ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 271 ผู้ข้ามภพ
ท้องนภาผืนกว้าง ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมพัดโชยมาทำให้ต้นหญ้าบนพื้นพลิ้วไสว เมื่อทอดสายตามองออกไปจะเห็นฝูงวัวและฝูงแกะกำลังกินหญ้า
ภายใต้ท้องนภาสีฟ้าครามสดใส สายลมพัดโชยมา คลื่นทะเลสีครามก่อตัวเป็นชั้น
คลื่นสีฟ้าครามขนาบสองข้าง ทหารม้ากลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้า เดินทอดน่องอย่างผ่อนคลายสบายใจ
แม่ทัพใหญ่ที่นำหน้าผู้นั้นทอดสายตามองไกลออกไป ส่งเสียงหัวเราะร่าด้วยความสุขใจ ภายใต้จิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ “จากนี้เป็นต้นไป ทุ่งหญ้าพื้นนี้ก็จะเป็นพื้นที่ของราชวงศ์เราเสียที”
บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวที่อยู่ข้างกายเขาเผยรอยยิ้มจางๆ “ถึงเวลาเร่งสร้างป้อมปราการป้องกันแล้วละขอรับ”
แม่ทัพใหญ่หันกลับมามองบุรุษหนุ่มในชุดขาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมิงอวิน ครั้งนี้ถือว่าเจ้าได้สร้างคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงยิ่งนัก”
หลี่หมิงอวินยังคงเผยรอยยิ้มจางๆ สีหน้าราวกับไม่ตื่นเต้นต่อเกียรติยศจากความสำเร็จแต่อย่างใด เพียงกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้าน้อยมิบังอาจมีส่วนร่วมในผลงานครั้งนี้หรอกขอรับ เพราะความจริงเป็นเพราะอำนาจของท่านแม่ทัพ และเทพเจ้าที่ปกปักษ์คุ้มครองราชวงศ์เราขอรับ”
ไม่ใช่หลี่หมิงอวินต้องการถ่อมตนแต่อย่างใด แม้จะเห็นว่ายามนี้ท้องฟ้าโปร่งใส สายลมพัดเอื่อย ทว่าเมื่อหลายวันก่อน ยามที่อยู่ริมแม่น้ำมู่ถ่าแทบจะเรียกได้ว่าตัวเขากำลังเอาชีวิตไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากไม่ใช่การวางกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของแม่ทัพหลิน และหยาดโลหิตที่บรรดาทหารยอมสละในการสู้รบจนทำลายพวกทหารสุ่มโจมตีของทู่เจวี๋ยได้ราบคาบ ตัดทางหนีทีไล่ของพวกทู่เจวี๋ย ทำให้ความหวังสุดท้ายของพวกทู่เจวี๋ยดับสลาย ชาวทู่เจวี๋ยคงไม่มีทางยอมศิโรราบแต่โดยดีเป็นแน่ ยังดีที่แม้จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่ประสบอันตรายใดๆ!
หลินจื้อย่วนหัวเราะร่า “ข้ายกทัพจับศึกที่ชายแดนมาสิบกว่าปี ในที่สุดวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึงเสียที ชาวทู่เจวี๋ยได้รับความเสียหายครั้งใหญ่หลวง หลังสร้างป้อมปราการป้องกันเสร็จสิ้น ภายในสิบปีนี้คงพอทำให้ชาวทู่เจวี๋ยไม่คิดรุกรานราชวงศ์เราได้อีก”
บรรดาทหารที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าสุขสำราญใจ รู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันถ้วนหน้าเช่นกัน วนเวียนอยู่กับชาวทู่เจวี๋ยมาหลายต่อหลายปี เมื่อก่อนมักเป็นฝ่ายถูกลงมือกระทำก่อน ยามนี้หากคันธนูตั้งจ่อบริเวณปากประตูพวกทู่เจวี๋ย มาดูกันสิว่าชาวทู่เจวี๋ยจะว่านอนสอนง่ายหรือไม่ หากไม่ว่านอนสอนง่าย ก็โจมตีพวกเขาได้ตลอดเวลา คงเป็นอะไรที่สะใจน่าดู หากไม่ใช่เพราะมีภาระทางทหารติดตัว ความจริงตลอดทั้งวันก็อยากจะสัมผัสความรู้สึกไม่เมาไม่เลิก
“หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้ว เจ้าก็ควรกลับเมืองหลวงได้แล้วเช่นกัน” หลินจื้อย่วนหุบยิ้ม ส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
“ท่านแม่ทัพปกปักษ์ชายแดนมาหลายปี ก็ควรกลับเมืองหลวงไปดูแลครอบครัวแล้วเช่นกันนะขอรับ” หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อย มองดูหลินจื้อย่วน
หลินจื้อย่วนมองทหารหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับผู้คนด้วยรอยยิ้มบางๆ อยู่บริเวณด้านหลังไม่ไกลออกไปเท่าไรด้วยจิตใจสับสนวุ่นวาย
ทหารหนุ่มผู้นั้นสัมผัสได้ถึงแววตาผิดปกติจึงเงยหน้ามองมา และตีหน้าขรึม พร้อมหันหนีไปทันที
ในใจ หลินจื้อย่วนอดผิดหวังไม่ได้ เจ้าเด็กหนุ่มนี่ นิสัยดื้อรั้นไม่น้อยทีเดียวเชียว ไม่ยอมทำสีหน้าดีๆ ใส่เขาบ้างเลย เฮ้อ! จะโทษก็คงทำได้เพียงโทษตนเองที่ไม่เอาไหนในตอนนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง หลินจื้อย่วนถึงกล่าวขึ้น “ควรกลับไปดูแลครอบครัวได้แล้วจริงๆ นั่นละ เรื่องราวบางเรื่อง ก็ควรได้รับการสะสางแล้วเช่นกัน”
แต่ว่าควรจะสะสางเช่นไร จะสะสางได้หรือไม่ หลินจื้อย่วนไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ต้องคิดหาทางคลี่คลายความผิดใจระหว่างพ่อลูก ระดับความยากของศึกคราวนี้ไม่ด้อยไปกว่าการสู้รบกับชาวทู่เจวี๋ยเลยด้วยซ้ำ ทว่า ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด เขาจะต้องไปจัดการมัน มิเช่นนั้นชีวิตนี้คงไม่อาจสบายใจได้
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ต้องรีบแล้วละขอรับ ไม่แน่ว่าอาจกลับไปทันฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ได้นะขอรับ!” ขณะกล่าวเขาก็สะบัดแซ่ม้า จากนั้นก็ควบม้าออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
หลินจื้อย่วนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม พ่อหนุ่มน้อยนี่คงคะนึกถึงหลันเอ๋อร์เสียมากกว่ากระมัง
“ทุกคนช่วยกระฉับกระเฉงขึ้นมาหน่อย มุ่งไปเบื้องหน้าเต็มกำลัง” หลินจื้อย่วนชูมือขึ้นโบก ตะโกนสุดเสียง
ทันใดนั้นกองพลทหารและม้าก็ทะยานพุ่งไปเบื้องหน้า ประหนึ่งคันศรที่ลอยละลิ่วออกไปท่ามกลางคลื่นทะเลสีฟ้าสดใส
จวนหลี่ ณ เมืองหลวง
หลินหลันตรวจวัดชีพจรให้อาสาม โดยมีหมิงต้ง หมิงเจ๋อ และคนอื่นๆ เฝ้าคอยอย่างใส่ใจอยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าหลินหลันดูหนักอกหนักใจ หมิงต้งจึงอดถามไม่ได้ “พี่สะใภ้ อาการป่วยของท่านพ่อข้า…”
หลินหลันชักมือกลับ คลายปมคิ้วที่ขมวดอยู่ในตอนแรกและกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ท่านอาสามเจ็บป่วยเรื้อรังมายาวนาน หยินและหยางพร่อง เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก ใช้ตัวยาที่แรงเกินไปมิได้ ทำได้เพียงค่อยๆ ปรับสมดุลไป เริ่มจากทำให้ร่างกายแข็งแรงเสียก่อน เพื่อระบบหัวใจและปอดจะได้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิม ตัวยาที่ท่านหมอฮว๋าจ่ายให้น่าจะใช้ได้ผล หลายวันมานี้อาการเหงื่อออกตอนกลางคืนและอาการใจสั่นของท่านอาสามคงดีขึ้นบ้างแล้วกระมังเจ้าคะ!”
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว ดีขึ้นมาแล้วละ แม้กระทั่งหายใจหายคอก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก” หลี่จิ้งเหรินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาอยู่กับโรควัณโรคมาเนิ่นนาน หาหมอมาจำนวนไม่น้อยแต่ก็กล่าวว่ารักษาไม่ได้ ตัวเขาเองก็เข้าใจดีอย่างยิ่งว่าการจะรักษาให้หายดีมันเป็นไปไม่ได้ แต่ขอให้ได้มีชีวิตอยู่นานวันสักหน่อยก็เท่านั้นเอง หลังได้รับประทานยาเข้าไปเจ็ดวัน รู้สึกร่างกายเบาสบายขึ้นมากจริงๆ ซึ่งนี่ทำให้เขารู้สึกปลื้มปริ่มใจอย่างยิ่งแล้ว
เมื่อได้ยินบิดาพูดเช่นนี้ สีหน้าของหมิงต้งและหมิงจู้จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง และถอนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งใจ เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ก็เยี่ยมมากแล้ว
“ท่านอาสาม หรือไม่ท่านอยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกสักระยะเถอะเจ้าค่ะ! ให้หลานสะใภ้ได้ช่วยท่านปรับสมดุลร่างกาย จะดีขึ้นได้เรื่อยๆ แน่นอนเจ้าค่ะ” หลินหลันเสนอ
หลี่จิ้งเหรินเผยรอยยิ้ม “ภรรยาหมิงอวิน น้ำใจของเจ้าอารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ทว่า เรื่องส่งเหล่าไท่ไทกลับบ้านเกิดต้องมาเป็นอันดับแรก ข้าในฐานะบุตรชาย ถึงอย่างไรก็ขอเห็นเหล่าไท่ไทลงสู่พื้นพสุธากับตาตนเองถึงจะวางใจได้!” แม้ว่าอากาป่วยของตนเองก็สาหัส ทว่าความกตัญญูต้องมาเป็นอันดับแรก อีกอย่าง จะมอบเรื่องพิธีศพของมารดาให้พี่ใหญ่จัดการ เขาเองไม่อาจวางใจได้จริงๆ ต้องไปคอยจับตามองอยู่ข้างๆ ถึงจะได้เรื่อง
หลินหลันรู้เช่นกันว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมอาสามให้คล้อยตามได้ จึงทำได้เพียงกล่าวด้วยความปรารถนาดี “เช่นนั้นพรุ่งนี้หลานจะเรียนเชิญท่านหมอฮว๋ามาตรวจดูอีกสักครั้ง เพื่อดูว่าจะเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวยาอันใดอีกหรือไม่นะเจ้าคะ” ขณะกล่าว หลินหลันคว้าตำรับอาหารสำหรับบำรุงร่างกายใบหนึ่งออกมาจากกล่องยา “นี่คือตำรับอาหารที่ใช้ในการบำรุงร่างกาย น้ำแกงไขกระดูกแกะ น้ำแกงไก่ใส่เห็ดหูหนูขาว แล้วยังมีน้ำแกงตะพาบน้ำเพื่อบำรุงระบบหยินอะไรพวกนี้ รับประทานควบคู่กันไปเป็นระยะยาว จะช่วยบำรุงส่วนที่สึกหรอในร่างกายอันเนื่องมาจากผลของโรค ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดี ส่วนด้านล่างนี้ข้าได้เขียนพวกอาหารบางส่วนที่ไม่ควรรับประทานเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ขอให้ท่านอาสามรับประทานอาหารตามที่เขียนไว้บนกระดาษนี้ด้วยนะเจ้าคะ”
หมิงเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาสาม วิธีการรักษาอาการป่วยด้วยอาหารของน้องสะใภ้มีประสิทธิภาพอย่างมาก ต้องปฏิบัติตามให้ได้นะขอรับ”
หมิงต้งเผยสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง เขาเดินเข้ามารับสูตรอาหารดังกล่าวไว้ “ทำให้พี่สะใภ้ต้องเปลืองแรงกายแรงใจเสียแล้วขอรับ”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “หลังกลับบ้านเกิดไปแล้ว ก็ส่งจดหมายมาหากันบ่อยๆ บอกกล่าวอาการของท่านอาสาม ทางด้านนี้ข้าจะได้ช่วยปรับเปลี่ยนตัวยาให้ท่านอาได้สะดวกหน่อย”
“แน่นอนขอรับ ขอบคุณท่านพี่สะใภ้มากเลยขอรับ” หมิงต้งยกสองมือขึ้นคารวะขอบคุณ
“ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะขอบคุณกันไปทำไม่เล่า เห็นเป็นคนแปลกหน้ากันไปได้” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หมิงเจ๋อกล่าว “ก็นั่นสิ คนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก”
หลี่จิ้งเหรินถอนหายใจและกล่าวด้วยความหดหู่ “ยังดีที่ตระกูลหลี่มีพวกเจ้า มิเช่นนั้นคงเป็นอันล่มสลายไปแล้วจริงๆ”
หลินหลันเดินออกมาจากในห้องของอาสาม ได้ยินเสียงคนร้องเรียกจากทางด้านหลัง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ”
หลินหลันหันกลับไปมอง เห็นว่าเป็นอวี๋เหลียนนั่นเอง จึงคิดว่าอวี๋เหลียนคงตัดสินใจเกี่ยวกับจะอยู่หรือไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไปพูดคุยกันที่บ้านข้าเถอะ” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ท้ายที่สุดอวี๋เหลียนไม่ได้ช่วยป้าสะใภ้ใหญ่ต่อสู้เพื่อทวงคืนทรัพย์สมบัติ ดังนั้นหลินหลันจึงยังคงไว้หน้านาง
เมื่อมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หรูอี้ยกน้ำชาเข้ามาให้ จากนั้นจึงถอยออกไป
“ยามนี้ภายในห้องก็ปราศจากผู้คนแล้ว มีคำพูดอันใดก็พูดเถอะ!” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
อวี๋เหลียนก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอันยิ่งใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้า…ข้าไม่อยากกลับบ้านเกิดเจ้าค่ะ”
การตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ใช่อะไรที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด สำหรับอวี๋เหลียน การกลับบ้านเกิดไปรับสายตาดูหมิ่นเหยียดหยามของผู้อื่น ไม่สู้อยู่เมืองหลวงต่อไปจะดีเสียกว่า อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็ไม่มีคนทำให้นางรู้สึกอับอาย
“ก็ได้ ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่าเคารพการตัดสินใจของเจ้า เจ้าไม่อยากกลับไปก็อยู่ต่อเถอะ! ข้าไม่ให้เจ้าอดยากปากแห้งไปได้เช่นกัน ชีวิตของเจ้าหลังจากนี้ ข้าจะช่วยวางแผนให้เจ้าเอง” หลินหลันกล่าว คำพูดที่นางเคยกล่าวไว้ก็จะบรรลุผลเป็นความจริงอย่างแน่นอน อวี๋เหลียนดึงตัวเองกลับมาก่อนที่จะถล้ำลึกเข้าสู่ความผิดพลาดได้ นางก็จะไม่ตำหนิความผิดพลาดในอดีต
อวี๋เหลียนลุกขึ้นมาแล้วคารวะให้หลินหลัน “ขอบคุณเอ้อร์เส้าหน่ายนายมากเจ้าค่ะ ส่วนในภายภาคหน้า…ข้าไม่มีความนึกคิดอันใดจริงๆ เจ้าค่ะ แค่ได้มีชีวิตที่สงบสุขก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เรื่องในภายภาคหน้า พวกเราไว้ค่อยว่ากันในภายภาคหน้าเถิด หากเจ้าไม่ยินดี ก็จะไม่มีผู้ใดบังคับเจ้าได้ หากเจ้าได้พบเจอคนที่ดีสักคนหนึ่งจริงๆ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรให้มากมายเกินไป เจ้าอายุยังน้อยนัก การจะปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเปล่าๆ ดูจะเลวร้ายเกินไปหน่อย”
อวี๋เหลียนรู้สึกตื้นตันใจ ในดวงตาปรากฏหยาดน้ำตาเอ่อคลอ กล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นมา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรขอบคุณท่านอย่างไรดี...ข้า…ข้าเกือบกระทำเรื่องที่ผิดต่อท่านไปเสียแล้ว”
หลินหลันเอื้อมมือออกไปแตะหลังมือนางเพื่อปลอบประโลม “ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็อย่าได้เอ่ยถึงมันอีกเลย อุปนิสัยใจคอของเจ้าเป็นเช่นไร ข้าเองก็รู้ชัดกระจ่างแจ้ง”
อวี๋เหลียนยิ่งเกิดความรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ตามจริง หากไม่ใช่เพราะได้ยินคำพูดเหล่านั้นของนายหญิงสะใภ้รอง และรับรู้ถึง ‘จุดประสงค์การหลอกใช้’ ของป้าสะใภ้ใหญ่ นางก็เกือบกระทำการเรื่องเลอะเทอะไปเสียแล้ว
“แล้ว…ทางด้านท่านป้าข้า…” อวี๋เหลียนกล่าวด้วยความกังวลใจ ท่านป้าคงต้องกำหนดให้นางกลับบ้านเกิดไปพร้อมกับนางเป็นแน่
“เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลใจไป ทางด้านป้าสะใภ้ใหญ่นั่น เดี๋ยวข้าพูดคุยกับนางเอง” หลินหลันกล่าวปลอบใจ
เพียงชั่วพริบตาเดียว ช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์สามสิบเจ็ดวันก็ผ่านพ้นไป วิญญาณของเหล่าไท่ไทได้รับการอัญเชิญกลับบ้านเกิด หลี่หมิงเจ๋อในฐานะตัวแทนบ้านสองร่วมเดินทางกลับไปด้วยเพื่อส่งวิญญาณเหล่าไท่ไทกลับบ้านเกิดอย่างสุขคติ หลินหลันมองดูบ้านหลังใหญ่ที่เวิ้งว้าง ยิ่งคะนึกถึงหมิงอวินที่อยู่ไกลออกไป และไม่รู้เลยว่าการเจรจาสงบศึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว เดิมทีคิดว่าตนเองเคยชินกับชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเอ้อระเหยประเภทนี้ในยุคสมัยโบราณ ทว่านาทีนี้นางอยากจะมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง เพียงกดหมายเลขโทรออกไปก็ได้ยินเสียงของผู้ที่เฝ้าคิดคะนึงถึงตลอดทั้งวันทั้งคืน รับรู้ได้ว่าเขาสบายดีหรือไม่ มิใช่ทำได้เพียงรอคอยอย่างทำอะไรไม่ได้เช่นนี้
ระยะที่ผ่านมานี้ยุ่งวุ่นวายไปกับพิธีศพของเหล่าไท่ไท จึงไม่ทราบสถานการณ์ภายนอกที่แน่ชัด ได้ยินเพียงฮว๋าเหวินไป่กล่าวว่า อาการป่วยของไท่โฮ่วสาหัสยิ่งขึ้น ที่พึ่งพิงใหญ่กำลังจะล้มลง ยามนี้ตระกูลฉินคงจะมีอะไรบางอย่างมาต่อกรบุคคลตัวเล็กๆ อย่างนางแล้วกระมัง! ทว่าก็ไม่อาจบุ่มบ่ามไปได้
“คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ล่ะ” หลินหลันเข้าไปในลานบ้านแต่กลับไม่เห็นซานเอ๋อร์จึงเอ่ยถามแม่โจว
แม่โจวกล่าว “ต้าเส้าหน่ายนายส่งหงซางมาพาคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”
หลินหลันยกยิ้มมุมปาก เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์ผู้นี้ช่างเป็นที่รักใคร่ของผู้คนเขาจริงๆ นางพาเขาไปเรือนเวยอวี่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง ติงหลั้วเหยียนก็ถูกชะตาเจ้าเด็กน้อยนี่เสียแล้ว ทุกวันจะให้คนมาเชิญเขาไปเที่ยวเล่น หมิงจูก็เคยเจอะเจอเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ครั้งหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ปฏิบัติกับเจ้าเด็กน้อยนี่อย่างดิบดีเสมือนน้องชายแท้ๆ ของนาง เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์เสียเหลือเกินนะ! หลินหลันฉีกยิ้มเจื่อน “เช่นนั้นก็ปล่อยเขาตามสบายเถอะ! ทว่าท่านต้องจับตามองคุณชายน้อยซานเอ๋อร์ให้ทำการบ้านของทุกวันให้เรียบร้อยด้วย จากนั้นค่อยให้เขาออกไปเที่ยวเล่นได้”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ การบ้านเหล่านั้นที่ท่านมอบหมายไว้ คุณชายน้อยซานเอ๋อร์จัดการเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” หลินหลันขมวดคิ้ว เจ้าเด็กน้อยนี่คงไม่ใช่แอบลักไก่หรอกกระมัง! ระยะนี้ไม่ได้ตรวจการบ้านเขาให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียด้วย!
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตำราที่ท่านให้คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ท่องจำ คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ล้วนท่องจำได้แล้วด้วย ทั้งยังคล่องแคล่วดีเชียวเจ้าค่ะ! แล้วยังมีตัวอักษรที่คุณชายน้องซานเอ๋อร์เขียนอีกนะเจ้าคะ” แม่โจวเดินไปยังห้องหนังสือเพื่อหยิบกระดาษที่คุณชายน้อยซานเอ๋อร์ฝึกเขียนตัวอักษรออกมาให้นายหญิงสะใภ้รองดู
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านดูสิเจ้าคะ นี่เป็นอักษรที่คุณชายน้อยซานเอ๋อร์คัดลอกตามเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าค่ะ บ่าวอ่านไม่ออก แต่รู้สึกว่าเขียนได้ค่อนข้างเหมือนกันทีเดียวเชียวเจ้าค่ะ”
หลินหลันรับไว้และพลิกเปิดทีละแผ่น นางรู้สึกตกตะลึงปนประหลาดใจ ปีนี้ซานเอ๋อร์เพิ่งอายุหกขวบ ต่อให้เขาฝึกฝนมาตั้งแต่สี่ขวบก็ไม่น่าจะเขียนได้ประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญเพียงนี้ หากไม่มีการฝึกฝนขั้นต่ำห้าหกปีขึ้นไป ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน นอกเสียจากได้รับพรสวรรค์อย่างใหญ่หลวงติดตัวมา หรือไม่ก็ ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ว่า…ซานเอ๋อร์ก็เป็นคนหนึ่งที่ข้ามภพมาเช่นกัน? หลินหลันตระหนกตกใจต่อความนึกคิดนี้ของตนเอง ทว่า ในเมื่อนางข้ามภพมาได้ แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่าโลกนี้จะมีเพียงนางผู้เดียวที่เป็นผู้ข้ามภพมา? หลินหลันรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาทั้งตัว เห็นทีว่าภาคภาคหน้าจะทำเรื่องอันใดคงต้องถ่อมตนเข้าไว้หน่อยถึงจะเป็นการดี หากถูกคนจับผิดได้ ใครจะรู้ว่าผลที่ตามมานั้นจะมีความร้ายแรงเพียงใด