืนทันทีแล้วมุ่งเดินออกไปด้านนอก มีโม่เอ๋อร์รีบเดินตามไปติดๆ
เฝิงซูหมิ่นยังไม่ทันถึงสวนหลังบ้านก็ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งชัดเจน
“ข้าจะตบตีเจ้าแล้วอย่างไรหรือ สวนนี่เป็นของน้องชายข้า น้องชายแท้ๆ ของข้า…พวกเราอยากตัดสักกี่ต้นก็ตัดได้เท่านั้น มาทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าก็จะตัดมันให้หมดทั้งสวนนี่ละ ดูสิว่าใครหน้าไหนจะกล้าพูดจาไร้สาระให้มากความอีก…” หลินต้าฟางส่งเสียงโวยวายใส่อารมณ์วางมาดบาตรใหญ่อย่างยิ่ง
“นังข้าทาสตาบอดทั้งหลาย ไม่รู้จักแหกตาดูเสียหน่อยว่าข้าเป็นผู้ใด ข้าเป็นถึงพี่เขยแท้ๆ ของแม่ทัพฮ๋วยหยวน พวกเราก็คือส่วนหนึ่งของเจ้านายที่นี่เช่นกัน หากสร้างความรำคาญใจให้พวกเรา พวกเจ้าไม่ได้อยู่ดีเป็นแน่ ไว้รอน้องเขยข้ากลับมา จะให้น้องเขยข้าขับไสไล่ส่งพวกเจ้าออกไปให้หมด…”
ผู้หลักผู้ใหญ่วางมาดบาตรใหญ่ก็ว่าแย่แล้ว คนหนุ่มยิ่งเลวร้ายหนักกว่า
เฝิงซูหมิ่นโกรธเกรี้ยวประหนึ่งเพลิงกำลังลุกไหม้ แค่ไว้หน้าพวกเจ้าหน่อยก็ลืมสถานะของตนเองไปเสียแล้ว และยังคิดว่าตนเองเป็นเจ้าคนนายคนจริงๆ พวกไร้ยางอายก็เคยพบเห็นมาบ้าง แต่ไม่เคยพบเห็นผู้ที่ไร้ยางอายได้เพียงนี้มาก่อนเลย