ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 270 ฮวงจุ้ยชั้นดี
สีหน้าของแม่หวังและผู้ดูแลจัดการเรื่องในบ้านอย่างเหล่าอวี๋ต่างก็ย่ำแย่พอๆ กัน บรรดาข้ารับใช้ของจวนหลินโกรธเกรี้ยวจนกู่ไม่กลับ มีข้ารับใช้หนุ่มสองคนอดทนไม่ไหว จึงม้วนแขนเสื้อขึ้นเสร็จสรรพเตรียมจะพุ่งเข้าไปกระชากครอบครัวที่น่ารังเกียจเหล่านี้ หวังระดมหมัดไม่ยั้งสักหนึ่งยก ด้วยอุปนิสัยต่ำช้าประเภทนี้ยังกล้ากล่าวว่าตนเองเป็นพี่สาวแท้ๆ พี่เขยแท้ๆ ของท่านแม่ทัพอีกหรือ นี่มันช่างขายหน้าเห็นๆ
เหล่าอวี๋ตะโกน “อย่าบุ่มบ่ามไป เรื่องนี้เดี๋ยวฮูหยินมาจัดการเอง”
แม่หวังร้อนรนใจเสียยิ่งอะไรดี! เหตุใดฮูหยินถึงยังไม่มาเสียที…เมื่อครู่กว่าจะจับสองฝ่ายแยกออกจากกันได้ไม่ใช่ง่ายๆ ขืนฮูหยินยังไม่มา คงได้ตบตีกันขึ้นมาอีกยกเป็นแน่
หลินต้าฟางแอบอยู่ด้านหลัง เตะแข้งเตะขาขณะตะโกนด่าทอ “หยิบยกฮูหยินพวกเจ้ามาข่มข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ฮูหยินเป็นน้องสะใภ้ข้า นางจะช่วยพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ…พวกเจ้ามันพวกโง่เง่าไร้สติปัญญา”
“ทะเลาะอะไรกัน เห็นที่นี่เป็นอะไรไปแล้วหรือ เป็นท้องถนนหรือเป็นตลาดสดหรือไรกัน แต่ละคนล้วนไม่เคารพกฎระเบียบ ไม่อยากทำงานอยู่ที่นี่ก็ออกไปให้หมด” เฝิงซูหมิ่นกล่าวตำหนิอย่างรุนแรงหลังเดินผ่านประตูสวนเข้ามา น้อยครั้งมากที่นางจะโกรธเกรี้ยวใส่ผู้อื่น แต่ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนเจรจาด้วยได้ง่ายดาย หากสร้างความขุ่นเคืองแก่นาง ใครหน้าไหนก็อย่าคิดว่าจะได้รับผลตอบกลับที่ดีเลยเชียว โดยเฉพาะสำหรับคนบางประเภทที่อาศัยความเป็นญาติมิตรมาก่อปัญหา และกล้าวางมาดบาตรใหญ่ต่อหน้านาง
สายตาที่ดุดันของเฝิงซูหมิ่นเริ่มกวาดมองจากกลุ่มข้ารับใช้ในจวนหลินแล้วไปบรรจบท้ายสุดที่ครอบครัวป้าใหญ่
ผมเผ้าของแม่หลิวถูกกระชากจนยุ่งเหยิง บนใบหน้าปรากฏรอยข่วนเลือดซิบหลายรอยด้วยเช่นกัน สภาพของหญิงรับใช้วัยกลางคนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าใดนัก ไม่ใช่รอบดวงตาเขียวช้ำก็เลือดกำดาวไหล เสื้อผ้าถูกฉีกขาดลุ่ย แต่เห็นได้ชัดว่าสภาพของครอบครัวป้าใหญ่ดีกว่ามาก บุรุษสามคนรังแกหญิงวัยกลางคนจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ช่างลงไม้ลงมือได้ลงคอ ความเย็นชาในดวงตาของเฝิงซูหมิ่นยิ่งชัดขึ้นหลายเท่าตัว และรู้สึกจงเกลียดจงชังครอบครัวป้าใหญ่เกินบรรยาย
น้ำเสียงตะคอกดุดันเดียวของนายหญิงประจำบ้านทำให้สถานที่นี้เงียบสงัดลงทันที ภายใต้การกำราบของนายหญิง บรรดาข้ารับใช้ของจวนหลินทำได้เพียงใช้สายตาที่โกรธเกรี้ยวถ่ายทอดความเดือดดาลในก้นบึ้งหัวใจ ทว่าครอบครัวหลินต้าฟางทั้งสี่คนหลังรู้สึกหวาดเกรงและกังวลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เปลี่ยนไปเสมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นทั้งนั้น พวกเขามั่นอกมั่นใจว่าน้องสะใภ้ผู้นี้ไม่กล้าถือโทษเอาความอันใดพวกตน
หลินต้าฟางเปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้ม เขยิบออกมาจากด้านหลังบุตรชาย ขณะเตรียมจะตีสนิทกับน้องสะใภ้ สายตาของน้องสะใภ้กลับเบนหนีไปอย่างเย็นชา รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินต้าฟางจึงเจื่อนลง ถึงขั้นเสียสูญก็ว่าได้
สายตาเฝิงซูหมิ่นจับจ้องไปยังพื้นที่โล่งห่างออกไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกท่านป้าใหญ่เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน ในจวนก็ไม่มีวันใดจะสงบสุข ข้ากำชับพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า พวกท่านป้าใหญ่เป็นแขก อยู่อาศัยไม่นานเดี๋ยวก็ต้องกลับไปแล้ว ให้พวกเจ้าช่วยปรนนิบัติให้ดีๆ เข้าไว้ พวกเจ้าล้วนนำคำพูดข้าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวากันแล้วใช่หรือไม่ สามวันทีก็มีปากเสียงกันใหญ่โต ห้าวันทีก็ทะเลาะกันใหญ่โต คงว่างงานกันไปใหญ่แล้วสินะ?”
คำพูดที่นายหญิงเอื้อนเอ่ยนี้ มองผิวเผินเป็นการตำหนิข้ารับใช้ของจวนหลิน ทว่าความเป็นจริงคือการตำหนิตัวการอย่างป้าใหญ่ แม่หวังและเหล่าอวี๋ล้วนรู้ดีแก่ใจ หวังว่าคราวนี้นายหญิงจะไม่อดกลั้นอีกต่อไป และจัดการครอบครัวป้าใหญ่ให้รู้สึกรู้สาเสียบ้าง มิเช่นนั้น ครอบครัวนี้คงได้ก่อกวนสร้างปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจสงบสุขได้
แม่หวังรวมไปถึงคนอื่นๆ ต่างก็เข้าใจได้ ทว่าตัวแม่หลิ่วผู้ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดในวันนี้ อีกทั้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายหญิงถึงได้ต่อสู้กับป้าใหญ่ เดิมทีก็รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่แล้ว พอถูกนายหญิงกล่าวตำหนิเช่นนี้ ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ครอบครัวป้าใหญ่ก่อเรื่องไม่เข้าท่าเกินไปจริงๆ แล้วยังคิดว่าตนเองไม่ใช่คนนอก ไม่ว่าสิ่งของอันใดก็ขนย้ายเข้าไปในห้องพักของตนเองหน้าตาเฉย แม้แต่ของบำรุงที่ตุ๋นไว้สำหรับนายหญิงก็ริอาจยกไปดื่ม บุตรชายพวกเขาทั้งสองยิ่งแล้วใหญ่ วันๆ เอาแต่จ้องมองสาวใช้วัยเยาว์ในจวนไม่วางตา ไม่ใช่ใช้คำพูดแทะโลมก็เป็นการมือไวถึงเนื้อถึงตัว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงได้เกิดเรื่องเป็นแน่ แม่หลิ่วโอบกอดความกล้าหาญ ต่อให้เป็นการหาเรื่องใส่ตนก็จะต้องขับไล่ครอบครัวป้าใหญ่ออกไปให้ได้ ขณะเตรียมเอื้อนเอ่ยออกไป ยังไม่ทันที่นางจะได้อ้าปาก ก็มีคนกล่าวฟ้องร้องแทรกขึ้นมาเสียแล้ว
“น้องสะใภ้ เจ้ามาได้จังหวะพอดีเชียว ก็แค่ต้นไผ่ไม่กี่ต้นเองมิใช่หรือ บรรดาคนรับใช้วัยป้าๆ พวกนี้ก็ทำเหมือนข้าไปตัดขั้วหัวใจพวกเขาเข้าแล้ว และยังลงไม้ลงมือกับข้าอีก หากไม่ใช่พวกลุงเขยเจ้ามาได้ทันการณ์ เห็นทีว่าข้าคงถูกพวกนางรุมตบตีตายไปแล้ว…” กล่าวพลางหลินต้าฟางก็ชี้นิ้วไปยังรอยแผลบนใบหน้าให้เฝิงซูหมิ่นดู ทำท่าทีราวกับเต็มไปด้วยความแค้นเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจต่อความอยุติธรรมอย่างยิ่ง
หลินต้าฟางไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจในความหมายแฝงของคำตำหนิจากปากน้องสะใภ้ เพียงแต่นางคิดว่าน้องสะใภ้ก็ทำได้เพียงเหน็บแนมแต่ทำอะไรโดยตรงไม่ได้ และไม่กล้าฉีกหน้านาง ส่วนที่ว่าทำไมนางต้องก่อเรื่อง น้องสะใภ้ก็ควรคิดไตร่ตรองให้ดีเช่นกัน นางเป็นถึงป้าใหญ่คนเดียวแห่งตระกูลหลิน ญาติมิตรเพียงผู้เดียว คิดจะใช้พื้นที่เล็กๆ เพียงนี้กดดันเพื่อขับไสไล่ส่งนาง เห็นว่านางเป็นคนโง่เขลาหรือไร? ตราบใดที่ไม่บรรลุเป้าหมายของนาง นางก็จะก่อปัญหาไปเช่นนี้ละ สร้างความวุ่นวายให้ทั้งบ้านไม่เป็นอันสงบสุขเสียเลย
“เจ้าพูดเพ้อเจ้อ พวกเราก็แค่เกลี้ยมกล่อมเจ้าสองสามประโยค เจ้าก็ลงไม้ลงมือตบตีคนเขาเสียแล้ว” แม่หลิ่วหน้าฟกช้ำดำเขียวกล่าวอย่างเดือดดาล
“ต้นไผ่เหล่านั้นเป็นสิ่งที่นายท่านสั่งการให้ปลูกไว้ เจ้าบทจะขุดก็ขุดหน้าตาเฉย หากนายท่านต้องการเอาผิด เจ้าจะเป็นผู้แบกรับไว้หรือไม่” ป้าอีกคนที่ถูกเล่นงานด้วยก็ตะคอกด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
หลินต้าฟางพยายามเค้นน้ำตาสองสามหยดออกมา “น้องสะใภ้ เจ้าดูสิ พวกนางเอะอะก็เอานายท่านมาอ้าง หากน้องชายข้าอยู่ที่บ้าน เขาจะถือโทษเอาความพี่สาวแท้ๆ อย่างข้าผู้นี้เพราะต้นไผ่ไม่กี่ต้นหรือ”
เฝิงซูหมิ่นใช้สายตายับยั้งแม่หลิ่วและคนอื่นๆ จากนั้นกล่าวด้วยท่าทีเมินเฉยอย่างไร้เยื้อใย “ป้าใหญ่ ท่านอย่าพูดไปเลยเจ้าค่ะ หากท่านพี่รู้ว่ามีคนตัดต้นไผ่เหล่านั้น ไม่ว่าผู้ใดหน้าไหน เขาล้วนไม่ไว้หน้าทั้งนั้นละเจ้าค่ะ”
หลินต้าฟางจ้องมองน้องสะใภ้อย่างตกตะลึง นี่น้องสะใภ้ต้องการฉีกหน้านางเช่นนั้นหรือ
เฝิงซูหมิ่นชำเลืองมองต้นไผ่ที่ถูกตัดล้มอยู่บนพื้น ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้นมา “เพราะนั่นมันเป็นฮวงจุ้ยชั้นดีเยี่ยมในจวน ท่านตัดฮวงจุ้ยชั้นดีเยี่ยมไปแล้ว เท่ากับเป็นการทำลายฮวงจุ้ยของบ้านหลิน แล้วท่านว่าท่านพี่จะไม่ชักสีหน้าใส่ท่านหรือเจ้าคะ”
หลินต้าฟางตื่นตระหนกอย่างยิ่ง คงไม่ซวยถึงเพียงนั้นกระมัง! แต่ตัดต้นไผ่ไปไม่กี่ต้นก็ไปเกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยเสียแล้วหรือ จ้าวเชวียนและบุตรชายทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ภายในใจลนลานขึ้นมา บ้าจริง! ครั้งนี้ดันไปสะกิดถูกปัญหาใหญ่ ทำลายฮวงจุ้ยของเจ้าบ้านอย่างน้อยเขยเสียแล้ว หากน้องเขยโกรธเกรี้ยวขึ้นมาคงรับมือไม่ไหวเป็นแน่
แม่หลิ่วและคนอื่นๆ เผยสีหน้าตกตะลึงปนประหลาดใจเช่นกัน ไผ่เหล่านี้เป็นฮวงจุ้ยชั้นดีเยี่ยมเช่นนั้นหรือ
เฝิงซูหมิ่นยิ้มเยาะอยู่ลึกๆ ในใจ เมื่อก่อนเพราะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเจ้า ขอเพียงอย่าก่อความวุ่นวายจนเกินไป คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเลยสักนิด ก็อย่าได้กล่าวโทษที่นางไม่เกรงใจ ต้นไผ่เป็นต้นไผ่ธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยมอะไรอย่างที่กล่าวอ้าง แต่ต้นไม้ต้นหญ้าที่อยู่ในจวน หากไม่ได้รับการอนุญาตของนาง ใครหน้าไหนก็อย่าริอาจคิดทำลายมัน
“ดังนั้นก็ไม่แปลกที่พวกแม่หลิ่วนางจะเป็นเดือดเป็นร้อน ลองเป็นฝีมือคนอื่น คงถูกจับไปเฆี่ยนตีจนตายตั้งนานแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องถามไถ่ใดๆ ด้วยซ้ำเจ้าค่ะ” เฝิงซูหมิ่นทิ้งท้ายเบาๆ ไว้ด้วยประโยคเยี่ยงนี้
บรรดาข้ารับใช้ในจวนพร้อมใจกันเหยียดลำตัวยืดตรงขึ้นมาโดยปริยาย คำพูดนี้ของนายหญิงมีนัยยะแอบแฝงไว้ชัดเจน ประหนึ่งว่าภายภาคหน้าหากคนครอบครัวนี้ริอาจสร้างความวุ่นวายขึ้นมาอีก ทุกคนก็ไม่ต้องเกรงใจแต่อย่างใด อยากจะจัดการเช่นไรก็จัดการได้เลย
“ป้าใหญ่ ต้นไม้ต้นหญ้าที่อยู่ในจวนนี้ ท่านพี่ล้วนจัดวางอย่างใส่ใจละเอียดถี่ถ้วน ทำลายไปส่วนหนึ่งก็เท่ากับทำลายฮวงจุ้ยอันดีงามไปด้วย นี่มันเทียบมิได้กับที่ท่านเที่ยวหยิบนู่นหยิบนี่ไปกินไปดื่มหรอกนะเจ้าคะ เรื่องตัวซวยกับเรื่องฮวงจุ้ย ไม่ว่าบ้านไหนต่างก็มีความเชื่อเรื่องนี้กันทั้งนั้น ท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ ของท่านพี่ ข้าเองก็ไม่อยากทำลายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกท่าน เห็นทีการให้พวกท่านดูแลจัดการสวนนี้เป็นการจัดการที่ผิดพลาดของข้าเสียแล้ว แม่หลิ่ว ต่อจากนี้สวนนี่เจ้าเป็นผู้ดูแลจัดการดังเดิม และต้องเร่งปลูกต้นไผ่กลับไปโดยเร็วที่สุด” เฝิงซูหมิ่นกล่าวสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่หลิ่วรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นทันใด กล่าวขานรับด้วยเสียงดังฟังชัด “บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
หลินต้าฟางอึดอัดใจด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง “แต่พวกนางไม่ได้บอกกล่าวข้าไว้ล่วงหน้าว่านี่เป็นต้นไผ่ที่เกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ย หากข้ารู้ว่าต้นไผ่นี่มันสำคัญยิ่งแล้วข้าจะตัดมันหรือ”
เฝิงซูหมิ่นฉีกยิ้มอ่อนหวานใส่ป้าใหญ่ “ป้าใหญ่ เรื่องนี้ต้องโทษข้าเองที่ไม่คิดให้รอบคอบ ไม่เคยชี้แจงแถลงไขเกี่ยวกับข้อห้ามมากมายในจวน เอาแบบนี้แล้วกัน! หากป้าใหญ่ไม่ถูกใจกฎระเบียบที่มากมายในจวนนี้ ด้วยข้อห้ามนานาประการ ท่านเลยอยู่อาศัยอย่างไม่คุ้นชิน เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งพวกท่านกลับบ้านเกิดเดี๋ยวนี้ละ”
หลินต้าฟางกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ข้ายังไม่ได้เจอน้องชายข้าเลยนะ! ข้า…ข้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
จ้าวเชวียนกล่าวขึ้นมาอีกแรง “นั่นสิ ข้ายังไม่ได้พบเจอน้องชายของเมียข้าเลย! กว่าจะมาเยือนได้ทั้งทีไม่ใช่ง่ายๆ แล้วจะให้ไปทั้งเยี่ยงนี้ได้ที่ไหนกันหรือ”
บรรดาข้ารับใช้ของจวนหลินต่างก่นด่าอยู่ในใจ หน้าไม่อาย ไม่ใช่เพราะอยากนั่งนอนกินอยู่ที่นี่เพื่อตักตวงผลประโยชน์หรอกหรือ ช่วงที่ผ่านมานี้ของที่พวกเจ้าแอบขโมยไปยังไม่พออีกหรือไร
เฝิงซูหมิ่นจึงว่าไปตามคำพูดของพวกเขา “ในเมื่อป้าใหญ่ลุงเขยอยากอยู่ต่อ เช่นนั้นก็อยู่เถอะเจ้าค่ะ!”
หลินต้าฟางได้ยินน้องสะใภ้ยอมอ่อนข้อ จึงวางมาดบาตรใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งทันที เผยท่าทีองอาจฮึกเหิมกลับคืนมาดังเดิม
“เหล่าอวี๋ แม่หวัง ครอบครัวท่านป้าใหญ่ไม่เข้าใจกฎระเบียบในจวน จากนี้พวกเจ้าช่วยตักเตือนให้มากๆ เข้าไว้ สิ่งของใดไม่ควรแตะต้องก็อย่าให้แตะต้อง สิ่งของใดไม่ควรหยิบไปก็อย่าให้หยิบไป สถานที่ใดไม่ควรไปก็อย่าให้เข้าไปเหยียบย่ำ หากเกิดเรื่องเช่นวันนี้อีก ข้าจะถามไถ่จากทางพวกเจ้าเท่านั้น” เฝิงซูหมิ่นกล่าวอย่างใจเย็น แม้น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าในคำพูดแสดงให้เห็นถึงการข่มขู่อย่างชัดเจน คำพูดดูเป็นการกล่าวต่อเหล่าอวี๋และแม่หวัง แต่แท้จริงกลับเป็นการพูดให้ครอบครัวป้าใหญ่สดับรับฟัง
เหล่าอวี๋และแม่หวังขานรับด้วยความเคารพ คราวนี้จะได้เห็นดีกันละ เมื่อมีคำพูดนี้ของฮูหยิน จากนี้ครอบครัวป้าใหญ่คงหมดโอกาสคิดก่อความวุ่นวายในจวนขึ้นมาอีก พวกเจ้าไม่รู้จักทำตัวให้ดีเอง เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าผู้อื่นเขาไม่ไว้หน้าเจ้า
หลินต้าฟางครุ่นคิดในคำพูดดังกล่าวของน้องสะใภ้ เหตุใดถึงรู้สึกว่ามันแปลกชอบกลถึงเพียงนี้ละ!
จ้าวคังผิงบ่นพำพึมเสียงบางเบา “เห็นพวกเราเป็นหัวขโมยหรือไร”
สีหน้าของหลินต้าฟางถึงกับมืดหม่นลงทันทีทันใด “น้องสะใภ้ นี่เจ้าหมายความว่าอันใดหรือ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ก็ความหมายตามที่กล่าวนั่นละเจ้าค่ะ หากป้าใหญ่ไม่เข้าใจตรงไหน ไว้แม่หวังจะช่วยอธิบายแก่ท่านอย่างละเอียดอีกที” พวกเจ้าต้องการอยู่ก็เชิญอยู่ไป แต่หากไม่เจียมเนื้อเจียมตัวอีก จะไม่มีผู้ใดเกรงใจพวกเจ้าอีก ซึ่งนางเชื่อมั่นว่าแม่หวังและเหล่าอวี๋มีวิธีการสั่งสอนคนประเภทนี้
เมื่อเฝิงซูหมิ่นกล่าวจบ นางตวัดสายตาเรียบเฉยมองครอบครัวที่น่ารังเกียจนี้ จากนั้นหันหลังเดินจากไป
หลินต้าฟางอ้าปากค้างจ้องเขม็ง เอ่อ…นี่น้องสะใภ้จะเดินไปหน้าตาเฉยเช่นนี้หรือ นี่น้องสะใภ้มาสั่งสอนบรรดาข้ารับใช้หรือมาสั่งสอนนางกันแน่?
เมื่อนายหญิงเดินจากไปเป็นที่เรียบร้อย แม่หวังจึงก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าและกล่าว “ท่านป้าใหญ่ เชิญพวกท่านกลับไปกันได้แล้วละเจ้าค่ะ! คำพูดของฮูหยินเมื่อครู่นี้พวกท่านก็ได้ยินแล้วเช่นกัน หลังจากนี้บริเวณสวนนี้ไม่ต้องให้พวกท่านจัดการดูแลอีกแล้ว”
จ้าวเชวียนสะบัดแขนด้วยความไม่พอใจ “กะอีแค่สวนรกๆ ใครเขาอยากทำห๊ะ! ใครอยากทำก็ทำไป”
แม่หวังเก็บความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อพวกเขาไว้ในใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าใหญ่และนายท่านพูดถูกเจ้าค่ะ นี่เป็นสวนรกๆ แห่งหนึ่ง ปลูกแค่พวกต้นไผ่ ดอกไม้ ต้นหญ้าอะไรพวกนี้ ปีๆ หนึ่งอย่างมากก็ทำเงินได้ไม่กี่ร้อยตำลึงเงินเท่านั้นเอง งานที่เหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ ให้บรรดาข้ารับใช้ทำไปน่ะดีแล้วเจ้าค่ะ!”
จ้าวเชวียนเบิกดวงตาโตและอ้าปากค้าง อะไรนะ? สวนรกๆ นี่ แค่ปลูกดอกไม้ต้นหญ้าก็ทำเงินได้หลายร้อยตำลึงเงินเชียวหรือ จ้าวเชวียนหันกลับไปมองพื้นที่สวนนี้ เนื้อที่แค่เจ็ดแปดหมู่ทำเงินได้มากเพียงนี้เชียวหรือ
แม่หวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดอกไม้ต้นหญ้าในเมืองหลวงนี้ขายได้ราคาแพงอย่าบอกใครเลยเจ้าค่ะ หากปลูกชนิดที่พบเห็นได้ยากหน่อย ยังจะได้ราคาที่สูงขึ้นไปอีกด้วยนะเจ้าคะ!”
หลินต้าฟางและจ้าวเชวียนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เป็นไปไม่ได้กระมัง! เช่นนั้นไม่เท่ากับพวกเขาสูญเสียผลประโยชน์ครั้งใหญ่แล้วหรอกหรือ
เหล่าอวี๋กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “คำพูดของฮูหยินเมื่อครู่ทุกคนต่างก็ได้ยินแล้วสินะ! จากนี้หากพวกท่านป้าใหญ่มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ จะต้องตักเตือนให้เต็มที่ เพราะหากเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมา พวกเจ้าคงแบกรับกันไม่ไหว…”เหล่าอวี๋จงใจเน้นย้ำคำที่ว่า “ให้เต็มที่”
ผู้คนพร้อมใจกันส่งเสียงขานรับด้วยความรู้สึกดีอกดีใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ไม่ต้องทนทุกข์กับคนชั่วร้ายที่น่ารังเกียจพวกนี้อีกแล้ว แต่ละคนแอบซ่อนความกระตือรือร้นในการต่อสู้ไว้เต็มเปี่ยม ทางที่ดีที่สุดให้ป้าใหญ่กระทำผิดอีกสักหน่อย ก่อเรื่องอีกสักนิด พวกเขาก็จะได้ลงมือสั่งสอนได้อย่างชอบธรรม
หลินต้าฟางมองดูทุกคนเผยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทว่านัยน์ตาแต่ละคนล้วนไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในใจทันที ข้าทาสเหล่านี้คงไม่คิดจะเล่นงานกลับคืนหรอกใช่หรือไม่